ความเห็นหลังชม American Hustle เพราะโลกสีเทาๆใบนี้มันอยู่ยากกว่าที่คิด ชีวิตจึงไม่ง่าย ให้10/10 [มีสปอยส์บางส่วน]



No.60

จั่วหัว : หนังบ้าอะไรไม่รู้ พูดพล่ามกันทั้งเรื่อง แต่ดูจบออกมาแล้วบ้าไปเลย ถือว่าเป็นหนังที่สุดโต่งทางด้านการแสดงมาก และเต็มไปด้วยอารมณ์ที่อัดแน่น กรุ๊มกริ่ม และสมจริง นี่คือมาสเตอร์พีซของ เดวิด โอ รัสเซลล์

American Hustle : โกงกระฉ่อนโลก

คมนิด จี๊ดเลย : บางทีต่อให้เราเป็นคนดีแค่ไหน ซื่อสัตย์แค่ไหน แต่บางครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ที่เราต้องโกงหัวใจ โกงความความรู้สึกตัวเอง หลอกคนอื่นให้สบายใจอาจทำได้ แต่หลอกตัวเองให้สบายใจนี่ มันเฟคไม่ลงจริงๆ

Napat's Rating : (A++++++++) , 10 /10


Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans


- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -

จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : อาจเป็นเพราะเราไม่ทันได้คาดหวังอะไรมากกับการดูหนังเรื่องนี้ เพราะปกติก็ไม่ใช่แฟนคลับของผุ้กำกับเดวิด โอ รัสเซลล์เสียเท่าไหร่ แต่เราก็รู้ว่าหนังเฮียแกจะมีดีในด้านการแสดงทุกเรื่อง แต่พอมาเรื่องนี้ ขอยอมแพ้เลย เพราะมันกลายเป็นหนังที่กลมกล่อม ไมได้มีดีเพียงการแสดง แต่คาแรคเตอร์ เรื่องราวที่เกิดขึ้น มันก็ชวนตั้งคำถามกับสังคมและโลกสีเทาที่อยู่ยากในปัจจุบันด้วยเช่นกัน

รีวิวกันแบบไม่สปอยส์ก่อน หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังคุณภาพที่คิดว่าต้องได้รางวัลแน่ๆกับเวทีใหญ่ๆในปีหน้า มู้ดโทน เรื่องราว การแสดง ตัวละคร มีเอกลักษณ์และมีจุดเด่นทำให้เราเชื่อและเชียร์ไปโดยสนิทใจ อีกทั้งส่วนตัวผมค่อนข้างมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครบางตัวมากๆถึงขนาดส่ายหน้า โยกเบาะ กระทืบเท้า หรือหัวเราะไปตามตัวละครเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าหนังจะพูดมาก แต่ก็มีประเด็นให้ไปขบคิดได้มากเช่นกัน เชียร์ให้ไปดูกันนะครับ //จบ.


+++++++คราวนี้เอาแบบสปอยส์มั่ง ใครยังไม่ดูข้ามไปๆ+++++++


โธ่!!ใครมันจะไปคิดว่าผู้กำกับแกจะกล้าเปิดเรื่องด้วยฉากโคลสอัพพุงโตๆของคริสเตียน เบลล์ที่อุตส่าห์ไปขุนมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ และเปิดตัวพระเอกอย่างตัวละคร เออร์วิง โรเซนฟิลด์ด้วยฉากเซตผม แค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า หนังกำลังจะดึงคนดูเข้าสู่เรื่องราวด้วยศักยภาพของนักแสดงรวมถึงการแสดงที่ต้องเอาอยู่ตั้งแต่เปิดเรื่อง และแน่นอนว่าสอบผ่านกันเต็มๆ

เราจะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้เกี่ยวกับอะไร อาจถึงขั้นงงที่มาเถียงอะไรกันไม่รู้ตั้งแต่เปิดเรื่อง แต่หนังจะค่อยๆเล่าย้อนกลับไปและจะเห็นที่มาของตัวละครแต่ละตัวก่อนที่จะมานั่งรวมกันในห้องเดียวกันได้อย่างชัดเจนก่อนที่จะขับเคลื่อนเรื่องราวกันต่อไป

หนังมีสไตล์กลิ่นอายอารมณ์แบบเควนตินมานิดๆที่อยุ่ๆเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ไหนก็จะมีการแฟลชแบคแบบโง่ๆไปทันที และยังมีการใช้Voice Overที่มาจากหลายตัวละครจนดูเยอะแยะไปหมด(ลำพังแค่บทพูดที่ต้องออกมาจากปากก็นับว่ามากกว่า นี่ยังมีพูดในใจ บ่น พร่ำเพร้อมาจากอีกหลายตัวละคร ช่างทำไปได้จริงๆ)

เราจะไปพบกับเออร์วิง และการมาของซิดนี่ พรอสเซอร์ หญิงสาวที่รับบทโดยเอมี่ อดัมส์ที่เกิดตกหลุมรักในความเก๋าแปลกๆของเออร์วิง จนได้คบกันเป็นทั้งคู่หูทั้งเรื่องรักและเรื่องงาน ที่พากันรุ่ง เพราะต่างใช้วิชาการต้มตุ๋นได้เก่งทั้งคู่ อ้อ หนังยังเข้าใจแฟลชแบคเล่าถึงการกระทำนี้ของตัวเด็กที่มีปมมาตั้งแต่เด็กด้วย ถือว่าน่าสนใจทีเดียว และซีนที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในร้านซักรีด และอยู่ในราวแขวนผ้าที่หมุนได้ไปด้วยกันถือว่าเป็นซีนที่ผมชอบมากๆ มันโคตรโรแมนติกเลยทั้งๆที่ดูแล้วน่าจะธรรมดามากๆ

แต่เรื่องรักๆของเขาก็ไม่ได้ง่ายๆอย่างที่คิดเมื่อพรอสเซอร์พบว่า เออร์วิงแต่งงานแล้วมีลูกหนึ่ง อีกทั้งภรรยาตัวแสบก็ไม่ยอมหย่ากับเขา และบทนี้ที่รับโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ถือว่าเด็ดมาก เป็นตัวละครที่ขโมยซีนเด็ดแห่งปี เผลอๆอาจได้ซิวออสการ์ด้วยอีกตัวใครจะรู้ หนังเริ่มสร้างให้สองตัวละครนี้ระหว่างเมียหลวงเมียน้อยไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่ต้น และจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆระหว่างเส้นเรื่องหลักกำลังตรึงเครียด

มาที่เส้นเรื่องหลัก เออร์วิงและพรอสเซอร์ถูกจับได้ในข้อหาต้มตุ๋น โดยนายตำรวจไฟแรงสมองใสที่ชื่อว่าริชชี่ เล่นโดยแบรดลี่ คูปเปอร์ ที่มีแผนจะใช้ความหัวใสของเออร์วิงสอยจับพวกคอร์รัปชั่นนักต้มตุ๋นหรือมาเฟียรายใหญ่ในเมืองมาให้ได้

แล้วคนที่มาติดกับดันเป็นหนึ่งในรายใหญ่ที่เป็นไอดอลของหลายคน เป็นนักการเมืองไฟแรงอย่าง คาร์ไม (เจเรมี เรนเนอร์) ผู้ซึ่งต้องกลายมาเป็นเพื่อนจำเป็นกับเออร์วิงที่เดินไปตามแผนเพื่อมัดตัวเขา แต่เมื่อเขายิ่งรู้จักคาร์ไมขึ้นเรื่อยๆ เขาก็พบว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เขายอมทำ ยอมผิด ยอมโกง แต่มันแลกมากับความหวังดีที่เขาได้วางไว้ให้กับประเทศ ให้กับประชาชนที่เขารัก และแน่นอนความจริงใจที่คาร์ไมมอบให้เขา ทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจกับการกระทำของเขาในครั้งนี้เสียแล้ว ประจวบกับนายตำรวจริชชี่ยังถือโอกาสจะแย่งแฟนเขาไปครอบครองเสียด้วย อะไรๆมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะเมื่อเขาได้ไปแตะเสือป่าเหล่ามาเฟีย เขาก็ถอยไม่ได้เสียแล้ว

และหนังก็ให้บทสรุปที่เจ็บแสบมากกับการกระทำของเออร์วิง ซึ่งนัยนึงก็นับว่าน่าเห็นใจตัวละครนี้ เพราะอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยุ่หลายครั้ง และคริสเตียน เบล ได้เล่นบทบาทนี้ออกมาได้อย่างดีมาก จนเราเชื่อและเห็นใจไปกับตัวละครด้วยจริงๆ

ในขณะที่ตัวละครที่เล่นโดยเอมี่ อดัมส์ ก็แฝงไปด้วยนัยน์ตาที่คิดอะไรตลอดเวลาจนบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร เนื่องจากมนุษย์เราก็ล้วนมีอารมณ์สับสนในตัวเองทั้งนั้น จนบางทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราต้องการอะไร และการกระทำนี้ก็สะท้อนอย่างชัดเจนมากในฉากที่เถียงกับพระเอกในห้องคอนโดช่วงต้นเรื่อง

ตัวละครของแบรดลี่ คูปเปอร์ ถือว่าเป็นตำรวจที่ยังไม่ทันเขา ไฟแรงแต่ยังหัวอ่อน กระนั้นก็คิดว่าตัวเองเก๋าเกมพอทั้งที่ไม่ได้มีอะไรไปสู้พวกหัวใสคนอื่นเลย แบรดลี่ท์เล่นได้ดีมากเช่นกัน โดยเฉพาะฉากเขวี้ยงโทรศัพท์ถือว่าเป็นอะไรที่เขาเก็บกดมามาก ทั้งจากเรื่องงานและเรื่องความรักที่ไม่สมหวังเสียที สุดท้ายตัวละครนี้ก็น่าสงสารเพราะแม้เป็นต้นคิดเรื่องราวทั้งหมด แต่จบอนาถสุดในทุกๆเรื่อง ถ้าเราเป็นตัวละครนี้คงเฟลไปสามโลกจริงๆ มันทำให้เราคิดได้ว่าความเป็นอุดมคติในโลกนี้มันไม่มีอยู่จริง ต่อให้เราฝันว่าจะทำให้ภาพที่เราสร้างมันสวยงามเพียงใด แต่จริงๆแล้วเราอาจพบว่าชีวิตจริงมันโหดร้าย มันยุ่งยากกว่าที่คิด และบางครั้งภาพในฝันทีเราตั้งใจไว้อาจพังศรัทธาอุดมการณ์ที่อยู่ในใจเราเสียเองก็เป็นได้

เจเรมี่ เรนเนอร์ในลุคนักการเมืองแบบนี้ก็ดูเท่ดีนะ ดูดีทีเดียว แม้จะไม่ได้แสดงอะไรเยอะมากแต่แกก็ทำได้ดีสมมาตรฐานพอตัว และช่วงท้ายแกก็โคตรๆน่าเห็นใจเหมือนกัน แต่เราสงสารพระเอกยิ่งกว่า นี่มันโลกบ้าชัดๆที่เราต้องหักหน้าเพื่อนกันแบบนี้

และสุดท้ายคุณเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ คือบางฉากที่เธอเล่นเราเผลอขำออกมาเลยทั้งที่เธอพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ นับว่าเป็นความเจ๋งจริงๆที่เธอเลือกบทนี้มาเล่นเพราะทำให้เราลืมเธอกะบทแคตนิส เอเวอร์ดีนในหนังฮังเกอร์เกมไปเลย มันพิสูจน์แล้วว่าไม่ว่าบทไหนที่เธอเก็ต เธอเอาอยู่หมด

ในหนังมันยังมีตัวละครบางตัวอย่างหัวหน้างานของริชชี่ที่จะมีกิมมิคเล่าเรื่องผุ้ชายตกปลามาเป็นระยะๆซึ่งก็แย่งซีนได้ดี และฉากเมากันในร้านอาหารก็ทำได้ดีมาก หนังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนเรื่องเล็กๆที่ค่อยๆบานปลายเหมือนไฟลามทุ่ง และบางทีทำให้เรารู้ว่าการเด็ดดอกไม้ที่ไม่ควรจะเด็ดบางดอกนั้น สะเทือนไปถึงดวงดาวจริงๆ

ในท้ายที่สุดทุกชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าตัวละครเหล่านี้จะไปอยู่ในสถานการณ์ที่โลกบ้าขนาดไหน เราก็ไม่อาจโกงความรู้สึกที่สร้างความสบายใจชั่วคราวและถอยห่างจากโลกแห่งความเป็นจริงได้ เพราะเราต่างรู้ดีว่าเราอยู่ในโลกความจริง เราต้องเติบโตไปกับมัน ต้องอยู่กับมันให้ได้ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดหรือสะเทือนใจสักเท่าไหร่ เพราะโลกนี้มันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ไม่มีขาว ไม่มีดำ มีแต่สีเทาๆที่เราต้องเลือกเอาเองว่าจะทำให้มันเบนไปทางสีใด.



ปล.สุดท้ายนี้ ขอฝากหนังตัวอย่าง "หนังซอมบี้-ไซไฟ" ผลงานของผมไว้ด้วยนะคร้าบ น่าจะได้ชมกันปีหน้าเพระามีปัญหาบางประการทำให้หนังเต็มเสร็จล่าช้าครับ (เป็นผลงานที่ทำโดยนักศึกษาครับ อาจยังเทียบรุ่นกันหนังใหญ่ดีๆไม่ได้นะครับ ^^)


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ขอฝากคลิปตัวอย่างผลงานสั้นๆที่ไปถ่ายไว้ที่เกาหลีอีกงานครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

อันนี้ตัวอย่างหนัง "American Hustle โกงกระฉ่อนโลก" ครับ ลองชมกันดู

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ขอทิ้งท้ายด้วยคลิปการบรรเลงดนตรีจากผู้แต่งสกอร์ดนตรีประกอบภาพยนตร์  "American Hustle" ครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ

ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม

ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!


https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans

https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่