Update ข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
> วันนี้ได้ถามข้อมูลเพิ่มเติมจากพี่เจ้าของคูปองแล้วนะคะ ได้ความว่า คืนนั้นทางรร.โทรฯหาพี่หลังจากที่พวกเรากลับไปแล้ว และขอ Username & Password ของ Ensogo เพื่อที่ทางพนง.จะเข้าไป Log In และปรินท์คูปองทั้งหมดออกมาเอง ณ คืนนั้นเลย โดยที่พวกเราจะได้ไม่ต้องตามไปให้ทีหลัง สรุปว่าเรื่องทั้งหมดก็เลยเคลียร์กันจบได้ในคืนนั้นอย่างน่าโล่งอกเลยค่ะ <
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวานนี้จขกท.ไปกินบุฟเฟต์ที่ห้องอาหารกับเพื่อนๆในแผนก ณ โรงแรมแห่งหนึ่งย่านสยาม โดยใช้คูปอง Ensogo ลด 50% จาก 1,100 เหลือ 550 บาท ซึ่งจริงๆกำหนดการเดิมนั้นวางแผนเอาไว้ว่าจะไปกันตั้งแต่วันที่ 25/12/13 แล้ว โทรไปจองที่จองโต๊ะเรียบร้อย แต่จนท.ที่รร.โทรมาแจ้งในคืนวันที่ 24 ว่าขอเลื่อนไปวันอื่น เพราะวันที่ 25 จะไม่มีบุฟเฟต์ให้บริการ ชาวแผนก Customer Service ก็เลยเปลี่ยนแผนมากินวันที่ 3/1/14 แทน (ยังดีนะ ที่ไม่บอกตอนที่เดินทางไปถึงโรงแรมแล้ว)
พอเข้าไปดูในไลน์อาหารด้วยความคาดหวังเต็ม 100% ว่าจะได้ซัดหอยนางรม+ปู+แซลมอนแบบอันลิมิเต็ด (เพราะเคยมีคนตั้งกระทู้รีวิวในพันทิปว่าบุฟเฟต์ที่นี่มีทั้งหอยนางรม ทั้งปู) ปรากฏว่าได้กินแต่แซลมอน หอยกับปูไม่มี ก็ทำใจแล้วว่าเอาวะ เขาคงจัดไลน์เวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน เลยหันไปเอนจอยกับอาหาร+ขนมหวานอื่นๆแทน (ขนมหวานอร่อยมาก) และหลังจากการบริโภคแบบพายุลง บรรดาพี่ๆบางส่วนก็ขอปลีกตัวกลับไปก่อน (รวมถึงพี่เจ้าของคูปอง ensogo ด้วย) เหลือไว้แต่พี่ซุปเปอร์ไวเซอร์และน้องสาวหน้าใสอีกสี่คนที่ยังคงซัดขนมหวานกันต่ออย่างเพลิดเพลิน เมื่อถึงคราวที่พวกเราเก็บข้าวของจะกลับบ้าน การเซอร์ไพรซ์อันน่าจดจำจากพนง.ก็ระเบิดตูมลงมา
น้องพนง.ผิวเข้มท่านหนึ่งเดินมาแจ้งว่าคูปองที่ปรินท์มาให้ไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากมากัน 10 คน ต้องใช้คูปองทั้งหมด 10 ใบ แต่ทางเราซื้อ 10 ใบมาก็จริง แต่ดันปรินท์มาแค่ใบเดียว จึงไม่สามารถใช้ส่วนลดราคาพิเศษได้ สมาชิกที่เหลือก็เลยปรึกษากันและโทรไปหาคุณพี่เจ้าของคูปอง ให้ส่งอีเมลล์ดีลที่ซื้อไว้มา จะได้ปรินท์ ณ ตรงนั้นเลย ซึ่งทางน้องพนง.ผิวเข้มบอกก็โอเค ให้ใช้เครื่องปริ้นท์ได้ แต่ปรากฏว่า้พนง.อีกคนหนึ่งเดินมาด้วยท่าทางโมโหสุดๆ ลากน้องผิวเข้มออกไป แล้วโวยวายใส่น้องเขาตรงหน้าแคชเชียร์ก่อนที่จะจ้องมาทางโต๊ะเรา (โต๊ะอื่นก็หันมามองที่โต๊ะเราเลย =_=) สงสัยพนง.คนนั้นจะเพิ่งนึกออกว่ามีคนมอง ก็เลยลากแขนน้องผิวเข้มเข้าไปในห้องสตาฟ์หลังครัวบาร์บีคิว แล้วเฉ่งใส่อีกรอบ ท่าทางจะโหดมากจนพนง.เสิรฟ์คนอื่นๆชะโงกหน้าเข้าไปดู
อารมณ์พวกเราตอนนั้นก็แบบ "เฮ้ย..นี่เสียเงินค่าดีลไปแล้วนะ ไม่ได้มาขอกินฟรีนะเฟ้ย" แถมโต๊ะข้างๆก็เริ่มมองมาที่โต๊ะเราแปลกๆแล้ว (คงได้ยินที่พนง.พูดเหมือนกัน) หลังจากนั้นสักพัก พนง.โหดก็เดินมาหาที่โต๊ะด้วยหน้าตึงๆยิ้มแบบฝืนๆ บอกว่าเขาเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ของห้องอาหารนี้ และเพิ่งมาทำงานวันแรก จึงไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคูปองและเงื่อนไข (เมิงทำงานยังไงกันฟะ) และสำหรับเคสนี้ เขาได้ขออนุญาติกับผจก.เป็นกรณีพิเศษแล้วให้พวกเรากลับไปได้ แต่ท่าทางของเฮียซุปผู้นั้นทำเหมือนกับพวกเราไปขอกินฟรีเลย เพื่อนในกลุ่มท่านหนึ่งมากระซิบให้เราฟังว่า ได้ยินคุณซุปคนนี้บอกกับพนง.ว่าทำไมไม่ไล่พวกเราออกไปตั้งแต่ทีแรก โอ้ !!! สงสัยคงคิดว่าเราจะมาขอกินฟรีจริงๆมั้งเนี่ย
จากเดิมที่เคยคาดหวังไว้ว่าเป็นห้องอาหารของโรงแรมในเครือดัง ห้องอาหารก็เริ่มมีคนสมาชิกมารีวิวในพันทิปแล้ว แต่การบริการที่ได้รับจากพนักงานนั้นไม่น่าประทับใจเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเขาคัดเลือกคนเข้ามาทำงานด้วยเกณฑ์อะไร เมื่อมองในมุมมองของคนที่ต้องทำอาชีพบริการลูกค้าเหมือนกัน บอกได้คำเดียวว่าอยากจะปรับตกการทำงานของซุปเปอร์ไวเซอร์ของห้องอาหารนี้ในหลายเรื่องมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
1. ไม่ประทับใจที่พนง.ไม่เก็บอาการไม่พอใจและแสดงออกต่อหน้าลูกค้าอย่างชัดเจน คนที่ทำอาชีพในสายงานบริการลูกค้านั้น ต่อให้โมโหโกรธายังไง ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เสมอ น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก การไม่พอใจลูกค้าไม่ใช่เรื่องผิด ลูกค้าบางคนอาจไม่น่ารัก หรืออาจจะงี่เง่าไปบ้าง แต่ขอให้ชี้แจงด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตั้ง และอย่าออกอาการเหวี่ยงอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้เลย
2. การเป็นพนง.บริการส่วนหน้า ควรจะทราบถึงโปรโมชั่นและเงื่อนไขการใช้ต่างๆของทางห้องอาหาร หากเห็นว่าผิดปกติหรือไม่ถูกต้อง ควรจะแจ้งให้ลค.รู้ก่อน ณ ตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาเห็นแล้วโวยวายทีหลัง คือส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของพวกเราเอง แต่ถ้าบอกเสียตั้งแต่ทีแรกที่ยื่นคูปอง ว่าต้องแสดงให้ครบ 10 ใบ เราก็จะได้ไปหาที่ปริ๊นท์มาให้เลย และโดยปกติแล้ว หากในแผนกของตนมีโปรโมชั่นหรือกิจกรรมใดๆ หัวหน้าฝ่ายจะต้องมีการบรีฟให้ลูกน้องฟังก่อนเริ่มงานเสมอ (แต่อันนี้ขนาดตัวซุปเปอร์ไวเซอร์เองยังไม่รู้เลย ปวดใจจริงๆ)
3. พนง.บริการส่วนหน้า คือหน้าตาที่สำคัญของห้องอาหาร ความประทับใจของการใช้บริการ 50% คือห้องอาหาร และอีก 50% คือพนักงาน บอกตามตรงว่าอยากจะให้คะแนนพนักงานติดลบสุดๆด้วยซ้ำ คือสีหน้าซุปเปอร์ไวเซอร์ห้องอาหารแสดงออกชัดเจนเลยว่าไม่พอใจพวกเราอย่างแรง คือแบบ...เก็บอาการหน่อยเถอะ ตอนแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะมารีวิวห้องอาหารนี้ลงพันทิปแล้วนะ แต่พอมาเจออย่างนี้เข้าไป เปลี่ยนใจทันทีเลย
4. (ข้อนี้ความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ) เรากับเพื่อนร่วมสายอาชีพเดียวกันในกลุ่มมีความเชื่ออยู่ว่า หากลูกค้าคนแรกของวัน (เดือน/ปี) เป็นอย่างไร ก็จะเจอแต่ลูกค้าประมาณนั้นทั้งวัน เช่น หากลูกค้าสายแรกที่โทรฯเข้ามาในเป็นสายร้องเรียน วันนั้นทั้งวันก็จะเต็มไปด้วยสายลูกค้าโวยวาย หรือลูกค้าแรงๆแทบทั้งวัน (จขกท.เป็น Call Center จ้า) ซึ่งอันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ค่อนข้างเป้นที่ยึดถือกันในกลุ่มพอสมควร เพราะเคยเจอจังๆมาแล้วหลายครั้ง ทำให้เศษเสี้ยงบางส่วนในใจ พยายามคิดถึงใจเขา ใจเราของเฮียซุปฯห้องอาหารคนนั้น ว่าพวกเราเป็นลูกค้าโต๊ะแรก และถ้าวันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเราจริงๆ ก็จะถือว่าเราเป็นลูกค้ารายแรกในรอบปีของเขาด้วย ซึ่งถ้าหากเราร้องเรียนเรื่องการบริการและการแสดงออกที่ไม่สมควรของเขาให้ทางโรงแรมได้รับรู้ กลัวว่าเขาจะซวยไปตลอดปี ตอนนี้็เลยยั้งใจเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะยังโมโหอยู่ก็ตาม และคำต้องห้ามในแผนกคือคำว่า "คอมเพลน" และ "ร้องเรียน" วันไหนที่บ่นว่าจะ "คอมเพลน" หรือ "ร้องเรียน" ใคร สายลูกค้าคอมเพลนก็จะกระหน่ำเข้ามาเหมือนกับนัดกันเอาไว้เลย 55
5. เคยได้ยินเขาเล่ามาทั้งจากคนใกล้ตัวและพันทิป ว่าการใช้บริการดีลราคาพิเศษ มักจะได้รับการบริการแบบสองมาตรฐาน ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้ชักจะเชื่อแล้วละ
เราเองอยากจะเก็บประสบการณ์ตรงนี้เอาไว้ และเอาไปปรับใช้ในการทำงานจริงๆนะ พนง.บริการคือหน้าตาของห้องอาหารโรงแรม ถ้ายิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจบริการ ลูกค้าก็อยากจะกลับไปกินอีก แต่มาเจอซูปเปอร์ไวเซอร์เจ้าอารมณ์แบบนี้ บ่องตง เค้าผวาไม่อยากไปกินบุฟเฟต์โรงแรมแล้วอะ เดี๋ยวจะมามองว่าไปขอกินฟรี ไม่มีปัญญาจ่ายอีก กลัวจริงๆนะเออ
ปล.แท็กบุฟเฟต์+โรงแรม เพราะมันเป็นห้องอาหารบุฟเฟต์ในเครือ รร./ แท็คมนุษย์เงินเดือน เพราะขอวิจารณ์พนักงานคนนั้นในฐานะคนที่ทำอาชีพในสายงานบริการลูกค้าเหมือนกันค่ะ
ปล.2 ถึงพนักงานจะน่าโมโหขนาดไหน แต่รสชาติอาหารอร่อยใช้ได้เลย ให้คะแนนอาหาร 8/10 ค่ะ
เล่าสู่กันฟัง : เมื่อไปกินเลี้ยงปีใหม่กับเพื่อนในแผนกด้วยดีล Ensogo แล้วต้องจบแบบเจ็บๆ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวานนี้จขกท.ไปกินบุฟเฟต์ที่ห้องอาหารกับเพื่อนๆในแผนก ณ โรงแรมแห่งหนึ่งย่านสยาม โดยใช้คูปอง Ensogo ลด 50% จาก 1,100 เหลือ 550 บาท ซึ่งจริงๆกำหนดการเดิมนั้นวางแผนเอาไว้ว่าจะไปกันตั้งแต่วันที่ 25/12/13 แล้ว โทรไปจองที่จองโต๊ะเรียบร้อย แต่จนท.ที่รร.โทรมาแจ้งในคืนวันที่ 24 ว่าขอเลื่อนไปวันอื่น เพราะวันที่ 25 จะไม่มีบุฟเฟต์ให้บริการ ชาวแผนก Customer Service ก็เลยเปลี่ยนแผนมากินวันที่ 3/1/14 แทน (ยังดีนะ ที่ไม่บอกตอนที่เดินทางไปถึงโรงแรมแล้ว)
พอเข้าไปดูในไลน์อาหารด้วยความคาดหวังเต็ม 100% ว่าจะได้ซัดหอยนางรม+ปู+แซลมอนแบบอันลิมิเต็ด (เพราะเคยมีคนตั้งกระทู้รีวิวในพันทิปว่าบุฟเฟต์ที่นี่มีทั้งหอยนางรม ทั้งปู) ปรากฏว่าได้กินแต่แซลมอน หอยกับปูไม่มี ก็ทำใจแล้วว่าเอาวะ เขาคงจัดไลน์เวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน เลยหันไปเอนจอยกับอาหาร+ขนมหวานอื่นๆแทน (ขนมหวานอร่อยมาก) และหลังจากการบริโภคแบบพายุลง บรรดาพี่ๆบางส่วนก็ขอปลีกตัวกลับไปก่อน (รวมถึงพี่เจ้าของคูปอง ensogo ด้วย) เหลือไว้แต่พี่ซุปเปอร์ไวเซอร์และน้องสาวหน้าใสอีกสี่คนที่ยังคงซัดขนมหวานกันต่ออย่างเพลิดเพลิน เมื่อถึงคราวที่พวกเราเก็บข้าวของจะกลับบ้าน การเซอร์ไพรซ์อันน่าจดจำจากพนง.ก็ระเบิดตูมลงมา
น้องพนง.ผิวเข้มท่านหนึ่งเดินมาแจ้งว่าคูปองที่ปรินท์มาให้ไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากมากัน 10 คน ต้องใช้คูปองทั้งหมด 10 ใบ แต่ทางเราซื้อ 10 ใบมาก็จริง แต่ดันปรินท์มาแค่ใบเดียว จึงไม่สามารถใช้ส่วนลดราคาพิเศษได้ สมาชิกที่เหลือก็เลยปรึกษากันและโทรไปหาคุณพี่เจ้าของคูปอง ให้ส่งอีเมลล์ดีลที่ซื้อไว้มา จะได้ปรินท์ ณ ตรงนั้นเลย ซึ่งทางน้องพนง.ผิวเข้มบอกก็โอเค ให้ใช้เครื่องปริ้นท์ได้ แต่ปรากฏว่า้พนง.อีกคนหนึ่งเดินมาด้วยท่าทางโมโหสุดๆ ลากน้องผิวเข้มออกไป แล้วโวยวายใส่น้องเขาตรงหน้าแคชเชียร์ก่อนที่จะจ้องมาทางโต๊ะเรา (โต๊ะอื่นก็หันมามองที่โต๊ะเราเลย =_=) สงสัยพนง.คนนั้นจะเพิ่งนึกออกว่ามีคนมอง ก็เลยลากแขนน้องผิวเข้มเข้าไปในห้องสตาฟ์หลังครัวบาร์บีคิว แล้วเฉ่งใส่อีกรอบ ท่าทางจะโหดมากจนพนง.เสิรฟ์คนอื่นๆชะโงกหน้าเข้าไปดู
อารมณ์พวกเราตอนนั้นก็แบบ "เฮ้ย..นี่เสียเงินค่าดีลไปแล้วนะ ไม่ได้มาขอกินฟรีนะเฟ้ย" แถมโต๊ะข้างๆก็เริ่มมองมาที่โต๊ะเราแปลกๆแล้ว (คงได้ยินที่พนง.พูดเหมือนกัน) หลังจากนั้นสักพัก พนง.โหดก็เดินมาหาที่โต๊ะด้วยหน้าตึงๆยิ้มแบบฝืนๆ บอกว่าเขาเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ของห้องอาหารนี้ และเพิ่งมาทำงานวันแรก จึงไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคูปองและเงื่อนไข (เมิงทำงานยังไงกันฟะ) และสำหรับเคสนี้ เขาได้ขออนุญาติกับผจก.เป็นกรณีพิเศษแล้วให้พวกเรากลับไปได้ แต่ท่าทางของเฮียซุปผู้นั้นทำเหมือนกับพวกเราไปขอกินฟรีเลย เพื่อนในกลุ่มท่านหนึ่งมากระซิบให้เราฟังว่า ได้ยินคุณซุปคนนี้บอกกับพนง.ว่าทำไมไม่ไล่พวกเราออกไปตั้งแต่ทีแรก โอ้ !!! สงสัยคงคิดว่าเราจะมาขอกินฟรีจริงๆมั้งเนี่ย
จากเดิมที่เคยคาดหวังไว้ว่าเป็นห้องอาหารของโรงแรมในเครือดัง ห้องอาหารก็เริ่มมีคนสมาชิกมารีวิวในพันทิปแล้ว แต่การบริการที่ได้รับจากพนักงานนั้นไม่น่าประทับใจเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเขาคัดเลือกคนเข้ามาทำงานด้วยเกณฑ์อะไร เมื่อมองในมุมมองของคนที่ต้องทำอาชีพบริการลูกค้าเหมือนกัน บอกได้คำเดียวว่าอยากจะปรับตกการทำงานของซุปเปอร์ไวเซอร์ของห้องอาหารนี้ในหลายเรื่องมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
1. ไม่ประทับใจที่พนง.ไม่เก็บอาการไม่พอใจและแสดงออกต่อหน้าลูกค้าอย่างชัดเจน คนที่ทำอาชีพในสายงานบริการลูกค้านั้น ต่อให้โมโหโกรธายังไง ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เสมอ น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก การไม่พอใจลูกค้าไม่ใช่เรื่องผิด ลูกค้าบางคนอาจไม่น่ารัก หรืออาจจะงี่เง่าไปบ้าง แต่ขอให้ชี้แจงด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์เป็นตัวตั้ง และอย่าออกอาการเหวี่ยงอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้เลย
2. การเป็นพนง.บริการส่วนหน้า ควรจะทราบถึงโปรโมชั่นและเงื่อนไขการใช้ต่างๆของทางห้องอาหาร หากเห็นว่าผิดปกติหรือไม่ถูกต้อง ควรจะแจ้งให้ลค.รู้ก่อน ณ ตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาเห็นแล้วโวยวายทีหลัง คือส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของพวกเราเอง แต่ถ้าบอกเสียตั้งแต่ทีแรกที่ยื่นคูปอง ว่าต้องแสดงให้ครบ 10 ใบ เราก็จะได้ไปหาที่ปริ๊นท์มาให้เลย และโดยปกติแล้ว หากในแผนกของตนมีโปรโมชั่นหรือกิจกรรมใดๆ หัวหน้าฝ่ายจะต้องมีการบรีฟให้ลูกน้องฟังก่อนเริ่มงานเสมอ (แต่อันนี้ขนาดตัวซุปเปอร์ไวเซอร์เองยังไม่รู้เลย ปวดใจจริงๆ)
3. พนง.บริการส่วนหน้า คือหน้าตาที่สำคัญของห้องอาหาร ความประทับใจของการใช้บริการ 50% คือห้องอาหาร และอีก 50% คือพนักงาน บอกตามตรงว่าอยากจะให้คะแนนพนักงานติดลบสุดๆด้วยซ้ำ คือสีหน้าซุปเปอร์ไวเซอร์ห้องอาหารแสดงออกชัดเจนเลยว่าไม่พอใจพวกเราอย่างแรง คือแบบ...เก็บอาการหน่อยเถอะ ตอนแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะมารีวิวห้องอาหารนี้ลงพันทิปแล้วนะ แต่พอมาเจออย่างนี้เข้าไป เปลี่ยนใจทันทีเลย
4. (ข้อนี้ความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ) เรากับเพื่อนร่วมสายอาชีพเดียวกันในกลุ่มมีความเชื่ออยู่ว่า หากลูกค้าคนแรกของวัน (เดือน/ปี) เป็นอย่างไร ก็จะเจอแต่ลูกค้าประมาณนั้นทั้งวัน เช่น หากลูกค้าสายแรกที่โทรฯเข้ามาในเป็นสายร้องเรียน วันนั้นทั้งวันก็จะเต็มไปด้วยสายลูกค้าโวยวาย หรือลูกค้าแรงๆแทบทั้งวัน (จขกท.เป็น Call Center จ้า) ซึ่งอันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ค่อนข้างเป้นที่ยึดถือกันในกลุ่มพอสมควร เพราะเคยเจอจังๆมาแล้วหลายครั้ง ทำให้เศษเสี้ยงบางส่วนในใจ พยายามคิดถึงใจเขา ใจเราของเฮียซุปฯห้องอาหารคนนั้น ว่าพวกเราเป็นลูกค้าโต๊ะแรก และถ้าวันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเราจริงๆ ก็จะถือว่าเราเป็นลูกค้ารายแรกในรอบปีของเขาด้วย ซึ่งถ้าหากเราร้องเรียนเรื่องการบริการและการแสดงออกที่ไม่สมควรของเขาให้ทางโรงแรมได้รับรู้ กลัวว่าเขาจะซวยไปตลอดปี ตอนนี้็เลยยั้งใจเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะยังโมโหอยู่ก็ตาม และคำต้องห้ามในแผนกคือคำว่า "คอมเพลน" และ "ร้องเรียน" วันไหนที่บ่นว่าจะ "คอมเพลน" หรือ "ร้องเรียน" ใคร สายลูกค้าคอมเพลนก็จะกระหน่ำเข้ามาเหมือนกับนัดกันเอาไว้เลย 55
5. เคยได้ยินเขาเล่ามาทั้งจากคนใกล้ตัวและพันทิป ว่าการใช้บริการดีลราคาพิเศษ มักจะได้รับการบริการแบบสองมาตรฐาน ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้ชักจะเชื่อแล้วละ
เราเองอยากจะเก็บประสบการณ์ตรงนี้เอาไว้ และเอาไปปรับใช้ในการทำงานจริงๆนะ พนง.บริการคือหน้าตาของห้องอาหารโรงแรม ถ้ายิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจบริการ ลูกค้าก็อยากจะกลับไปกินอีก แต่มาเจอซูปเปอร์ไวเซอร์เจ้าอารมณ์แบบนี้ บ่องตง เค้าผวาไม่อยากไปกินบุฟเฟต์โรงแรมแล้วอะ เดี๋ยวจะมามองว่าไปขอกินฟรี ไม่มีปัญญาจ่ายอีก กลัวจริงๆนะเออ
ปล.แท็กบุฟเฟต์+โรงแรม เพราะมันเป็นห้องอาหารบุฟเฟต์ในเครือ รร./ แท็คมนุษย์เงินเดือน เพราะขอวิจารณ์พนักงานคนนั้นในฐานะคนที่ทำอาชีพในสายงานบริการลูกค้าเหมือนกันค่ะ
ปล.2 ถึงพนักงานจะน่าโมโหขนาดไหน แต่รสชาติอาหารอร่อยใช้ได้เลย ให้คะแนนอาหาร 8/10 ค่ะ