''ทอฟฟี่สีน้ำเงิน'' ยักษ์หลับไร้ถ้วยแชมป์ติดมือมานานพอๆ กันกับ คู่อริร่วมเมือง ลิเวอร์พูล ถ้าเทียบเฉพาะในลีก แต่ถ้ารวมบอลถ้วย ''หงส์แดง'' ยังเถียงได้อยู่บ้างเพราะมีโทรฟี่บอลถ้วยในประเทศรวมถึง ''ถ้วยบิ๊กเอียร์'' มาประดับตู้โชว์ในสโมสร
แต่การเป็นสโมสรขนาดกลางคงยากที่จะมาทัดเทียมมหาอำนาจของลีกอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล, แมนฯ ซิตี้, สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล ได้ในเร็ววัน แต่โครงสร้างของทีมกลับถูกปั้นแต่และขัดเกลาขึ้นมาแบบเป็นขั้นบันไดตามสเต็ป
โดยมีการวางรากฐานมาตั้งแต่ เดวิด มอยส์ กุนซือสมองเพชรที่เข้ามาวางนโยบายและโครงสรางของทีมร่วม 10 กว่าปี จนทำให้ทีมเกรดธรรมดาที่ไร้สตาร์ดังค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจนสามารถต่อกรทีมบิ๊กของประเทศจวบจนทุกวันนี้ แม้ไร้งบประมาณที่จะกว้านซื้อนักเตะระดับท็อปเฉกเช่นทีมเงินถุงเงินถังก็ตาม
แม้ทุกวันนี้กุนซือชาวสกอตต์จะขออำลาทีมที่เขาอุตส่าห์ปลุกปั้นมากับมือจนสามารถเดินด้วยขาของตัวเองอย่างมั่นคงได้แล้วโดยหันไปหาความท้าทายครั้งสำคัญในชีวิตกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แทนหลังจบซีซั่น 2012-13 ทำให้บรรดานักวิจารณ์และเกจิหลายคนต่างปรามาสว่า "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" จะถึงคราวยุคตกต่ำแล้วเพราะ เดวิด มอยส์ กลายเป็นสัญลักษณ์หรือโลโก้ของสโมสรก็ว่าได้
แต่บุคคลที่ทำให้สาวก "ทอฟฟี่เมนส์" ต้องลืมนายใหญ่ "ปีศาจแดง" คนปัจจุบันอย่างปลิดทิ่งมีนามว่า โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือเลือกกระทิง ที่อาจโนเนมและไม่มีดีกรีและบารมีอะไรนัก แต่ผลงานการคุมทีมที่ผ่านมาถือว่าเข้าตาเต็มๆ ไม่ใช่น้อย
ขอย้อนอดีตสักเล็กน้อยเพื่อเป็นข้อมูลเสริมว่าทำไมบอร์ดบริหาร เอฟเวอร์ตัน จึงไว้ใจเทรนเนอร์วัยเพียง 35 มากุมบังเหียน โดย มาร์ติเนซ เริ่มงานโค้ชครั้งแรกกับ สวอนซี ซิตี้ ในฤดูกาล 2006-07 ซึ่งตอนนั้นยังอยู่เพียง ลีก วัน อังกฤษ เท่านั้น ก่อนที่เขาจะสำแดงเดชเพียงซีซั่นที่สองของการรับหน้าที่เทรนเนอร์ในชีวิตด้วยการพา "หงส์ขาว" ขึ้นมาโลดแล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ สำเร็จ ก่อนจะขอโยกไปคุมทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง วีแกน อดีตต้นสังกัดเก่าสมัยยังเป็นนักเตะอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2009
ในช่วงเวลา 4 ปีของการกุมบังเหียน "เดอะ ลาติกส์" อาจไม่โดดเด่นอะไรนักเพราะด้วยทีมขนาดเล็ก แต่ มาร์ติเนซ ก็พยายามเน้นให้ทีมเล่นบอลอย่างสวยงามและเปิดเกมรุกต่อกรได้กับทุกทีมโดยไม่เกรงกลับศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ถึงจะต้องตกชั้นเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาก็ตาม แต่แฟนบอลก็หาได้โกรธเกรี้ยวอันใดไม่ เพราะตำแหน่ง เอฟเอ คัพ ถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมาประดับ ณ ตู้โชว์สโมสรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมเล็กๆ อย่าง วีแกน แอธเลติก ด้วยฝีมือของ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ที่สร้างเซอร์ไพรส์! โค่น แมนฯ ซิตี้ มาแบบช็อกโลก ในรอบชิงชนะเลิศ ที่เวมบลีย์
ผลงานเอกอุชิ้นนี้จึงเข้าตาหลายทีมที่จ้องดึงตัวกุนซือเลือดสเปนมาคุมทัพ แต่หวยมาออกที่ เอฟเวอร์ตัน ที่แย่งลายเซ็นมาได้สำเร็จ
หลังจากผ่านมาครึ่งทางของพรีเมียร์ลีก โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเจ๋งจริงสามารถพาทีมก้าวขึ้นมาเกาะกลุ่มนำของลีกกับพวกระดับท็อปได้อย่างไม่เป็นรอง ด้วยผลงานการแพ้น้อยที่สุดในลีก และที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งคือการปรับปรุงการเล่นของทีมแบบสังคายนาก็ว่าได้ จากบอลแบบโบราณไดเรกต์เน้นการโยนยาวและการโจมตีริมเส้นให้บรรดากองหน้าตัวใหญ่พักบอลและจบสกอร์เองภายใต้กุนซือเก่า เดวิด มอยส์ มาเน้นเกมรุกมากขึ้นโดยอาศัยการเล่นบนบนพื้นเป็นหลัก มีการต่อบอลทำเกมสวยงามมีระบบ และเพิ่มความหลากหลายในแนวรุก ซึ่งลูกทีมของเขาก็สามารถจูนกันได้อย่างลงตัวรวดเร็ว
และทีเป็นจุดขายและโชว์ถึงพรสวรรค์การเป็นผู้จัดการทีมคือสายตาที่แหลมคมในการดึงนักเตะมาร่วมงานด้วย ถือว่าเล่นเข้ากับระบบและกลมกลืนได้อย่างทันที ทั้ง แกเร็ธ แบร์รี่ กับ เจมส์ แม็คคาร์ธี่ ลูกน้องเก่า มาทำให้แดนกลางของทีมสมดุลทั้งรุก-รับ นี่ขนาด อารูน่า โกเน่ หัวหอกจอมเทคนิคที่โชว์ฟอร์มเด่นมากกับ วีแกน ในซีซั่นล่าสุด มาเจ็บพักยาวทั้งซีซั่น แต่การคว้าตัว โรเมลู ลูกากู กองหน้าส่วนเกินของเชลซี มาร่วมทีมแบบยืมตัวคือจิ๊กซอว์ชั้นเยี่ยมที่ทำให้ แนวรุกของ "ทอฟฟี่" จัดจ้านและอันตรายที่สุดทีมหนึ่งในลีก แค่หัวหอกทีมชาติเบลเยียมก็กดไปคนเดียวถึง 9 ประตูในลีกแล้ว
แม้การลุ้นแชมป์จะไกลเกินเอื้อมถึงในชั่วโมงนี้ แต่ผลงานยอดเยี่ยมของ "เอฟเวอร์โตเนี่ยน" ทำให้ดึงดูดเหล่าแฟนอบลชวนให้ติดตามยิ่งนัก เพราะดูแล้วเพลินเอามากๆ ณ ตอนนี้ ถือว่าเป็นรองเพียง เชลซี, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ เท่านั้นบนอันดับตารางคะแนน ยังเหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด "แชมป์เก่า" ด้วยซ้ำ และก็ดีกว่า สเปอร์ส ที่อยู่ในช่วงเป๋อย่างหนัก
เชื่อว่าถ้า โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ยังประคับประคองทีมหใคงเส้นคงวาได้ตลอดจนจบซีซั่นเช่นนี้ ไม่แน่โควต้ายุโรปอาจไม่ไกลเกินเอื้อมก็เป็นได้
อย่างน้อยก็ทำให้สาวก "ทอฟฟี่เมนส์" ได้ฮึกเหิมและกระชุ่มกระชวยอย่างมากในรอบหลายปีทีเดียว
credit : www.siamsport.co.th คอลัมน์ : ตีท้ายข่าว โดย "ก็องโต้"
[บทความทอฟฟี่สีน้ำเงิน 2013-12-31] ทอฟฟี่โฉมใหม่ของ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ
แต่การเป็นสโมสรขนาดกลางคงยากที่จะมาทัดเทียมมหาอำนาจของลีกอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล, แมนฯ ซิตี้, สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล ได้ในเร็ววัน แต่โครงสร้างของทีมกลับถูกปั้นแต่และขัดเกลาขึ้นมาแบบเป็นขั้นบันไดตามสเต็ป
โดยมีการวางรากฐานมาตั้งแต่ เดวิด มอยส์ กุนซือสมองเพชรที่เข้ามาวางนโยบายและโครงสรางของทีมร่วม 10 กว่าปี จนทำให้ทีมเกรดธรรมดาที่ไร้สตาร์ดังค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจนสามารถต่อกรทีมบิ๊กของประเทศจวบจนทุกวันนี้ แม้ไร้งบประมาณที่จะกว้านซื้อนักเตะระดับท็อปเฉกเช่นทีมเงินถุงเงินถังก็ตาม
แม้ทุกวันนี้กุนซือชาวสกอตต์จะขออำลาทีมที่เขาอุตส่าห์ปลุกปั้นมากับมือจนสามารถเดินด้วยขาของตัวเองอย่างมั่นคงได้แล้วโดยหันไปหาความท้าทายครั้งสำคัญในชีวิตกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แทนหลังจบซีซั่น 2012-13 ทำให้บรรดานักวิจารณ์และเกจิหลายคนต่างปรามาสว่า "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" จะถึงคราวยุคตกต่ำแล้วเพราะ เดวิด มอยส์ กลายเป็นสัญลักษณ์หรือโลโก้ของสโมสรก็ว่าได้
แต่บุคคลที่ทำให้สาวก "ทอฟฟี่เมนส์" ต้องลืมนายใหญ่ "ปีศาจแดง" คนปัจจุบันอย่างปลิดทิ่งมีนามว่า โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือเลือกกระทิง ที่อาจโนเนมและไม่มีดีกรีและบารมีอะไรนัก แต่ผลงานการคุมทีมที่ผ่านมาถือว่าเข้าตาเต็มๆ ไม่ใช่น้อย
ขอย้อนอดีตสักเล็กน้อยเพื่อเป็นข้อมูลเสริมว่าทำไมบอร์ดบริหาร เอฟเวอร์ตัน จึงไว้ใจเทรนเนอร์วัยเพียง 35 มากุมบังเหียน โดย มาร์ติเนซ เริ่มงานโค้ชครั้งแรกกับ สวอนซี ซิตี้ ในฤดูกาล 2006-07 ซึ่งตอนนั้นยังอยู่เพียง ลีก วัน อังกฤษ เท่านั้น ก่อนที่เขาจะสำแดงเดชเพียงซีซั่นที่สองของการรับหน้าที่เทรนเนอร์ในชีวิตด้วยการพา "หงส์ขาว" ขึ้นมาโลดแล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ สำเร็จ ก่อนจะขอโยกไปคุมทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง วีแกน อดีตต้นสังกัดเก่าสมัยยังเป็นนักเตะอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2009
ในช่วงเวลา 4 ปีของการกุมบังเหียน "เดอะ ลาติกส์" อาจไม่โดดเด่นอะไรนักเพราะด้วยทีมขนาดเล็ก แต่ มาร์ติเนซ ก็พยายามเน้นให้ทีมเล่นบอลอย่างสวยงามและเปิดเกมรุกต่อกรได้กับทุกทีมโดยไม่เกรงกลับศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ถึงจะต้องตกชั้นเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาก็ตาม แต่แฟนบอลก็หาได้โกรธเกรี้ยวอันใดไม่ เพราะตำแหน่ง เอฟเอ คัพ ถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมาประดับ ณ ตู้โชว์สโมสรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมเล็กๆ อย่าง วีแกน แอธเลติก ด้วยฝีมือของ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ที่สร้างเซอร์ไพรส์! โค่น แมนฯ ซิตี้ มาแบบช็อกโลก ในรอบชิงชนะเลิศ ที่เวมบลีย์
ผลงานเอกอุชิ้นนี้จึงเข้าตาหลายทีมที่จ้องดึงตัวกุนซือเลือดสเปนมาคุมทัพ แต่หวยมาออกที่ เอฟเวอร์ตัน ที่แย่งลายเซ็นมาได้สำเร็จ
หลังจากผ่านมาครึ่งทางของพรีเมียร์ลีก โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเจ๋งจริงสามารถพาทีมก้าวขึ้นมาเกาะกลุ่มนำของลีกกับพวกระดับท็อปได้อย่างไม่เป็นรอง ด้วยผลงานการแพ้น้อยที่สุดในลีก และที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งคือการปรับปรุงการเล่นของทีมแบบสังคายนาก็ว่าได้ จากบอลแบบโบราณไดเรกต์เน้นการโยนยาวและการโจมตีริมเส้นให้บรรดากองหน้าตัวใหญ่พักบอลและจบสกอร์เองภายใต้กุนซือเก่า เดวิด มอยส์ มาเน้นเกมรุกมากขึ้นโดยอาศัยการเล่นบนบนพื้นเป็นหลัก มีการต่อบอลทำเกมสวยงามมีระบบ และเพิ่มความหลากหลายในแนวรุก ซึ่งลูกทีมของเขาก็สามารถจูนกันได้อย่างลงตัวรวดเร็ว
และทีเป็นจุดขายและโชว์ถึงพรสวรรค์การเป็นผู้จัดการทีมคือสายตาที่แหลมคมในการดึงนักเตะมาร่วมงานด้วย ถือว่าเล่นเข้ากับระบบและกลมกลืนได้อย่างทันที ทั้ง แกเร็ธ แบร์รี่ กับ เจมส์ แม็คคาร์ธี่ ลูกน้องเก่า มาทำให้แดนกลางของทีมสมดุลทั้งรุก-รับ นี่ขนาด อารูน่า โกเน่ หัวหอกจอมเทคนิคที่โชว์ฟอร์มเด่นมากกับ วีแกน ในซีซั่นล่าสุด มาเจ็บพักยาวทั้งซีซั่น แต่การคว้าตัว โรเมลู ลูกากู กองหน้าส่วนเกินของเชลซี มาร่วมทีมแบบยืมตัวคือจิ๊กซอว์ชั้นเยี่ยมที่ทำให้ แนวรุกของ "ทอฟฟี่" จัดจ้านและอันตรายที่สุดทีมหนึ่งในลีก แค่หัวหอกทีมชาติเบลเยียมก็กดไปคนเดียวถึง 9 ประตูในลีกแล้ว
แม้การลุ้นแชมป์จะไกลเกินเอื้อมถึงในชั่วโมงนี้ แต่ผลงานยอดเยี่ยมของ "เอฟเวอร์โตเนี่ยน" ทำให้ดึงดูดเหล่าแฟนอบลชวนให้ติดตามยิ่งนัก เพราะดูแล้วเพลินเอามากๆ ณ ตอนนี้ ถือว่าเป็นรองเพียง เชลซี, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ เท่านั้นบนอันดับตารางคะแนน ยังเหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด "แชมป์เก่า" ด้วยซ้ำ และก็ดีกว่า สเปอร์ส ที่อยู่ในช่วงเป๋อย่างหนัก
เชื่อว่าถ้า โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ยังประคับประคองทีมหใคงเส้นคงวาได้ตลอดจนจบซีซั่นเช่นนี้ ไม่แน่โควต้ายุโรปอาจไม่ไกลเกินเอื้อมก็เป็นได้
อย่างน้อยก็ทำให้สาวก "ทอฟฟี่เมนส์" ได้ฮึกเหิมและกระชุ่มกระชวยอย่างมากในรอบหลายปีทีเดียว
credit : www.siamsport.co.th คอลัมน์ : ตีท้ายข่าว โดย "ก็องโต้"