แม้ว่าทุกช่วงขึ้นปีใหม่จะมีคำพูดว่าให้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างของปีที่แล้วไว้กับปีเก่า แล้วเตรียมตัวรับสิ่งใหม่ๆในปีใหม่ แต่ปีที่ผ่านมามีอย่างหนึ่งที่ผมไม่สามารถทิ้งมันไว้ในปีเก่าได้ นั้นคือ The secret life of walter mitty ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ได้ดูในปี2013ของผม
หนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในกระแสมากเท่าไหร่ พล็อตเรื่องไม่น่าดึงดูด เบน สตีลเลอร์ ถูกวาดภาพว่าเป็นนักแสดงตลก เมื่อมาทำหนังทั้งในฐานะนักแสดงนำและผู้กำกับจึงมีแรงจูงใจต่อแฟนหนังไม่มากนัก ซํ้าตัวอย่างของมันก็ดูคลุมเครือลึกลับจนยากจะคาดเดาว่าหนังจะออกมาแนวไหน
The secret life of walter mitty เล่าเรื่องของ วอลเตอร์ มิตตี้(เบน สตีลเลอร์) บรรณาธิการภาพของนิตยสารแนวท่องเที่ยวชื่อ L.I.F.E ที่มีนิสัยชอบเหม่อลอย ฝันกลางวันถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำ นอกจากการคัดกรองภาพที่เป็นงาน ความสามารถอย่างเดียวของเขาคือการเล่นสเก็ตบอร์ด วอลเตอร์ แอบชอบ เชอรีล (คริสเต็น วิกก์) สาวแผนกธุรการแต่ไม่กล้าบอก ชีวิตของเขาแสนน่าเบื่อ จมจ่อมกับความฝันเพ้อเจ้อ อุทิศตนเองให้กับการดูแลแม่และน้องสาว
เขาได้พูดคุยกับ เชอรีล เนื่องจากนิตยสาร L.I.F.E ถูกเทคโอเวอร์ ผู้บริหารชุดใหม่จะปลดพนักงานจำนวนหนึ่ง พร้อมปรับมาทำเว็บไซต์แทน L.I.F.E เดินทางมาถึงฉบับสุดท้าย ฌอน โอคอนเนอร์ ช่างภาพชื่อดังส่งภาพที่จะใช้ขึ้นหน้าปกมาที่บริษัท ทว่า ภาพที่25ซึ่ง โอคอนเนอร์ ยํ้าว่าต้องใช้เป็นภาพขึ้นหน้าปกสุดท้ายหายไป วอลเตอร์ ขอความช่วยหรือจาก เชอรีล และเธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ โอคอนเนอร์ ไม่พกมือถือ สิ่งที่เขาทำได้คือ ต้องออกเดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อถามหาภาพที่25กับช่างภาพจอมพเนจร
บทของหนังเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งมาก มีเนื้อหาที่ต้องอาศัยการตีความ บอกเล่าสภาพชีวิตของมนุษย์เงินเดือนในสมัยนี้ได้อย่างดี คือหลงลืมความฝันในวัยหนุ่ม บ้างเก็บมันลงในลิ้นชัก บ้างก็โยนลงถังขยะที่ไหนสักแห่ง ก้มหน้าก้มตามุ่งหน้าสู่ออฟฟิศในแต่ละเช้าอย่างไร้จิตวิญญาณ พอเงยหน้ามาอีกทีก็ถึงวันเกษียณแล้ว เพียงแต่ในหนังมีจุดพลิกผันคือการล่มสลายขององค์กร จุดนี้ร่วมสมัยในแง่ของการมองย้อนไปถึงผลกระทบของเทคโนโลยีกับชีวิตคน การเปลี่ยนผ่านจากยุคฟิล์มสู่ดิจิตอล จากหน้ากระดาษสู่หน้าเว็บไซต์ คล้ายกับเป็นบทบันทึกเล็กๆถึงสิ่งที่คลาสสิกกับสิ่งที่ทันสมัย
การถ่ายทอดภาพในหนังสวยงามมาก โดยเฉพาะภาพธรรมชาตินี่น้องๆเนชั่นจีโอกราฟฟิคเลย ไม่คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนทำภาพได้ดีกว่า Gravity ก็มีเรื่องนี้แหละที่เป็นตัวแทนหนังภาพสวยในโลก (Gravity สวยนอกโลก) ส่วนเพลงประกอบโดดเด่นมากโดยเฉพาะเพลง Space Oddity กับ Step Out ที่ปลุกเร้าสองขาให้กระโดดออกไปแตะขอบฟ้าจริงๆ
ด้านการแสดงหนังเรื่องนี้ถือเป็นการท็อปฟอร์มของ เบน สตีลเลอร์ จริงๆ ตลกหน้าตาย เข้มแบบไม่เก๊ก ถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้ง ตัวละคร มิตตี้ มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกตามหาภาพถ่าย ช่วงท้ายของการเดินทางเขาพบว่าสิ่งที่หายไปจากชีวิตเขาไม่ใช่ภาพถ่ายใบที่25 แต่เป็นภาพชีวิตที่ผ่านมาของเขา การเสียชีวิตของพ่อทำให้เขาต้องเลิกเล่นสเก็ตบอร์ด ออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว รับผิดชอบกับความจริงจนลืมความฝันในการออกเดินทางและใช้ชีวิตเพื่อตัวเองไป
ฌอน เพนน์ ในบท โอคอนเนอร์ เป็นตัวละครที่คมคายมาก หลายคนชอบประโยค "ความงามที่แท้จริงนั้น ไม่เรียกร้องความสนใจ" ของเขาในเรื่อง แต่ผมกลับชอบฉากที่เขาพูดว่า "ภาพบางภาพผมก็ไม่ถ่ายมัน อยากแค่นั่งมองเฉยๆ เพียงเพื่อยืนยันและรับรู้ความรู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง เราได้เคยมาอยู่ในสถานที่นั้น ตรงนั้น ในเวลานั้น มากกว่า" คำพูดนี้ตอกหน้าสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในปัจจุบันที่ผู้คนมัวแต่ถ่ายรูปทุกอย่างในชีวิตจนลืมชื่นชมความงามของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเจ็บแสบ เป็นช็อตที่ผมจุกอก นํ้าตาเกือบไหล
คริสเต็น วิกก์ กับการแสดงเป็น เชอรีล แม้บทจะไม่หวือหวาเหมือนหนุ่มๆแต่เธอก็เป็นตัวละครที่เติมเต็มความสมบูรณ์ของหนัง โดยเฉพาะความโรแมนติกเล็กๆในช่วงท้าย อ้อ ฉากที่เธอเล่นกีตาร์ส่ง มิตตี้ ขึ้นบินนั่นทรงพลังที่สุดแล้ว The secret life of walter mitty ไม่ใช่หนังของทุกเพศทุกวัย ช่วงกลางดำเนินเรื่อง ค่อนข้างช้า มีฉากไม่สมเหตุสมผลบ้าง อารมณ์ของหนังบางช่วงไปไม่สุด คนที่ไม่ชอบหนังแนวนี้จะเบื่อและไม่อิน
กระนั้น คนที่ชอบจะมีอะไรให้คิดตามตลอดเวลาและสามารถเสียนํ้าตาได้ไม่ยาก แถมพอดูจบยังมีความรู้สึกว่าเปลวไฟในตัวที่ใกล้ดับมอดลุกโชนขึ้นอีกครั้ง รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจในการออกเดินทางตามฝันของคนหนุ่มสาวได้อย่างดี นอกจาก เรือเล็กควรออกจากฝั่งแล้ว เรือเล็กยังควรออกจากฝั่งให้เร็วที่สุด ดังวลีที่ว่า ถ้าไม่ทำเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องทำเลย
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู ภาพยนตร์เรื่องนี้คือของขวัญปีใหม่ที่คุณควรมอบให้ตนเอง มันเป็นหนังที่เปลี่ยนชีวิตได้ หลังออกจากโรงคุณจะพบว่าการเขียนโปรไฟล์ส่วนตัวเป็นเรื่องสนุก มีสิ่งที่น่าใส่ลงไปมากกว่า ความสามารถพิเศษ โครงการที่เคยอบรม โปรเจกต์ที่ผ่านมา ทำงานอะไรได้ดี ขอบคุณหนังและการแสดงอันยอดเยี่ยมของ เบน สติลเลอร์ ขอปิดท้ายด้วยคำขวัญของนิตยสาร L.I.F.E ที่ว่า
To see things thousands of miles away, things hidden behind walls and within rooms, things dangerous to come to...to draw closer...to see and be amazed เพื่อไม่ให้ใจความผิดเพี้ยน ขออนุญาตไม่แปลนะครับ
คะแนน 8.5/10
โดย นกไซเบอร์
ที่มาจาก
http://movie.bugaboo.tv/watch/99602
วิจารณ์หนัง : The secret life of walter mitty ภาพถ่ายที่หายไป
แม้ว่าทุกช่วงขึ้นปีใหม่จะมีคำพูดว่าให้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างของปีที่แล้วไว้กับปีเก่า แล้วเตรียมตัวรับสิ่งใหม่ๆในปีใหม่ แต่ปีที่ผ่านมามีอย่างหนึ่งที่ผมไม่สามารถทิ้งมันไว้ในปีเก่าได้ นั้นคือ The secret life of walter mitty ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ได้ดูในปี2013ของผม
หนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในกระแสมากเท่าไหร่ พล็อตเรื่องไม่น่าดึงดูด เบน สตีลเลอร์ ถูกวาดภาพว่าเป็นนักแสดงตลก เมื่อมาทำหนังทั้งในฐานะนักแสดงนำและผู้กำกับจึงมีแรงจูงใจต่อแฟนหนังไม่มากนัก ซํ้าตัวอย่างของมันก็ดูคลุมเครือลึกลับจนยากจะคาดเดาว่าหนังจะออกมาแนวไหน
The secret life of walter mitty เล่าเรื่องของ วอลเตอร์ มิตตี้(เบน สตีลเลอร์) บรรณาธิการภาพของนิตยสารแนวท่องเที่ยวชื่อ L.I.F.E ที่มีนิสัยชอบเหม่อลอย ฝันกลางวันถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำ นอกจากการคัดกรองภาพที่เป็นงาน ความสามารถอย่างเดียวของเขาคือการเล่นสเก็ตบอร์ด วอลเตอร์ แอบชอบ เชอรีล (คริสเต็น วิกก์) สาวแผนกธุรการแต่ไม่กล้าบอก ชีวิตของเขาแสนน่าเบื่อ จมจ่อมกับความฝันเพ้อเจ้อ อุทิศตนเองให้กับการดูแลแม่และน้องสาว
เขาได้พูดคุยกับ เชอรีล เนื่องจากนิตยสาร L.I.F.E ถูกเทคโอเวอร์ ผู้บริหารชุดใหม่จะปลดพนักงานจำนวนหนึ่ง พร้อมปรับมาทำเว็บไซต์แทน L.I.F.E เดินทางมาถึงฉบับสุดท้าย ฌอน โอคอนเนอร์ ช่างภาพชื่อดังส่งภาพที่จะใช้ขึ้นหน้าปกมาที่บริษัท ทว่า ภาพที่25ซึ่ง โอคอนเนอร์ ยํ้าว่าต้องใช้เป็นภาพขึ้นหน้าปกสุดท้ายหายไป วอลเตอร์ ขอความช่วยหรือจาก เชอรีล และเธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ โอคอนเนอร์ ไม่พกมือถือ สิ่งที่เขาทำได้คือ ต้องออกเดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อถามหาภาพที่25กับช่างภาพจอมพเนจร
บทของหนังเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งมาก มีเนื้อหาที่ต้องอาศัยการตีความ บอกเล่าสภาพชีวิตของมนุษย์เงินเดือนในสมัยนี้ได้อย่างดี คือหลงลืมความฝันในวัยหนุ่ม บ้างเก็บมันลงในลิ้นชัก บ้างก็โยนลงถังขยะที่ไหนสักแห่ง ก้มหน้าก้มตามุ่งหน้าสู่ออฟฟิศในแต่ละเช้าอย่างไร้จิตวิญญาณ พอเงยหน้ามาอีกทีก็ถึงวันเกษียณแล้ว เพียงแต่ในหนังมีจุดพลิกผันคือการล่มสลายขององค์กร จุดนี้ร่วมสมัยในแง่ของการมองย้อนไปถึงผลกระทบของเทคโนโลยีกับชีวิตคน การเปลี่ยนผ่านจากยุคฟิล์มสู่ดิจิตอล จากหน้ากระดาษสู่หน้าเว็บไซต์ คล้ายกับเป็นบทบันทึกเล็กๆถึงสิ่งที่คลาสสิกกับสิ่งที่ทันสมัย
การถ่ายทอดภาพในหนังสวยงามมาก โดยเฉพาะภาพธรรมชาตินี่น้องๆเนชั่นจีโอกราฟฟิคเลย ไม่คิดว่าจะมีหนังเรื่องไหนทำภาพได้ดีกว่า Gravity ก็มีเรื่องนี้แหละที่เป็นตัวแทนหนังภาพสวยในโลก (Gravity สวยนอกโลก) ส่วนเพลงประกอบโดดเด่นมากโดยเฉพาะเพลง Space Oddity กับ Step Out ที่ปลุกเร้าสองขาให้กระโดดออกไปแตะขอบฟ้าจริงๆ
ด้านการแสดงหนังเรื่องนี้ถือเป็นการท็อปฟอร์มของ เบน สตีลเลอร์ จริงๆ ตลกหน้าตาย เข้มแบบไม่เก๊ก ถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้ง ตัวละคร มิตตี้ มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกตามหาภาพถ่าย ช่วงท้ายของการเดินทางเขาพบว่าสิ่งที่หายไปจากชีวิตเขาไม่ใช่ภาพถ่ายใบที่25 แต่เป็นภาพชีวิตที่ผ่านมาของเขา การเสียชีวิตของพ่อทำให้เขาต้องเลิกเล่นสเก็ตบอร์ด ออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว รับผิดชอบกับความจริงจนลืมความฝันในการออกเดินทางและใช้ชีวิตเพื่อตัวเองไป
ฌอน เพนน์ ในบท โอคอนเนอร์ เป็นตัวละครที่คมคายมาก หลายคนชอบประโยค "ความงามที่แท้จริงนั้น ไม่เรียกร้องความสนใจ" ของเขาในเรื่อง แต่ผมกลับชอบฉากที่เขาพูดว่า "ภาพบางภาพผมก็ไม่ถ่ายมัน อยากแค่นั่งมองเฉยๆ เพียงเพื่อยืนยันและรับรู้ความรู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง เราได้เคยมาอยู่ในสถานที่นั้น ตรงนั้น ในเวลานั้น มากกว่า" คำพูดนี้ตอกหน้าสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในปัจจุบันที่ผู้คนมัวแต่ถ่ายรูปทุกอย่างในชีวิตจนลืมชื่นชมความงามของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเจ็บแสบ เป็นช็อตที่ผมจุกอก นํ้าตาเกือบไหล
คริสเต็น วิกก์ กับการแสดงเป็น เชอรีล แม้บทจะไม่หวือหวาเหมือนหนุ่มๆแต่เธอก็เป็นตัวละครที่เติมเต็มความสมบูรณ์ของหนัง โดยเฉพาะความโรแมนติกเล็กๆในช่วงท้าย อ้อ ฉากที่เธอเล่นกีตาร์ส่ง มิตตี้ ขึ้นบินนั่นทรงพลังที่สุดแล้ว The secret life of walter mitty ไม่ใช่หนังของทุกเพศทุกวัย ช่วงกลางดำเนินเรื่อง ค่อนข้างช้า มีฉากไม่สมเหตุสมผลบ้าง อารมณ์ของหนังบางช่วงไปไม่สุด คนที่ไม่ชอบหนังแนวนี้จะเบื่อและไม่อิน
กระนั้น คนที่ชอบจะมีอะไรให้คิดตามตลอดเวลาและสามารถเสียนํ้าตาได้ไม่ยาก แถมพอดูจบยังมีความรู้สึกว่าเปลวไฟในตัวที่ใกล้ดับมอดลุกโชนขึ้นอีกครั้ง รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจในการออกเดินทางตามฝันของคนหนุ่มสาวได้อย่างดี นอกจาก เรือเล็กควรออกจากฝั่งแล้ว เรือเล็กยังควรออกจากฝั่งให้เร็วที่สุด ดังวลีที่ว่า ถ้าไม่ทำเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องทำเลย
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู ภาพยนตร์เรื่องนี้คือของขวัญปีใหม่ที่คุณควรมอบให้ตนเอง มันเป็นหนังที่เปลี่ยนชีวิตได้ หลังออกจากโรงคุณจะพบว่าการเขียนโปรไฟล์ส่วนตัวเป็นเรื่องสนุก มีสิ่งที่น่าใส่ลงไปมากกว่า ความสามารถพิเศษ โครงการที่เคยอบรม โปรเจกต์ที่ผ่านมา ทำงานอะไรได้ดี ขอบคุณหนังและการแสดงอันยอดเยี่ยมของ เบน สติลเลอร์ ขอปิดท้ายด้วยคำขวัญของนิตยสาร L.I.F.E ที่ว่า
To see things thousands of miles away, things hidden behind walls and within rooms, things dangerous to come to...to draw closer...to see and be amazed เพื่อไม่ให้ใจความผิดเพี้ยน ขออนุญาตไม่แปลนะครับ
คะแนน 8.5/10
โดย นกไซเบอร์
ที่มาจาก http://movie.bugaboo.tv/watch/99602