คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ร้านประเภทนี้ อย่างเช่น Eve and Boy พวกนี้เค้าไม่ได้ลงทุนซื้อของเข้าร้านเองนะ เค้าไปติดต่อบริษัทผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าเครื่องสำอางยี่ห้อนั้นๆให้เข้ามาขายในร้านเขา โดยแบ่ง % กันเมื่อขายได้ เช่น Eve and Boy จะคิดมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 40% ของราคาขาย ถ้าบริษัทไหนดังๆ ใหญ่ๆ ก็จะมีอำนาจในการต่อรองได้มาก อาจจะลดได้เหลือ 30% อะไรทำนองนี้ บางแบรนด์ขายขาดก็มี แต่ของต้องดังจริงนะ
และการที่บริษัทผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า จะเอาสินค้าของเขามาฝากผีฝากไข้กับเรานั้น เราต้องมีประสบการณ์ ชื่อเสียง ในการทำธุรกิจด้านนี้มาระดับนึงเลยค่ะ ไม่งั้นเราจะได้แต่ยี่ห้อเล็กๆมาขายในร้าน ยี่ห้อใหญ่ๆเค้าจะไม่สนเราเลยค่ะ
ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ Eve and Boy นะ ยังไมีร้าน Lashes ร้าน Beautrium ร้าน beauty market และร้านสัญชาติญี่ปุ่น หรือออกแนวๆร้านขายยาอีก ตอนนี้เริ่มเยอะแล้ว เพียงแต่ยังไม่ใกล้เคียงกับ sasa ที่ฮ่องกง เพราะ sasa ที่ฮ่องกงมีสินค้าเค้าน์เตอร์แบรนด์และน้ำหอม ซึ่ง บริษัทผู้นำเข้าสินค้าเค้าน์เตอร์แบรนด์และน้ำหอมในประเทศไทย บางยี่ห้อ ไม่มีนโยบายส่งสินค้าของตัวเองไปขายในร้านลักษณะนี้ จะขายเฉพาะในเค้าน์เตอร์ห้างเท่านั้น เพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์แบรนด์ หรืออะไรก็ว่าไป ไทยกับฮ่องกงไม่เหมือนกัน
ถ้าถามว่า แล้วทำไม Eve and Boy มีน้ำหอมขาย และราคาถูกด้วย คือมันมีวิธีการซื้อขายที่อาจจะซับซ้อนไปนิด รายละเอียดเชิงลึกขอไม่เอ่ย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นของปลอมนะ ของแท้นั่นแหละ
ถ้าจะขายเป็นร้านเล็กๆ แบบมีของหิ้ว ทำได้ เราเคยเปิดร้านขายของหิ้ว (แต่ต้องจ่ายตังค์ค่าดูแลด้วย เพราะมันไม่ถูกกฎหมาย) ตอนนี้เลิกทำแระ
ส่วนการติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์สาขาอันนี้ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่า ถึงได้มา ของที่จะขายในร้านก็จะไม่เหมือนที่ฮ่องกงซะทีเดียวหรอก เพราะนโยบาย หรือกฎหมายต่างๆ ไม่เหมือนกันค่ะ
และการที่บริษัทผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า จะเอาสินค้าของเขามาฝากผีฝากไข้กับเรานั้น เราต้องมีประสบการณ์ ชื่อเสียง ในการทำธุรกิจด้านนี้มาระดับนึงเลยค่ะ ไม่งั้นเราจะได้แต่ยี่ห้อเล็กๆมาขายในร้าน ยี่ห้อใหญ่ๆเค้าจะไม่สนเราเลยค่ะ
ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ Eve and Boy นะ ยังไมีร้าน Lashes ร้าน Beautrium ร้าน beauty market และร้านสัญชาติญี่ปุ่น หรือออกแนวๆร้านขายยาอีก ตอนนี้เริ่มเยอะแล้ว เพียงแต่ยังไม่ใกล้เคียงกับ sasa ที่ฮ่องกง เพราะ sasa ที่ฮ่องกงมีสินค้าเค้าน์เตอร์แบรนด์และน้ำหอม ซึ่ง บริษัทผู้นำเข้าสินค้าเค้าน์เตอร์แบรนด์และน้ำหอมในประเทศไทย บางยี่ห้อ ไม่มีนโยบายส่งสินค้าของตัวเองไปขายในร้านลักษณะนี้ จะขายเฉพาะในเค้าน์เตอร์ห้างเท่านั้น เพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์แบรนด์ หรืออะไรก็ว่าไป ไทยกับฮ่องกงไม่เหมือนกัน
ถ้าถามว่า แล้วทำไม Eve and Boy มีน้ำหอมขาย และราคาถูกด้วย คือมันมีวิธีการซื้อขายที่อาจจะซับซ้อนไปนิด รายละเอียดเชิงลึกขอไม่เอ่ย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นของปลอมนะ ของแท้นั่นแหละ
ถ้าจะขายเป็นร้านเล็กๆ แบบมีของหิ้ว ทำได้ เราเคยเปิดร้านขายของหิ้ว (แต่ต้องจ่ายตังค์ค่าดูแลด้วย เพราะมันไม่ถูกกฎหมาย) ตอนนี้เลิกทำแระ
ส่วนการติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์สาขาอันนี้ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่า ถึงได้มา ของที่จะขายในร้านก็จะไม่เหมือนที่ฮ่องกงซะทีเดียวหรอก เพราะนโยบาย หรือกฎหมายต่างๆ ไม่เหมือนกันค่ะ
แสดงความคิดเห็น
สนใจจะเปิดร้านขายเครื่องสำอางในแบบ sasa ในฮ่องกง ขอความเห็นหน่อยครับ
จะเห็นว่าตลาดเครื่องสำอางและน้ำหอมเป็นตลาดฟุ่มเฟือย ใช้ emotion ในการซื้อมากกว่าเหตุผล
ในฮ่องกงร้านแบบ sasa มีเปิดไปทั่วคล้ายกับ 7-11 บ้านเราเลย กลุ่มลูกค้าแทบจะไม่ต้องเข้าห้างเพื่อไปซื้อเครื่องสำอาง
หลังเลิกงาน หลังเรียน สามารถแวะเข้าช็อปเครื่องสำอางได้ทันที ถ้าสามารถทำแบบนี้กับไทยได้ เปิดตาม line bts mrt เจาะกลุ่มลูกค้าคนทำงาน
พบว่าในไทยยังไม่มีร้านแบบนี้ จะมีคล้ายๆกันก็ evy and boy แต่สินค้ายังเป็นพวกสินค้าที่ขายในไทย แต่ราคาถูกกว่า
ถ้าจะทำแบบ sasa ในฮ่องกง น่าจะมีความน่าสนใจ จากสาวๆขาช็อปทั้งหลาย
1) ต้องใช้เงินลงทุนประมาณเท่าไหร่ พวกสินค้า สต็อคของ ไม่รวมสถานที่ขาย
2) สินค้าจะนำเข้ามาจากไหน พวกสินค้าที่ไม่มีขายในไทย ที่สาวๆต้องฝากหิ้ว หรือบินไปช็อป
3) คิดไกลกว่านั้นถ้าจะใช้ชื่อ sasa เลย จะติดต่อคุยกับบริษัทแม่ยังไง เพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์หรือร่วมทุนเปิดสาขาในไทย
ขอความเห็นและแนะนำประสบการณ์ด้วยครับ