คอลัมน์ // พูลเดช กรรณิการ์ : วิกฤตปฏิรูปการเมือง วิกฤตสับสนความคิด



ในที่สุดสังคมไทยก็จนแต้มและถึงทางตันอีกครั้งด้วยความซ้ำซากจำเจกับความขัดแย้งเดิมๆที่เคยเป็นปัญหามาตลอดของบ้านนี้เมืองนี้และการเมืองของประเทศนี้ นั่นคือ ความขัดแย้งในเรื่องปัญหาและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย

ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศที่ได้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี 2475 อันเป็นระยะเวลายาวนานถึง 81 ปี จะยังคงจนแต้มและถึงทางตันในระบอบประชาธิปไตยถึงขนาดไม่มีทางออกและเป็นวิกฤตร้ายแรงที่สุดของชาติเช่นในเวลานี้ ซึ่งเป็นการจนแต้มในบริบทปัญหาเดิมๆที่มีประสบการณ์มาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างโชกโชน (และโชกเลือดเนื้อ) และทั้งที่ได้พยายามแก้ไขปัญหามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนทุกวิธีการ ทั้งการปฏิวัติรัฐประหาร การชุมนุมโค่นล้มรัฐบาลโดยมวลชน การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองสารพัดชุดในแต่ละยุคแต่ละช่วง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดมีขึ้นภายใต้การอ้างจะ “ปฏิรูปการเมือง” เพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองและเพื่อพัฒนาการเมืองทั้งสิ้น แต่วันนี้ประเทศนี้ยังต้องมาเริ่มต้นพูดถึงการปฏิรูปการเมืองอย่างขนานใหญ่กันอีกครั้ง และที่ร้ายแรงที่สุดคือขณะนี้คำว่าการปฏิรูปการเมืองกำลังกลายเป็นความขัดแย้งของคนในชาติที่ใกล้จะฆ่ากันตายด้วยประเด็นปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งก่อนปฏิรูป

สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หมายความว่าอะไร

หนึ่ง นั่นหมายความว่าทุกวิธีการที่ผ่านมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง หรือใช้วิธีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูป หรือการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแก้ไขปัญหาการเมืองเพื่อพัฒนาการเมืองไทยไปสู่การเมืองที่ดีกว่าเก่า

สอง สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้หมายความว่า การเลือกตั้งซึ่งถูกกำหนดให้เป็นวิถีทางตามกระบวนการระบอบประชาธิปไตยและพร้อมกับเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ได้ถูกปฏิเสธการยอมรับจากประชาชนจำนวนหนึ่ง (และพรรคการเมืองบางพรรค) ไปแล้ว

สาม ที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้หมายความว่า สังคมไทยกำลังสับสนอย่างถึงที่สุดกับปัญหาของประเทศ ปัญหาของการเมือง และปัญหาความขัดแย้งทางความคิดของคนในชาติ จนต้องถอยหลังกลับไปย้อนรอยหรือนับหนึ่งใหม่ทางการเมืองกันอีกครั้ง ด้วยการปฏิรูปการเมืองหรือที่จริงอยากใช้คำว่าปฏิวัติการเมือง

คำถามคือ การปฏิรูปการเมืองหรือที่จริงอยากใช้คำว่าปฏิวัติการเมืองนี้ คือหนทางแห่งการแก้ไขปัญหาการเมืองเพื่อนำไปสู่การเมืองที่ดีกว่าจริงหรือไม่ และจะทำได้สำเร็จหรือไม่

คำตอบที่ต้องพิจารณาคือ ประการที่หนึ่ง การปฏิรูปการเมืองด้วยการหยุดประชาธิปไตยไว้ระยะหนึ่ง และออกมาตรการหรือกฎระเบียบใหม่เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ที่ดีกว่าเก่า ภายใต้ประชาธิปไตยที่เดินหน้ามานานแล้ว แม้จะเป็นประชาธิปไตยที่เดินมาแบบผิดๆและเป็นโทษกับบ้านเมือง และภายใต้การต่อต้านอย่างแน่นอนของนักการเมืองที่เห็นว่า “ประชาธิปไตยกินได้” และส่งประชาธิปไตยที่กินได้ไปสู่ประชาชนส่วนหนึ่งจนหัวปักหัวปำ จะสามารถหยุดประชาธิปไตยเพื่อปฏิรูปการเมืองโดยที่คนที่เห็นว่าประชาธิปไตยกินได้ยอมรับได้อย่างไร

ไม่มีทางเป็นไปได้ และสุดท้ายคนสองฝ่ายก็ต้องออกมาฆ่ากันเพื่อให้ฝ่ายตนชนะ หรือยกขบวนมวลมหาประชาชนของฝ่ายตนมาเอาคืนกับมวลมหาประชาชนของอีกฝ่ายหนึ่ง

เห็นภาพหรือยังว่าการปฏิรูปการเมืองด้วยพลังมวลชนหรือเรียกให้โก้หรูว่าการปฏิวัติประชาชนทำไม่ได้ ไม่ว่าจากมวลมหาประชาชนของฝ่ายใด แม้แต่ฝ่ายที่อยากปฏิวัติประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าขืนฝ่ายใดทำ ประเทศก็ต้องเกิดสงครามกลางเมืองและนำไปสู่การแบ่งแยกประเทศแน่นอน

ประการที่สอง การก่อมวลชนเพื่อปฏิรูปการเมืองโดยมีกลิ่นอายของพรรคการเมือง หรือเป็นการเปิดแนวรบใหม่ทางการเมืองท้องถนนของพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด เช่น เกี่ยวข้องกับพรรคของทักษิณในการก่อจลาจลของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2552-2553 หรือมีกลิ่นสะตอของพรรคประชาธิปัตย์อย่างกลุ่มผู้ชุมนุมที่ราชดำเนินซึ่งขับไล่รัฐบาลและคัดค้านการเลือกตั้งอยู่ในขณะนี้ มีเจตนาที่จะปฏิวัติประชาชนหรือปฏิรูปการเมืองเพียงอย่างเดียวหรือ หรือมีวาระซ่อนเร้นเป็นการต่อสู้เอาชนะกันทางการเมืองของพรรคการเมืองรวมอยู่ด้วย โดยในปี 2552-2553 ต้องการโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปัตย์ และในคราวนี้ต้องการโค่นล้มรัฐบาลเพื่อไทย ผลัดกันเอาคืน

ถ้ามีกลิ่นอายเช่นว่านั้นจริง นอกจากการปฏิรูปทางการเมืองยังไงก็ต้องถูกต่อต้านจากอีกพรรคหนึ่งแล้ว เนื้อหาของการปฏิรูปการเมืองย่อมมีโอกาสสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างหลีกไม่พ้น แล้วการปฏิรูปการเมืองจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดของการแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้อย่างไร

ประการที่สาม สังคมไทยกำลังคุ้นเคยการ “ติดในกรอบ” หรือติดในรูปแบบ ที่เอะอะมีปัญหาอะไรก็ต้องสร้างโมเดลการปฏิรูปกันทุกเรื่อง ถนัดกับการสร้างหรือออกแบบโครงสร้างใหม่เพื่อแก้ปัญหาอย่างมักง่ายและให้ดูโก้หรู โดยไม่ได้เบิ่งลึกลงไปให้ถึงที่สุดรากเหง้าปัญหา จะด้วยมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็นด้วยวาระซ่อนเร้นใดๆก็ตาม

เพราะแท้ที่จริงแล้ว การปฏิรูปการเมืองที่สามารถกระทำได้ภายใต้วิกฤตของชาติเช่นในขณะนี้ และจะให้ผลไปสู่ปลายน้ำเพื่อการเมืองที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน มีหนทางเดียวคือ การปฏิรูปที่ต้นน้ำ โดยปฏิรูปประชาชนในวิถีประชาธิปไตยที่ถูกต้อง

“ปฏิรูปประเทศไทย ต้องปฏิรูปการเมืองก่อน ปฏิรูปการเมือง ต้องปฏิรูปประชาชนก่อน ปฏิรูปประชาชน ต้องปฏิรูปความคิดประชาชนให้เป็นความคิดพลเมือง ความคิดพลเมืองที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตยซึ่งวิกฤตอย่างที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้คือ พลเมืองจะต้องออกมาทำการเมืองแทนที่นักการเมืองในวิถีการเลือกตั้ง หรือออกเสียงลงคะแนนให้กับพลเมืองที่อาสาเข้ามาทำงานแทนที่นักการเมือง”

นี่คือการปฏิรูปการเมืองที่แท้จริงและถูกต้องที่สุด

25 ธันวาคม 2556

http://peopleunitynews.com/web02/2013/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-3/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่