เมื่อวันที่ 17 - 24 พ.ย. 56 ได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก หลังจากก่อนหน้านี้เคยไปญี่ปุ่นมาก็หลายครั้งแล้ว แต่เป็นการเที่ยวกับทัวร์แบบสะดวกสบาย แบบว่าก้าวออกจากสถานที่นึงก็มีประตูรถโค้ชมารับถึงที่ ลงไปเที่ยวสถานที่นึงก็ค่อนข้างที่จะถูกจำกัดอยู่ใน Area ที่ค่อนข้างจะแคบ ไปได้ไม่ไกลจากอ้อมอกไกด์มากนัก เคยแบบว่าเฮ้ย! พี่ฝั่งนู้นมันมีอะไรอะ น่าเดินจัง แต่ก็ไปไม่ได้เพราะว่ากลัวจะแตกออกจากกลุ่มไปหลง บางที่ก็เกือบจะเป็นชะโงกทัวร์ บางที่ก็รู้สึกว่าจะอยู่ทำไมนานๆ อะ เลยคิดอยากจะเที่ยวแบบ Back Pack ดูซักครั้ง เลยเล็งไว้ว่าทริปแรกจะเป็นในภูมิภาค Kansai เพราะว่าเคยมาเที่ยวแถวนี้แล้ว 4 ครั้ง ไม่น่าจะยาก
เริ่มแรกเลยต้องศึกษาเส้นทางก่อน เลยจัดการ Google หาแผนที่เส้นทางการเดินรถไฟก่อน พอเปิดมาเท่านั้นแหละ แทบจะเป็นลม นึกว่าเอเลี่ยนมันมาสร้างไว้ อะไรก็ไม่รู้ Midosuji Line, Chuo Line, Yotsubashi พันกันมั่วไปหมด บอกตรงๆ BTS ที่กรุงเทพฯ ตัดกันไม่กี่สายบางครั้งยังไปยืนเอ๋อเลย หรือจะเปลี่ยนไปนั่ง Taxi ก็ไม่กล้า เคยโดนมาแล้วสตาร์ทที่ 660 Yen (200 กว่าบาท) และมิตเตอร์หมุนเร็วหยั่งกะท่อน้ำแตก เลยตั้งสติกลับมาทำความเข้าใจกับรถไฟ และสุดท้ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เลยเข้าไปเลื้อยตาม Blogger Guru ที่เที่ยวกันบ่อยๆ อ่านละดูเดินทางกันง่ายมาก ใช้พาสนู้นพาสนี้กันคล่องเชียว แต่เราเคยเจอกับตัวแล้วครั้งนึงกับการขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น แต่มีไกด์นำไป เค้าก็สอนนู่นนี่นั่น สุดท้ายก็งง โอเคร งั้นทำแผนขึ้นมาก่อนว่าเราจะไปเที่ยวไหน สถานีอะไร เปลี่ยนรถยังไง ละก็จัดการ ค่อยๆ ร่างแผนออกมาจนเสร็จ มีเวลาเที่ยวที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 8 วัน แบ่งเป็นพัก Homestay 1 คืนที่ Osaka จากสปอนเซอร์ใจดี Homestay in Japan และเข้าพัก Toyoko inn 4 คืน Kyoto 1 คืน และที่ Rinku Town 1 คืน
ขอกรี๊ดดังๆ ให้กับผังการเดินรถไฟ
Hilight ที่ตั้งใจไว้ของทริปนี้คือ ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kyoto นั่งหาข้อมูลเลยไปสะดุดที่วัดๆ นึง Eikando….. ค่าเข้าแพงมาก 1,000 Yen!!!! ยอมรับว่าไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อน เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่มากับทัวร์ส่วนมากจะไปสถานที่มาตรฐานอย่าง Kinkaku-ji, Kiyomizu, Heian อะไรประมาณนี้ แต่พี่ๆ Blogger ก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัด Eikando ผ่านภาพถ่ายได้สวยงามมากๆ เลยปักธงไว้ว่า จะยังไงต้องไปที่นี่ให้ได้
มาถึงการเตรียมตัวเดินทางเข้าญี่ปุ่นในยุคของการยกเว้น Visa โดยส่วนตัวแล้วเดินทางเข้าญี่ปุ่นหลายครั้งแล้วการผ่าน ตม. คงไม่น่าจะยาก แต่เพื่อนที่เดินทางไปด้วยกันนี่สิ Passport ใหม่กิ๊ก ยังไม่เคยออกนอกประเทศแถมยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ (ส่วนตัวเราภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ B+ - -!) นี่สิน่าห่วง เลยจัดการเตรียมเอกสารชุดใหญ่เพื่อแสดงที่ ตม. เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่เค้าถามเราให้น้อยที่สุด มีทั้ง Copy ตั๋ว ไป-กลับ, List โรงแรมที่จะเค้าพัก, โปรแกรมเที่ยวที่ร่างขึ้นกับมือ, ใบจอง Homestay จนมีคนทักว่าจะไปยื่น Visa ที่นู่นเหรอ
มาถึงวันเดินทาง ทริปนี้เราใช้บริการ Cathay Pacific เที่ยวบิน CX712 แต่ต้องไปรอเปลี่ยนเครื่องที่ Hongkong ประมาณเกือบ 6 ชม. แต่ดีที่สนามบิน Hongkong เค้ามีบริการ Free Wifi กับปลั้กไฟและที่ชาร์จแบบ USB เลยนั่ง Chat & Share แบบลืมเวลา เผลอแป๊บเดียวก็เรียกขึ้นเครื่องละ
เริ่มการเดินทางสู่แดนอาทิตย์อุทัยด้วย Cathay Pacific CX712
ที่ HKG Airport คุณไม่ต้องกลัวเบื่อ
เดินทางต่อสู่ญี่ปุ่น
ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. กว่าก็มาถึงสนามบิน Kansai ด่านนี้เป็นด่านที่ระทึกที่สุด คือการลุ้นกันตัวโก่งว่าการผ่าน ตม. จะยากแค่ไหนเมื่อไม่ต้องทำ Visa มือซ้ายถือ Passport + ใบ ตม. มือขวากำเอกสารชุดใหญ่ที่เตรียมมาไว้แน่น แต่แล้ว!!!!!! ทำไมมันผ่านง่ายจัง ไม่ถามไม่ขอดูอะไรเลยเหรอ เคยคิดว่าต้องเป็นแบบในหนัง จับเข้าห้อง สอบถามว่ามาทำอะไร บลาๆๆๆๆ ขั้นตอนการผ่าน ตม. ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที แต่เราวิตกจริตมาเป็นเดือนๆ
ผ่านฉลุย!!!
พอผ่าน ตม. และรับกระเป๋าเสร็จ ตามกำหนดการณ์วันแรกจะมีคนญี่ปุ่นที่เป็นโฮสต์ที่เราจะมาอาศัยอยู่กับเค้ามารอรับ พอออกมาปุ๊บก็เจอเค้ายืนรอด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก ละก็ทำการทักทายกัน เธอชื่อ Miki หลังจากที่แนะนำตัวกัน Miki ก็บอกกับเราว่ามีเวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก่อนที่จะขึ้นรถบัสไปยัง Homestay เราเลยขอตัวไปเดินดูของและหาอะไรกินกันก่อน และนัดเจอกันอีกทีที่ป้ายรถบัสตอน 9.20 น.
มื้อแรกในญี่ปุ่นในตอนเช้าๆ แบบนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Gyudon ข้าวหน้าเนื้อร้อนๆ กับอากาศหนาวๆ ราคา 660 Yen ของร้าน Sukiya อร่อย ฟิน มาก โฮะ โฮะ ซัดเรียบ จนแทบจะกลืนตะเกียบไปด้วย
Gyudon ร้าน Sukiya @Kansai Airport
เสร็จแล้วก็เดินเล่นพักนึง จนถึงเวลานัด เราขึ้นรถบัส Nankai Airport สาย 10 ประมาณ 1 ชม. มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ Nakamozu เพื่อนั่งรถไฟต่ออีก 1 ป้ายมาที่สถานี Hatsushiba ละก็เดินเท้าต่อไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึงบ้านของ Miki
รถบัส Nankai Airport สาย 10 ตอน 9.20
ตั๋วรถราคา 800 Yen และ Tag กระเป๋า (Miki ออกค่าตั๋วให้ด้วย)
พอเดินมาถึงหน้าบ้านของ Miki ก็เห็นภาพครอบครัวของเธอยืนต้อนรับเราอยู่หน้าบ้านอย่างยิ้มแย้ม มี Sanpo สามีของ Miki และ Eito กับ Shinchan ลูกชายจอมซนของบ้าน Takeda หลังจากทักทายกัน Miki ก็เดินพาชมบ้านของเธอ เป็นบ้านที่มีพื้นที่ไม่น่าจะเกิน 25 ตารางวา สูง 3 ชั้น มีที่จอดรถ มีเนื้อที่รอบๆ บ้านนิดหน่อย บันไดภายในบ้านนี่แคบจนคนตัวใหญ่ๆ ต้องหนีบตัวเดินขึ้น วัสดุอุปกรณ์ในบ้านนี้ใช้ของดีมากๆ ทุกอย่างเข้ารูป เป็นระเบียบในพื้นที่ๆ จำกัด เป็นบ้านที่น่ารักน่าอยู่มากกกกกก และ Miki ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเธอและครอบครัวให้ฟัง ให้เราดูรูปตอนที่เธอมาเรียนที่เชียงใหม่ด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เธอชอบทะเลไทย เคยไปเที่ยวที่อยุธยา แต่ที่รู้ๆ Miki ตอนเป็นนักเรียนน่ารักมากๆ
บ้าน Takeda ที่สุดแสนจะน่ารัก
ห้องของเจ้าตัวแสบ
Living Room
Bed Room
ส่วนนี่เป็นห้องนอนของแขกผู้มาพัก
Miki ขนสาระพัดเครื่องทำความร้อนมาไว้ที่ห้องเรา เพราะว่ากลัวเราจะหนาว
หลังจากที่ทำการ Check In ที่บ้าน Takeda เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เราก็จะไปกินข้าวกันละ เราจะไปที่ร้าน Issakusushi ที่อยู่ห่างจากบ้านของ Miki เพียงไม่กี่ก้าว Issakusushi เป็น Sushi Bar เล็กๆ มีที่นั่งไม่เกิน 30 ที่นั่ง ส่วนราคาถือว่าถูกมาก เราเลือก Sushi Set 580 Yen (ถูกที่สุด) ก็น่าจะอิ่มละนะ ส่วนทางครอบครัว Takeda จัดเต็มกันเลยแต่ละคน
Set นี้ราคา 580 Yen แต่ดูวัตถุดิบแล้วคุ้มเกินจริงๆ
ไข่แซลมอนใช้ลิ้นกดจะดังแป๊ะๆๆๆ ไม่มีคาว
น้ำซุปของที่นี่อร่อย มีหัวปลาชิ้น เป้งๆ ให้นั่งแทะเล่นด้วย (Miki แนะนำให้เรากินลูกตาปลาด้วย เอิ่มขอผ่านนะ)
[CR] ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 1 Yokoso Japan Homestay @Osaka
เริ่มแรกเลยต้องศึกษาเส้นทางก่อน เลยจัดการ Google หาแผนที่เส้นทางการเดินรถไฟก่อน พอเปิดมาเท่านั้นแหละ แทบจะเป็นลม นึกว่าเอเลี่ยนมันมาสร้างไว้ อะไรก็ไม่รู้ Midosuji Line, Chuo Line, Yotsubashi พันกันมั่วไปหมด บอกตรงๆ BTS ที่กรุงเทพฯ ตัดกันไม่กี่สายบางครั้งยังไปยืนเอ๋อเลย หรือจะเปลี่ยนไปนั่ง Taxi ก็ไม่กล้า เคยโดนมาแล้วสตาร์ทที่ 660 Yen (200 กว่าบาท) และมิตเตอร์หมุนเร็วหยั่งกะท่อน้ำแตก เลยตั้งสติกลับมาทำความเข้าใจกับรถไฟ และสุดท้ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เลยเข้าไปเลื้อยตาม Blogger Guru ที่เที่ยวกันบ่อยๆ อ่านละดูเดินทางกันง่ายมาก ใช้พาสนู้นพาสนี้กันคล่องเชียว แต่เราเคยเจอกับตัวแล้วครั้งนึงกับการขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น แต่มีไกด์นำไป เค้าก็สอนนู่นนี่นั่น สุดท้ายก็งง โอเคร งั้นทำแผนขึ้นมาก่อนว่าเราจะไปเที่ยวไหน สถานีอะไร เปลี่ยนรถยังไง ละก็จัดการ ค่อยๆ ร่างแผนออกมาจนเสร็จ มีเวลาเที่ยวที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 8 วัน แบ่งเป็นพัก Homestay 1 คืนที่ Osaka จากสปอนเซอร์ใจดี Homestay in Japan และเข้าพัก Toyoko inn 4 คืน Kyoto 1 คืน และที่ Rinku Town 1 คืน
ขอกรี๊ดดังๆ ให้กับผังการเดินรถไฟ
Hilight ที่ตั้งใจไว้ของทริปนี้คือ ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kyoto นั่งหาข้อมูลเลยไปสะดุดที่วัดๆ นึง Eikando….. ค่าเข้าแพงมาก 1,000 Yen!!!! ยอมรับว่าไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อน เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่มากับทัวร์ส่วนมากจะไปสถานที่มาตรฐานอย่าง Kinkaku-ji, Kiyomizu, Heian อะไรประมาณนี้ แต่พี่ๆ Blogger ก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัด Eikando ผ่านภาพถ่ายได้สวยงามมากๆ เลยปักธงไว้ว่า จะยังไงต้องไปที่นี่ให้ได้
มาถึงการเตรียมตัวเดินทางเข้าญี่ปุ่นในยุคของการยกเว้น Visa โดยส่วนตัวแล้วเดินทางเข้าญี่ปุ่นหลายครั้งแล้วการผ่าน ตม. คงไม่น่าจะยาก แต่เพื่อนที่เดินทางไปด้วยกันนี่สิ Passport ใหม่กิ๊ก ยังไม่เคยออกนอกประเทศแถมยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ (ส่วนตัวเราภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ B+ - -!) นี่สิน่าห่วง เลยจัดการเตรียมเอกสารชุดใหญ่เพื่อแสดงที่ ตม. เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่เค้าถามเราให้น้อยที่สุด มีทั้ง Copy ตั๋ว ไป-กลับ, List โรงแรมที่จะเค้าพัก, โปรแกรมเที่ยวที่ร่างขึ้นกับมือ, ใบจอง Homestay จนมีคนทักว่าจะไปยื่น Visa ที่นู่นเหรอ
มาถึงวันเดินทาง ทริปนี้เราใช้บริการ Cathay Pacific เที่ยวบิน CX712 แต่ต้องไปรอเปลี่ยนเครื่องที่ Hongkong ประมาณเกือบ 6 ชม. แต่ดีที่สนามบิน Hongkong เค้ามีบริการ Free Wifi กับปลั้กไฟและที่ชาร์จแบบ USB เลยนั่ง Chat & Share แบบลืมเวลา เผลอแป๊บเดียวก็เรียกขึ้นเครื่องละ
เริ่มการเดินทางสู่แดนอาทิตย์อุทัยด้วย Cathay Pacific CX712
ที่ HKG Airport คุณไม่ต้องกลัวเบื่อ
เดินทางต่อสู่ญี่ปุ่น
ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. กว่าก็มาถึงสนามบิน Kansai ด่านนี้เป็นด่านที่ระทึกที่สุด คือการลุ้นกันตัวโก่งว่าการผ่าน ตม. จะยากแค่ไหนเมื่อไม่ต้องทำ Visa มือซ้ายถือ Passport + ใบ ตม. มือขวากำเอกสารชุดใหญ่ที่เตรียมมาไว้แน่น แต่แล้ว!!!!!! ทำไมมันผ่านง่ายจัง ไม่ถามไม่ขอดูอะไรเลยเหรอ เคยคิดว่าต้องเป็นแบบในหนัง จับเข้าห้อง สอบถามว่ามาทำอะไร บลาๆๆๆๆ ขั้นตอนการผ่าน ตม. ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที แต่เราวิตกจริตมาเป็นเดือนๆ
ผ่านฉลุย!!!
พอผ่าน ตม. และรับกระเป๋าเสร็จ ตามกำหนดการณ์วันแรกจะมีคนญี่ปุ่นที่เป็นโฮสต์ที่เราจะมาอาศัยอยู่กับเค้ามารอรับ พอออกมาปุ๊บก็เจอเค้ายืนรอด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก ละก็ทำการทักทายกัน เธอชื่อ Miki หลังจากที่แนะนำตัวกัน Miki ก็บอกกับเราว่ามีเวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก่อนที่จะขึ้นรถบัสไปยัง Homestay เราเลยขอตัวไปเดินดูของและหาอะไรกินกันก่อน และนัดเจอกันอีกทีที่ป้ายรถบัสตอน 9.20 น.
มื้อแรกในญี่ปุ่นในตอนเช้าๆ แบบนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Gyudon ข้าวหน้าเนื้อร้อนๆ กับอากาศหนาวๆ ราคา 660 Yen ของร้าน Sukiya อร่อย ฟิน มาก โฮะ โฮะ ซัดเรียบ จนแทบจะกลืนตะเกียบไปด้วย
Gyudon ร้าน Sukiya @Kansai Airport
เสร็จแล้วก็เดินเล่นพักนึง จนถึงเวลานัด เราขึ้นรถบัส Nankai Airport สาย 10 ประมาณ 1 ชม. มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ Nakamozu เพื่อนั่งรถไฟต่ออีก 1 ป้ายมาที่สถานี Hatsushiba ละก็เดินเท้าต่อไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึงบ้านของ Miki
รถบัส Nankai Airport สาย 10 ตอน 9.20
ตั๋วรถราคา 800 Yen และ Tag กระเป๋า (Miki ออกค่าตั๋วให้ด้วย)
พอเดินมาถึงหน้าบ้านของ Miki ก็เห็นภาพครอบครัวของเธอยืนต้อนรับเราอยู่หน้าบ้านอย่างยิ้มแย้ม มี Sanpo สามีของ Miki และ Eito กับ Shinchan ลูกชายจอมซนของบ้าน Takeda หลังจากทักทายกัน Miki ก็เดินพาชมบ้านของเธอ เป็นบ้านที่มีพื้นที่ไม่น่าจะเกิน 25 ตารางวา สูง 3 ชั้น มีที่จอดรถ มีเนื้อที่รอบๆ บ้านนิดหน่อย บันไดภายในบ้านนี่แคบจนคนตัวใหญ่ๆ ต้องหนีบตัวเดินขึ้น วัสดุอุปกรณ์ในบ้านนี้ใช้ของดีมากๆ ทุกอย่างเข้ารูป เป็นระเบียบในพื้นที่ๆ จำกัด เป็นบ้านที่น่ารักน่าอยู่มากกกกกก และ Miki ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเธอและครอบครัวให้ฟัง ให้เราดูรูปตอนที่เธอมาเรียนที่เชียงใหม่ด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เธอชอบทะเลไทย เคยไปเที่ยวที่อยุธยา แต่ที่รู้ๆ Miki ตอนเป็นนักเรียนน่ารักมากๆ
บ้าน Takeda ที่สุดแสนจะน่ารัก
ห้องของเจ้าตัวแสบ
Living Room
Bed Room
ส่วนนี่เป็นห้องนอนของแขกผู้มาพัก
Miki ขนสาระพัดเครื่องทำความร้อนมาไว้ที่ห้องเรา เพราะว่ากลัวเราจะหนาว
หลังจากที่ทำการ Check In ที่บ้าน Takeda เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เราก็จะไปกินข้าวกันละ เราจะไปที่ร้าน Issakusushi ที่อยู่ห่างจากบ้านของ Miki เพียงไม่กี่ก้าว Issakusushi เป็น Sushi Bar เล็กๆ มีที่นั่งไม่เกิน 30 ที่นั่ง ส่วนราคาถือว่าถูกมาก เราเลือก Sushi Set 580 Yen (ถูกที่สุด) ก็น่าจะอิ่มละนะ ส่วนทางครอบครัว Takeda จัดเต็มกันเลยแต่ละคน
อาหารมื้อแรกกับโฮสต์ ที่ร้าน Issakusuhi
Set นี้ราคา 580 Yen แต่ดูวัตถุดิบแล้วคุ้มเกินจริงๆ
ไข่แซลมอนใช้ลิ้นกดจะดังแป๊ะๆๆๆ ไม่มีคาว
น้ำซุปของที่นี่อร่อย มีหัวปลาชิ้น เป้งๆ ให้นั่งแทะเล่นด้วย (Miki แนะนำให้เรากินลูกตาปลาด้วย เอิ่มขอผ่านนะ)