ทั้งเกย์และกระเทย จะเริ่มรู้สึกว่าตนเองต่างจากเพื่อเพศเดียวกัน ตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ หรือเมื่อเริ่มจำความได้ โดยจะจดจำว่าพ่อแม่ตักเตือนอยู่เสมอว่าอย่าทำตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งอาจจะสร้างความรู้สึกกดดันภายในจิตใจ
ด้านพฤติกรรมจะมีความรู้สึกอ่อนไหว ร้องไห้ง่าย กิริยามารยาทคล้ายเด็กหญิง ชอบแต่งตัว ชอบเล่นกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ไม่ชอบเล่นรุนแรง เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกทางเพศเดียวกัน แตกต่างจากเพื่อนผู้ชายทั่วไป
เนื่องจากเด็กรับรู้ว่าสังคมทั่วไปมีความรู้สึกรังเกียจเกย์และกระเทย เด็กจึงสับสนไม่แน่ใจ ในการวางตัวในสังคม ความเครียด และพยายามบิดปังความรู้สึกของตนเอง บางคนพยายามป้องกันตนเอง โดยพยายามทำตัวเป็นชายชาตรี เช่น พยายามมีคนรักเป็นผู้หญิงหลายๆ คน เพาะกายให้ดูเป็น “แมน” แสดงตนก้าวร้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีเด็กบางคนก็พยายามหาสิ่งทดแทนความด้อย เช่น พยายามขยัน ตั้งใจเรียน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อน ซึ่งเป็นการทดแทนที่ดีถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจ เด็กจะยิ่งมีความทุกข์ทรมานใจมากขึ้น บางคนมาปรึกษาแพทย์เพื่อขอฉีดฮอร์โมนเพศชาย โดยหวังว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกและความต้องการในใจ แต่ความเป็นจริงฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้มีผลดังที่หวังเลย
ระยะสับสนกังวลนี้อาจจะกินเวลานานมากหรือน้อย แล้วแต่ตัวเด็กแต่ละคน เมื่อผ่านระยะนี้ไปเด็กจะเริ่มยอมรับความรู้สึกและความต้องการทางเพศของตน เองมากขึ้น ความเครียด ความวิตกกังวลจะลดลง ในขั้นต่อไปอาจพัฒนาถึงขั้นเปิดเผยตนเองต่อสังคม และสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี
สังคมไทยยอมรับเกย์และกระเทยมากขึ้นกว่าในหลายประเทศ แต่คนบางกลุ่มก็ยังรู้สึกในแง่ลบกับเกย์และกะเทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพเกย์และกะเทยที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ แสดงเป็นตัวตลกบ้าๆ บอๆ มีอารมณ์รุนแรงโหดเหี้ยม ซึ่งความจริงที่ปรากฏก็คือเกย์และกะเทยที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคมก็มีอยู่มาก
ผลจากการศึกษากลุ่มชายรักชาย 100 คน ซึ่งเป็นเกย์ 95 คน เป็นกะเทย 5 คน พบว่า 40 คน ทำงานเป็นลูกจ้างในสำนักงาน รองลงมาคือ ธุรกิจส่วนตัว สถานเสริมความงาม ร้านอาหาร ร้องเพลง ครูเต้นรำ นาฏศิลป์ และพิธีกร ตามลำดับ
ในจำนวนนี้ 61 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้ชาย และจำนวน 34 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้หญิง ผู้เข้ารับการสำรวจยังบอกว่ามีประสบการณ์ทางเพศหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศ ส่วนใหญ่เนื่องจากความรัก หรือความต้องการทางเพศ และอีก 5 คนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
ด้านชีวิตการแต่งงานพบว่า 88 คน ยังเป็นโสดหรือมีคู่เป็นชาย และอีก 12 คน เคยแต่งงานกับหญิง
ในจำนวนทั้งหมดนี้ 4 คน หย่ากับภรรยาแล้วเพราะ “เข้ากันไม่ได้”
อีก 2 คน หย่ากับภรรยาทั้งที่ครอบครัวมีความสุขพอควร แต่ยอมเสียสละให้ภรรยาได้มีโอกาสมีสามีที่เป็นชายเต็มตัว
อีก 1 คน กำลังจะหย่ากับภรรยา เพราะพบแฟนเป็นชายที่ให้ความสุขได้มากกว่าภรรยา
ส่วนอีก 5 คน ยังอยู่กับภรรยาและครอบครัวอย่างมีความสุข
จากการสำรวจพบข้อสังเกตว่าโอกาสล้มเหลวของเกย์แต่งงานกับผู้หญิงมี ค่อนข้างมาก แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยให้ชีวิตแต่งงานประสบความสำเร็จ คือรสนิยมทางเพศต้องเอียงไปทางชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หรือแต่งงานกันด้วยความรักและความเข้าใจ มีความซื่อสัตย์มั่นคงไม่นอกใจภรรยา มีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งภรรยามีความเข้าใจยอมรับ และให้อภัยด้วย
เรื่องความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ พบว่ามี 69 คนที่ตรวจเลือดหาโรคเอดส์ มีผลการตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์) 5 ราย หรือร้อยละ 7.6 ซึ่งนับว่าสูงกว่าประชากรทั่วไป สำหรับเรื่องของการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพร่างกายหลังจากติดเชื้อเอดส์ แล้วทางหน่วยงานที่มีส่วนในการรับผิดชอบควรมีมาตรการช่วยเหลือให้มากขึ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อยากรู้ไรจ๊ะ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แอบก็อปของเ้ขามาเองค่า[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สนใจเกย์เหรอ ??[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เค้าก็สนใจเกย์นะ (เขิน)
ชีวิตชายรักชาย นำรายละเอียดมาให้นะค่ะ
ด้านพฤติกรรมจะมีความรู้สึกอ่อนไหว ร้องไห้ง่าย กิริยามารยาทคล้ายเด็กหญิง ชอบแต่งตัว ชอบเล่นกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ไม่ชอบเล่นรุนแรง เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกทางเพศเดียวกัน แตกต่างจากเพื่อนผู้ชายทั่วไป
เนื่องจากเด็กรับรู้ว่าสังคมทั่วไปมีความรู้สึกรังเกียจเกย์และกระเทย เด็กจึงสับสนไม่แน่ใจ ในการวางตัวในสังคม ความเครียด และพยายามบิดปังความรู้สึกของตนเอง บางคนพยายามป้องกันตนเอง โดยพยายามทำตัวเป็นชายชาตรี เช่น พยายามมีคนรักเป็นผู้หญิงหลายๆ คน เพาะกายให้ดูเป็น “แมน” แสดงตนก้าวร้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีเด็กบางคนก็พยายามหาสิ่งทดแทนความด้อย เช่น พยายามขยัน ตั้งใจเรียน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อน ซึ่งเป็นการทดแทนที่ดีถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจ เด็กจะยิ่งมีความทุกข์ทรมานใจมากขึ้น บางคนมาปรึกษาแพทย์เพื่อขอฉีดฮอร์โมนเพศชาย โดยหวังว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกและความต้องการในใจ แต่ความเป็นจริงฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้มีผลดังที่หวังเลย
ระยะสับสนกังวลนี้อาจจะกินเวลานานมากหรือน้อย แล้วแต่ตัวเด็กแต่ละคน เมื่อผ่านระยะนี้ไปเด็กจะเริ่มยอมรับความรู้สึกและความต้องการทางเพศของตน เองมากขึ้น ความเครียด ความวิตกกังวลจะลดลง ในขั้นต่อไปอาจพัฒนาถึงขั้นเปิดเผยตนเองต่อสังคม และสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี
สังคมไทยยอมรับเกย์และกระเทยมากขึ้นกว่าในหลายประเทศ แต่คนบางกลุ่มก็ยังรู้สึกในแง่ลบกับเกย์และกะเทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพเกย์และกะเทยที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ แสดงเป็นตัวตลกบ้าๆ บอๆ มีอารมณ์รุนแรงโหดเหี้ยม ซึ่งความจริงที่ปรากฏก็คือเกย์และกะเทยที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคมก็มีอยู่มาก
ผลจากการศึกษากลุ่มชายรักชาย 100 คน ซึ่งเป็นเกย์ 95 คน เป็นกะเทย 5 คน พบว่า 40 คน ทำงานเป็นลูกจ้างในสำนักงาน รองลงมาคือ ธุรกิจส่วนตัว สถานเสริมความงาม ร้านอาหาร ร้องเพลง ครูเต้นรำ นาฏศิลป์ และพิธีกร ตามลำดับ
ในจำนวนนี้ 61 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้ชาย และจำนวน 34 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้หญิง ผู้เข้ารับการสำรวจยังบอกว่ามีประสบการณ์ทางเพศหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศ ส่วนใหญ่เนื่องจากความรัก หรือความต้องการทางเพศ และอีก 5 คนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
ด้านชีวิตการแต่งงานพบว่า 88 คน ยังเป็นโสดหรือมีคู่เป็นชาย และอีก 12 คน เคยแต่งงานกับหญิง
ในจำนวนทั้งหมดนี้ 4 คน หย่ากับภรรยาแล้วเพราะ “เข้ากันไม่ได้”
อีก 2 คน หย่ากับภรรยาทั้งที่ครอบครัวมีความสุขพอควร แต่ยอมเสียสละให้ภรรยาได้มีโอกาสมีสามีที่เป็นชายเต็มตัว
อีก 1 คน กำลังจะหย่ากับภรรยา เพราะพบแฟนเป็นชายที่ให้ความสุขได้มากกว่าภรรยา
ส่วนอีก 5 คน ยังอยู่กับภรรยาและครอบครัวอย่างมีความสุข
จากการสำรวจพบข้อสังเกตว่าโอกาสล้มเหลวของเกย์แต่งงานกับผู้หญิงมี ค่อนข้างมาก แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยให้ชีวิตแต่งงานประสบความสำเร็จ คือรสนิยมทางเพศต้องเอียงไปทางชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หรือแต่งงานกันด้วยความรักและความเข้าใจ มีความซื่อสัตย์มั่นคงไม่นอกใจภรรยา มีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งภรรยามีความเข้าใจยอมรับ และให้อภัยด้วย
เรื่องความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ พบว่ามี 69 คนที่ตรวจเลือดหาโรคเอดส์ มีผลการตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์) 5 ราย หรือร้อยละ 7.6 ซึ่งนับว่าสูงกว่าประชากรทั่วไป สำหรับเรื่องของการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพร่างกายหลังจากติดเชื้อเอดส์ แล้วทางหน่วยงานที่มีส่วนในการรับผิดชอบควรมีมาตรการช่วยเหลือให้มากขึ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้