อายุ 40 ต้องตกงานสุดเครียด

เนื่องจากว่าเราได้ไปทำงานที่ใหม่ เป็นบริษัทเพิ่งมาลงทุนในเมืองไทยไม่นาน และเป็นบริษัทเล็กๆ อยู่ มีพนักงานทั้งหมดยังไม่ถึง 20 คน แต่เราเข้าไปทำตำแหน่งเกี่ยวข้องกับฝ่ายขาย แต่ก็มีเหตุว่าเซลที่เข้ามาทำคนแรกของ บ. เป็นคนที่มีไอคิว แต่ไม่มีอีคิว เพราะทาง บ.นี้จะสั่งงานกันทางไลน์เป็นหลัก เคยว่าเราในไลน์กรุ๊ป ว่าโง่ น่ารำคาญ โดยไม่ถามสาเหตุก่อนว่าความจริงเป็นอย่างไร ทั้งที่เราก็อายุมากว่าเค้าหลายปี  เราทำงานมาก็หลายปี หลายที่ หลายตำแหน่ง เรายังไม่เคยเจอใครด่าว่าขนาดนี้ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นการไม่ให้เกียรติกันมากอะ และก็คอยหาเรื่องเราตลอดเวลา มีอะไรไม่เคยสอบถามเราก่อนว่าสาเหตุเป็นอย่างไร ส่งเมล์ฟ้องทั้ง บ.  เป็นเหตุให้เราไม่ผ่านโปร เราก็เข้าใจอะนะว่าการที่ถูกต่อว่ามากๆ และมีปัญหากับเซล ก็ต้องเอาเซลเป็นหลัก เพราะ บ. อยู่ด้วยยอดขาย เลยเครียดมาก เพราะอายุก็เยอะแล้ว แต่มีพ่อแม่ต้องดูแล เป็นลูกคนเดียว พอเล่าให้แม่ฟังก็เครียดกับเราไปด้วย ขอกำลังใจ หรือ ความคิดเห็นหน่อยสิ ว่าเราจะไปทำอะไรดี  จิตตกอย่างแรง (เงินเก็บก็มีส่วนหนึ่งแต่ไม่อยากนำไปลงทุนอะไรมากเพราะพ่อเราไม่ค่อยแข็งแรง อยากเก็บไว้ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
คือ อยากจะบอกว่าผมก้เคยเป็นเหมือนคุณ คิดแค่เพียงว่าต้องมีงานทำมีเงินเดือน คิดกันแค่นั้นจริงๆ ผมทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งมายาวนานถึง 20 ปี เพราะคิดว่าไปทำอย่างอื่นไม่ได้ กลัวนู้น กลัวนี้ 5555 อยากขำตัวเองสักวันละพันครั้ง ว่าทำไมต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับงานประจำขนาดนั้น ไม่มีอิสระทางเวลาแม้แต่นิด ตื่นเช้าทำงาน เลิกงานกลับบ้าน หยุดวันเดียวในหนึ่งสัปดาห์ ชีวิตเป็นแบบนั้นจนล่วงเลยไป 20 ปี โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อย้อนกลับไปคิด เอ...ช่วงเวลาทำงานมันมีแต่หนี้ทั้งนั้น บ้านก็ต้องผ่อน รถก็ต้องผ่อน หนำซ้ำรายได้เท่าเดิม เฮ้อ...เสียเวลาไปทำไมในเมื่อชีวิตของเราเองแท้ๆยังเอาไปฝากไว้กับบริษัท  ผมตัดสินใจลาออกจากงาน โดยไม่มีใครไล่  คิดเพียงว่า เงินมันมีสี่ด้านมันต้องหาเงินในด้านที่มันง่ายกว่าและมั่นคงกว่า โดยไม่เอาชีวิตที่เหลือไปผูกไว้กับงานประจำ วันที่ยื่นใบลาออกมันเหมือนว่าเราพ้นออกมาจากการจองจำ ไม่ต่างไปจากคนที่ถูกจองจำในคุก ดีใจมากในวันที่ยื่นใบลาออก เพราะเราได้หลุดพ้นสภาพลูกจ้าง ลูกจ้างที่เคยทำให้เขารวย โดยได้รับส่วนแบ่งเป็นเศษเงินเดือนเท่านั้น (คนอื่นอาจจะค้านในคำพูดของผมเพราะไม่เคยให้โอกาสตัวเอง) หลังจากที่ผมลาออกมาแล้ว ก็ตั้งสติตั้งใจใหม่ว่าเราจะต้องทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำได้ เพราะถ้าไม่คิดจะทำอะไรก็ไม่ต่างไปจากคนที่ตายไปแล้ว  ผมไม่มีเงินติดตัวหรอกแต่คิดจะทำธุรกิจส่วนตัว เริ่มจากศูนย์เลย ลงทุนทำธุรกิจด้วยเงินติดตัวไม่ถึงห้าพันบาท ผมไม่บอกว่าผมทำอะไรนะ เพราะอาจจะมีคำกล่าวอ้างว่า คุณก็ทำได้ซิเพราะ 1 2 3 4 นี่คือคำถามทั้งนั้น  ผมเริ่มดำเนินการด้วยตัวเอง เป็นนายตัวเอง ควบคุมเวลา มีอิสระทางความคิด เหนื่อยก้พัก ง่วงก็หลับ ไม่มีใครว่าเพราะเราเป็นนายตัวเอง จับนู้นจับนี้ไปเรื่อย จนพอมีตังส์ก็เปิดร้านอย่างเป็นทางการ สุดท้ายก็ค้นพบตัวเองว่า ชีวิตคนเรามันมีถนนอีกหลายสายให้เดิน มันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกเดินเส้นทางไหน ทุกวันนี้ผมมีความสุขมาก ได้อยู่กับครอบครับ มีเวลาให้ครอบ อยากไปไหนก็ไปกันได้ ชิวๆ รายได้ก็กำหนดด้วยตัวเองได้  เมื่อกลับไปมองอดีตที่ผ่านมา คิดทีไรมันก็ขำครับ เพราะเอาชีวิตไปผูกไว้กับงานประจำทำไม มีคำสอนหลายคำที่ผมเคยได้ยินมาแต่เด็กว่า  เรียนให้เก่งๆนะลูก จบแล้วจะได้มีงานทำดีๆเป็นเจ้าคนนายคน (นี่คือคำสอนของคนไทยหลายๆกลุ่มโดยเฉพาะตามบ้านนอกอย่างผม) มันไม่ผิดหรอกครับคำสอนนี้เพราะคนส่วนใหญ่ก็เรียนกันเอาเป็นเอาตายเพื่อหวังพึ่งงานดีๆในอนาคต แต่ถามหน่อยครับว่ามันมั่นคงแค่ไหนและมีโอกาสรวยเหมือนกับคนอื่นเขาหรือไม่ คำตอบก็ไม่เลย ก็แค่เอาตัวรอดไปวันๆเท่านั้น  คุณเคยเห็นคนจีนเขาสอนลูกไหมครับ เขาบอกลูกว่าเรียนให้เก่งๆนะลูกถ้าจบแล้วก็เอาวิชาความรู้ของตัวเองที่ร่ำเรียนมา ไปทำธุรกิจของตัวเองให้เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นคุณจะเห็นว่าคนจีนในไทยส่วนใหญ่จะร่ำรวยกัน เพราะเขาสืบสายเลือดการทำธุรกิจต่อยอดจากพ่อแม่หรือวงศ์ตระกูล ถึงตรงนี้แล้ว คุณคงจะเดาได้แล้วละครับว่าผมให้คำแนะนำอะไรให้กับคุณ...............
ความคิดเห็นที่ 21
เราเคยคิดนะว่า ถ้างานที่ทำอยู่ตอนนี้ไปไม่รอด เราจะทำอะไร

อยากเปิดมินิมาร์ทเล็กๆ  หรือว่าจะเปิดร้านซักรีดดี เปิดร้านอาหารเล็กๆก็น่าสนใจ หรือว่าจะเปิดร้านเสริมสวย เปิดร้านนวด เปิดล้างอัดฉีดก็น่าสนุก
หรือเราก็อาจจะไปเป็นเกษตกร ปลูกผักไร้สารขาย อาจจะขุดสระเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู โปรเจคเรามีเยอะเเยะไปหมด อันนั้นก็อยากทำ อันนี้ก็อยากทำ อายุเราไม่หนีกัน เเต่ที่ทิ้งห่างคือความคิดอ่านนี่เเหละคุณเอ๊ย..

คุณพูดเหมือนอายุสี่สิบนี่เเก๊เเก่ ทำยังกับชีวิตจะจบอยู่เเค่นี้ เราไม่เคยกลัวอะไรนะ ถ้าชีวิตเราจะตกอับหมดตัว เราก็จะไม่มานั่งทุกข์นั่งเศร้าหรอก เราจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสมันซะเลย  ดีเหมือนกัน จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ถ้ามันจะย่ำเเย่ขนาดนั้น เราก็อาจจะใช้เงินก้อนสุดท้ายหาซื้อรถเข็นขายข้าวเหนียวส้มตำมันซะเลย  ลำบากก็ลำบากซิ ไม่เห็นจะกลัวเลย ชีวิตคนเรามันก็เป็นเเบบนี้เเหละ มีขึ้นมีลง เรื่องยากๆที่เราเจอก็เก็บเอาไว้เป็นประสพการณ์ ลองผิดลองถูกมันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็เจอทางออกเอง

ส่องกระจกมองดูตัวเองให้ชัดๆ เรามีความสามารถทางด้านไหนบ้าง อายุปูนนี้เเล้วก็คงต้องรู้อะไรบ้างหล่ะ ดึงพรสวรรค์ตรงนั้นออกมาเเล้วค่อยๆเรียนรู้กับมันไป งานมีร้อยเเปด มันไม่จำเป็นเลยจริงๆว่าจะต้องไปเป็นลูกจ้างเค้าเสมอไป

คนเราล้มได้ เเต่ล้มเเล้วต้องลุกค่ะ เต็มที่ก็เเค่ตาย โลกนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวค่ะ หัวเราะ
ความคิดเห็นที่ 5
หลักง่ายๆครับ
ถ้าที่ๆคุณเพิ่งเข้ามาทำ เขายังรับคุณได้
มันก็ต้องมีบริษัทอื่นรับได้ครับ

คงเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทนี้จะเป็นบริษัทสุดท้ายในโลกที่รับคุณเข้าทำงาน

ที่นี่ให้ได้ ก็ต้องมีที่ไหนสักที่ให้ได้เท่ากันนี่แหละ
ความคิดเห็นที่ 15
ไม่รู้ว่าคุณ จขกท จะเชื่อหรือเปล่านะ เราเองก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเหมือนกัน

   คือมีผู้หญิงคนนึงตกงานตอนอายุมากเหมือน จขกท เลย หางานอยู่สองปีจนจิตตก เธอลงชื่อกับพวกเอเจ้นต์ เอเจ้นต์ก็บอกตรงๆ ว่าอายุมากแล้ว ท่าจะยาก

    ผลสุดท้ายเธอไปปฏิบัติธรรมค่ะ ไปอยู่วัดเดือนนึง พอปฏิบัติเสร็จ เธออธิษฐานขอให้ได้งานทำ พอกลับมากรุงเทพฯ วันรุ่งขึ้น เอเจ้นต์โทรมาบอกว่ามีงานให้เลือกทำสองแห่ง เธอเลยได้งานใหม่ซึ่งมั่นคงมาก (ก่อนหน้านี้เธอทำบริษัทเล็กๆ  ที่ทำงานใหม่เป็นรัฐวิสาหกิจ)

     ตอนนี้เธอก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดนะ เห็นบอกว่าปฏิบัติแล้วชีวิตดีขึ้นน่ะ

     ยังไง ขอเป็นกำลังใจให้ได้งานใหม่เร็วๆ หรือมีลู่ทางดีๆ นะคะ
ความคิดเห็นที่ 12
ถึงแม้ว่าเราจะอายุมาก มากประสบการณ์ มากความชำนาญการ ในเรื่องงาน
แต่กับคน ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ เราก็ต้องรู้จักปรับตัว เมื่อเปลี่ยนที่ทำงานทุกครั้ง
ถ้าคิดจะอยู่ต่อ การถอยสักก้าว หรือ เดินชน อัดสักเปรี้ยง บางครั้งก็ต้องทำ เพื่อให้บรรลุผล
อย่ากลัวถ้าเราไม่ผิด ขอโทษเมื่อรู้ว่าตนเองผิด และ ชัดเจนทุกอย่างในสิ่งที่เราทำ
ผลงานเท่านั้นที่ทำให้เราอยู่รอด และ มนุษยสัมพันธ์ที่ทำให้เรามีเพื่อน



ถ้าคุณเป็นคนไม่ลุย ไม่กล้าเสี่ยง ไม่สู้คน อย่าคิดทำธุรกิจส่วนตัว โลกในออฟฟิต ถ้าคิดว่าโหดร้าย
การทำธุรกิจส่วนตัว การเผชิญโลกด้วยตนเองโหดร้ายกว่า ไม่แน่จริง ทำไปก็เจ๊ง อยากจะอยู่รอดคุณต้องอดทนมากๆ
แต่ทำงานหนักกว่าการเป็นพนักงานหลายสิบเท่า  ไม่มีใคร ร่ำรวยจากการทำงานสบายๆหรอกนะ เขาทำงานหนักกันทั้งนั้นถึงจะรวย

คนที่พูดจาสวยๆได้ เขาต้องเก่งจริง และ ผ่านประสบการณ์เลือดสาด ฝ่าฟันอุปสรรคมานับไม่ถ้วนแล้วทั้งนั้น กว่าจะสบายได้
พูดให้กำลังใจได้ สำหรับคนที่พอจะมีแววเป็นไปได้ แต่คนทีดูแล้ว ไม่น่ารอด อย่าให้ความหวังดีกว่า
ประสบการณ์การแลกด้วยเงินทั้งนั้น หมดเนื้อหมดตัว กันมาหลายรายแล้ว สุดท้ายก็กลับออฟฟิตเหมือนเดิม
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปัญหาชีวิต มนุษย์เงินเดือน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่