The secret life of Walter Mitty (สปอล์ย) ความลับที่หายไปจากชีวิต

กระทู้สนทนา
The secret life of Walter Mitty (สปอล์ย) ความลับที่หายไปจากชีวิต


         นี่เป็นงานเขียนแบบกึ่งบันทึกกึ่งบทวิจารณ์ภาพยนตร์ อาจจะมีความรู้สึก ความเยิ่นเย้อของผู้เขียนผสมปนเปลงไปด้วย ถ้าไม่ชอบก็ต้องขออภัย แต่ถ้าชอบก็ขอขอบคุณ ที่อ่านจนจบ ยิ้ม
              

            ตอนแรกที่ได้ดูเทรลเลอร์ของหนังเรื่องนี้ในโรงหนัง ฉันรู้สึกว่า...เอิ่ม...ทำไมเรื่องมันถึงได้นิ่ง อืด และเนือย ขนาดนี้ แถมความยาวสิริรวมก็เกือบๆ 6 นาที ถ้าเลือกได้ ไม่ดูเรื่องนี้ดีกว่า แต่เมื่อได้อ่านรีวิวเล็กๆที่มาจากความประทับใจจากน้องชายที่รู้จักคนหนึ่ง ถึงขนาดมาพร่ำเพ้อว่ามันดีมาก ให้แรงบันดาลใจในชีวิตสำหรับเขาเหลือเกิน สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ฉันจึงต้องรีบไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองบ้างซะแล้ว


             ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นช่วงเวลาในชีวิตที่ค่อนข้างแย่ที่ต้องพบเจอ สำหรับคนว่างจัดอย่างฉัน ไม่มีอะไรดีไปกว่ากิจกรรมโปรด คือการเข้าไปสงบจิตสงบใจในโรงหนัง ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ความรู้สึกเครียด ความกังวล ก็หายไป มีความอิ่มเอมใจจากประสบการณ์ใหม่ๆเข้ามาแทนที่ จากการดูหนังเพียงเรื่องเดียว ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนมหัศจรรย์ใจเสียจริงๆ และครั้งนี้ฉันมีคำถามติดใจไปก่อนที่จะเข้าชมหนังเรื่องนี้ก็คือ ในเทศกาลที่มีแต่ความสุขสิ้นปีแบบนี้ อากาศก็เย็นสบายมากมายเหลือเกิน ทำไมฉันจึงรู้สึกว่าชีวิตมันจึงได้ว่างเปล่าเหลือเกิน อะไรนะที่มันขาดหายไป?

         
              หนังเริ่มเรื่องเหมือนในเทรลเลอร์ที่ดูในโรงคราวที่แล้วเป๊ะ /เอ...จะยังไงดีหว่า /ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น /ปล่อยให้หนังมันพาไปแล้วกัน / และก็จริง....ผู้ชายธรรมดาที่ชื่อ วอลเตอร์ มิตตี้ ก็พาฉันออกไปท่องโลกกว้างโดยเริ่มจากจินตนาการของเขาก่อน แหม...เล่นซะหลายมุกเลย ฮาบ้าง แป้กบ้าง แต่ก็โอเค เผลอแผล่บเดียว เขาก็พาฉันออกไปเจอโลกกว้างที่มีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามเหลือเกิน  การผจญภัยของเขาในแต่ละเรื่องช่างโลดโผนโจนทะยาน จนน่าประหลาดใจ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยจังหวะที่ลงตัวของการใส่มุกตลกลงไปอย่างเหมาะเจาะ ดนตรีประโคมอย่างเข้าทาง ทำนองและเนื้อร้องช่างมีความหมายต่อตัวละคร รู้สึกตัวอีกทีเอ็นด์ไตเติ้ลก็จะขึ้นมาเสียแล้ว โดยที่ฉันยังคงนั่งตะลึงอยู่กับเบาะนั่งราวกับต้องมนต์สะกด และฉันก็ได้คำตอบของคำถามที่ว่าในตอนแรกเริ่มก่อนเข้าโรงหนังกับตัวเองเสียที...
    

           The secret life of Walter Mitty เป็นผลงานการกำกับของ เบน สติลเลอร์ที่ลงทุนเล่นเองอีกด้วย สำหรับรู้สึกว่าครั้งนี้ เบน ได้ทำให้ฉันประหลาดใจแกมทึ่งว่า ไม่ใช่แค่เพียงตลกฮา There's Something About Mary  อย่าง หรือตลกร้ายอย่าง Tropic Thunder  เพียงเท่านั้น เขาก็สามารถเล่นหนังแนวอื่นได้ดี โดยเฉพาะเรื่องนี้ ฉันขอยกนิ้วโป้งให้ทั้ง 2 นิ้วเลยทีเดียว
    

          โดยภาพรวมหนังสามารถสื่อสารโทนของความเป็นดราม่าออกมาได้ดี น่าเสียดายที่ไม่รู้อะไรดลใจให้ในช่วงเกือบๆครึ่งเรื่องแรก พาคนดูออกทะเลไปด้วยจินตนาการของพระเอก ซึ่งหลุดโลกและเหนือจริง อาจจะด้วยความตั้งใจที่จะสื่อสารให้เห็นถึงบุคลิกของคนที่โดดเดี่ยว ชีวิตจำเจ ซ้ำซาก ย่อมมีความคิดความฝันอันลึกล้ำสุดแสนพิสดาร (ซึ่งฉันก็เป็นนะ บางครั้ง) แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องเว่อร์ ต้องล้อเลียน ถึงขนาดนี้ก็ได้ป่ะ แต่การเปลี่ยนผ่านของความคิดตัวละครจากเก็บกด ชอบคิดคนเดียวเป็นตุเป็นตะ ค่อยๆกลายเป็นผู้กระทำมากขึ้น กล้าแสดงออกจากภายนอกเพื่อต่อสู้กับอุปสรรคที่เข้ามาขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นกระโดดลงทะเล สู้กับฉลาม ใช้ความสามารถในการสเก็ตบอร์ดอีกครั้ง หลังที่เขาหันหลังให้มันนับตั้งแต่เสียพ่อของเขาไป และการกล้าเปิดเผยความรู้สึกจากภายในจิตใจสู่บุคคลภายนอกอย่างเชอรีล(นางเอก)โดยไม่หวังคำตอบใดๆกลับมาจากเธอ ในตอนสุดท้ายก็ตาม


            สำหรับฉัน ฉากที่ประทับใจที่สุดก็คงจะเป็นฉากเปิดตัวปกหนังสือ LIFE ฉบับสุดท้าย แม้ว่าจะเดาทางได้ แต่หนังก็พาฉันไปอยู่ในจุดที่ไม่อาจจะปฏิเสธความสุขจากฉากนั้นได้เลย โดยไม่มีคำว่า ‘ยัดเยียด’ ค้านขึ้นมาในหัวเลยแม้แต่น้อย ฉากนี้ฉากเดียว แต่ต่อเติมแรงใจให้คนทำงานที่มุ่งมั่นจริงจัง แม้ว่าสุดท้ายผลที่ได้รับมันอาจจะไม่ได้สวยหรูราวกับเทพนิยาย เพราะมีพบ ก็ต้องมีจาก แล้วการจากลาในสิ่งที่ผูกพันและสร้างสรรค์มันด้วยหัวใจ เราทำมันเต็มที่แล้วหรือยัง ถ้าคำตอบที่คุณมีให้คือ ‘ไม่’ เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ คุณคงอยากกลับไปลงมือทำมันให้ชัดเจน ให้เต็มที่ เพื่อถึงคราวที่ต้องร้างลา คุณจะเดินต่อไปตามทางชีวิตที่ควรเป็นอย่างไม่เสียใจ ส่วนถ้าคำตอบของคุณคือ ‘ใช่’ คุณคงไม่ต้องสงสัยแล้วนะ ว่าต่อจากนี้ไป วอลเตอร์หรือคนอย่างเราจะเป็นยังไงต่อ เพราะถึงจะไปที่ไหน ทำอะไรต่อไป เราก็จะมุ่งมั่นและเต็มที่เหมือนที่เคยเป็น จริงไหม?

      
          น่าเสียดายที่หนังที่มีคุณค่าต่อการใช้ชีวิตในยุคที่คนเราต่างโหยหาความหวัง เพื่อทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สามารถเอาตัวรอดในสังคมที่ทั้งจริงและเสมือนจริงอย่างโลกออนไลน์ อย่าง The secret life of Walter Mitty กลับถูกมองข้ามไปจากเวทีใหญ่ๆ อย่างลูกโลกทองคำ ออสการ์(สำหรับรางวัลนี้ยังไม่ประกาศผู้เข้าชิง และฉันหวังว่าเรื่องนี้ควรจะได้ชิงในสาขาใดสาขาหนึ่ง) อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ เมโลดราม่าเกินไป ทั้งพล็อต เนื้อเรื่อง คาแรคเตอร์ ดนตรีประกอบ บทสนทนา ทั้งที่โทนของหนังสามารถจะปรับเข้าสู่โหมด ดราม่าได้อย่างเต็มตัว


         แต่ฉันเชื่อว่า เบน สติลเลอร์ คงไตร่ตรองดีที่สุด และต้องการนำเสนอออกมาในแบบที่เขาอยากให้เป็นลายเซ็นของเขาจริงๆ ไม่สนกับรางวัลจากสถาบันที่คอยจะมาหักเหให้พลังการสร้างสรรค์ของเขาเปลี่ยนไปแนวทางของเวทีนั้นๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ฉันอาจไม่มีแรงบันดาลใจมาเขียนรีวิวชิ้นนี้หรอกนะ ได้แต่หวังว่าเสียงเล็กๆของฉันจะส่งผ่านไปถึงผู้อ่านงานเขียนชิ้นนี้ แล้วพาตัวเอง รวมถึงคนที่คุณรักไปรับรู้ถึงความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้จากหนังเรื่องนี้บ้างเช่นกัน บางที คุณอาจจะไม่ประทับใจในแง่มุมของหนังแบบเดียวกับฉันก็ได้นะ


         ขอรับรองว่ายังไงคุณก็ต้องได้อะไรกลับออกไปจากหนังเรื่องนี้แน่นอน เหมือนกับเรื่อง  The Shawshank Redemption (1994) ที่ไม่ได้อะไรจากออสการ์เลย แต่เราก็ยังประทับใจมันถึงทุกวันนี้ และบอกผ่านไปถึงคนที่เรารักด้วยพลังที่เราได้รับจากหนังที่มีคุณค่าในสายตาของคนดูธรรมดาอย่างเราๆ ที่ไม่ได้มีดีกรี มีความรู้มากมายอะไร แต่ใจของคนรักหนังที่จะบอกได้ว่า หนังเรื่องไหนที่มันจะเป็นเรื่องของเรา เรื่องราวที่มันจะอยู่ในใจเรา และมันจะเป็นเหมือนหยดน้ำทิพย์ที่เราใช้ชโลมหัวใจยามท้อแท้หรือเศร้าโศก ด้วยระยะเวลาไม่กี่ชัวโมง ก่อนที่จะออกไปเผชิญโลกและสังคมอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง


           ...ก่อนจะจบงานเขียนชิ้นนี้ไป ขอบอกว่าที่ฉันได้คำตอบจากการได้ดู The secret life of Walter Mitty ก็คือ ‘ความฝัน’ ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยความฝัน ล้มบ้าง วิ่งบ้าง ก็ด้วยแรงขับเคลื่อนจากความฝันนี่ล่ะ แต่ในชีวิตจริงในวัยทำงานอย่างเรา ความฝันที่เคยพลุ่งพล่านเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจตั้งแต่วัยเยาว์ มันค่อยๆมอดดับหายไปทีละน้อยๆ แบบที่วอลเตอร์ มีอยู่ในห้องฟิล์ม เนกาตีฟ เป็นเวลา 16 ปี

                   นี่เราพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นไปตามระบบของสังคมได้จริงๆเหรอ?


           อย่างที่บอกล่ะ ฉากสุดท้ายที่เปิดตัว LIFE ฉบับสุดท้าย เป็นเหมือนเทียนเล่มน้อยที่ได้ถูกส่งต่อมายังตะเกียงความฝันของฉันที่ใกล้ดับมอด ให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งด้วยความหวัง ความเชื่อ และคราวนี้ฉันจะหล่อเลี้ยงมันไว้ด้วยสายลมแห่งความเป็นจริง แม้ว่าจะอ่อนแรงไปบ้างตามจังหวะของชีวิต แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันจะไม่ยอมให้ไส้ตะเกียงหัวใจของฉันต้องริบหรี่และมืดมนไปอีก โดยที่จะไม่กระพือไฟปรารถนาขึ้นอย่างไร้สายลมแห่งความจริงเป็นเชื้อไฟอีกด้วยเช่นกัน

         ‘ความฝัน’ ไม่ใช่ ‘ความลับ’ แม้จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้ และเมื่อรู้สึกก็ลงมือซะ วันหนึ่งอนาคตของเราจะไม่เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป เหมือนที่ วอลเตอร์ มิลเลอร์ รู้สึกในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ซัดเข้ากลางใจฉันจนต้องบอกคุณๆต่อไงล่ะ


                                                   ขอให้สนุกกับการชมภาพยนตร์...หัวใจ  
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่