กระทู้นี้ไม่มีอะไรแค่อยากจะบอกเล่า และ ระบายความในใจ หลังจากเปลี่ยนมาใช้นามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช
เอาประเด็นมีคนมาว่าเราว่าไม่เคารพบรรพบุรุษตรงนี้เราก็จี๊ดๆในใจ แต่เราไม่แคร์สื่อ เรามีพี่กับเราแค่ 2 คน ส่วนพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่เรา ปู ย่า ตา ยาย ท่านเสียหมดแล้ว อีกทั้งเราไม่ใช่ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย เราไม่มีการรอมรดกจากเจ้าคุณปู่ เราไม่ใช่คนสุดท้ายของตระกูล เราจึงตัดสินในเปลี่ยนนามสกุลเนื่องจากเรามองไปที่อนาคตของลูกกับสังคม คือ เราไม่อยากให้ลูกของเราคิดแบบเรา อาจจะไม่คิดแบบเราแต่เรากลัวจะคิด...ทำให้ให้ลูกเรารู้สึกอับอาย จริงๆก็ไม่ได้น่าอายอะไรมาก...แต่ก็รู้สึกอายในใจลึกๆแต่ต้องทน
นามสกุลเดิมเราจะออกไปทางฮาๆนิดๆกึ่งบ้านๆ ซึ่งมักจะเอามาล้อกันในหมู่เพื่อนตั้งแต่สมัยเราเรียน จนป่านนี้เพื่อนที่ทำงานขนาดโตๆกันแล้วยังมีมาล้อบ้าง ซึ่งเราก็เข้าใจและชินกับมันแล้ว แต่ลูกเราละ...เรารักเขา...เราโดนด่าเรื่องเปลี่ยนนามสกุลแต่ลูกเราได้ใช้นามสกุลชื่อเพราะๆเราคิดว่าคุ้ม ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวจะผิดจะถูกก็คิดและทำไปแล้ว เพื่อครอบครัวและเพื่อลูก
ทำไมถึงมาเปลี่ยนตอนนี้ จริงๆอยากเปลี่ยนนานแล้วแต่ยังติดเรื่อง เราแคร์พ่อแม่ท่านยังอยู่ และโอกาสหาชื่อสกุลสวยๆไม่มี รู้สึกว่ามันเป็นศาสตร์ที่ยากกว่าจะได้ชื่อดีๆ มาเวลานี้ได้ทราบข่าวมีการเปิดจองชื่อนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช อีกทั้ง พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักเราได้เสียหมดแล้ว จึงได้จองและเปลี่ยนนามสกุลใหม่
เราไปดาวน์โหลดไฟล์นามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช ปี 56 มาเลือกชื่อที่เราชอบคัดมาเกือบๆ 20 ชื่อ เราก็โทรไปเช็คที่อำเภอสรุปว่าถูกใช้หมดยกเว้นมีชื่อสกุลเดียวที่พอมีหวัง แต่ก็ท้อแล้วละตอนนั้น... เจ้าหน้าที่อำเภอบอกให้โทรไปที่ติดต่อสำนักทะเบียนกลาง(มั้ง) เรื่องนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนามสกุลที่เราเลือกกับชื่อนี้ที่เหลือ
โทรไปเจ้าหน้าที่บอกว่ามีคนจองไว้แต่ยังไม่ไปจดจึงล๊อคไว้ เจ้าหน้าที่ถามเราจะไปจดนามสกุลใหม่ตอนไหน เราดีใจว่า 1 ใน 20 ที่เลือกสามารถจดได้จึงบอกพรุ่งนี้ไปเลย เจ้าหน้าที่แจ้งถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ไปจดถือว่าสละสิทธิ์และก่อนไปจดให้เราโทรไปบอกเจ้าหน้าที่ด้วยจะปลดล๊อคให้
รุ่งขึ้นไปที่อำเภอ แจ้งเจ้าหน้าที่ที่อำเภอว่ามาเปลี่ยนนามสกุลและระบุให้โทรไปบอกเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนกลางว่าจะจดนามสกุลจากสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหน้าที่ก็ขอบัตรประชาชน และบอกจะจัดส่งประกาศณียบัตรนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราชไปให้ที่บ้านจบตรงนี้ก็ยุ่งเรื่องเอกสารเปลี่ยนชื่อสกุลที่อำเภอจนได้ใช้ชื่อสกุลใหม่
เจ้าหน้าที่อำเภอจำเราได้ว่าเป็นคนที่โทรมาเช็คชื่อนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหน้าที่ยังถามต่อว่าเสียเท่าไรได้ชื่อมา เราก็บอกว่าไม่เสียสักบาท ถามเราต่อว่า เราทำงานอะไร ทำไมถึงได้นามสกุลจากสมเด็จพระสังฆราชดูง่ายจัง เราก็บอกว่าเราก็คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ไปจองเมื่อวานพอว่างก็มาจดวันนี้เจ้าหน้าที่บอกดีจัง หลายๆคนที่มาถามนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช ว่าว่างไหมส่วนมากจะโดนจดไปหมดแล้ว หรือ ที่ว่างก็ไม่ให้จดง่ายๆ อาจจะต้องเสียเงิน เราก็งงไม่รู้เจ้าหน้าที่พูดอะไร...แต่เรายืนยันว่าไม่เสียสักบาท
ตอนนี้เราเปลี่ยนทั้งชื่อ และ นามสกุลใหม่เลย รู้สึกดีใจที่ได้ใช้นามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช และ ลูกเราจะได้ใช้นามสกุลนี้เหมือนเรา ลูกเราจะดีจะชั่วอยู่ที่การสั่งสอนของเราแล้วละ ^ ^
ไปเปลี่ยนนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราชมาแล้ว ^ ^
เอาประเด็นมีคนมาว่าเราว่าไม่เคารพบรรพบุรุษตรงนี้เราก็จี๊ดๆในใจ แต่เราไม่แคร์สื่อ เรามีพี่กับเราแค่ 2 คน ส่วนพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่เรา ปู ย่า ตา ยาย ท่านเสียหมดแล้ว อีกทั้งเราไม่ใช่ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย เราไม่มีการรอมรดกจากเจ้าคุณปู่ เราไม่ใช่คนสุดท้ายของตระกูล เราจึงตัดสินในเปลี่ยนนามสกุลเนื่องจากเรามองไปที่อนาคตของลูกกับสังคม คือ เราไม่อยากให้ลูกของเราคิดแบบเรา อาจจะไม่คิดแบบเราแต่เรากลัวจะคิด...ทำให้ให้ลูกเรารู้สึกอับอาย จริงๆก็ไม่ได้น่าอายอะไรมาก...แต่ก็รู้สึกอายในใจลึกๆแต่ต้องทน
นามสกุลเดิมเราจะออกไปทางฮาๆนิดๆกึ่งบ้านๆ ซึ่งมักจะเอามาล้อกันในหมู่เพื่อนตั้งแต่สมัยเราเรียน จนป่านนี้เพื่อนที่ทำงานขนาดโตๆกันแล้วยังมีมาล้อบ้าง ซึ่งเราก็เข้าใจและชินกับมันแล้ว แต่ลูกเราละ...เรารักเขา...เราโดนด่าเรื่องเปลี่ยนนามสกุลแต่ลูกเราได้ใช้นามสกุลชื่อเพราะๆเราคิดว่าคุ้ม ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวจะผิดจะถูกก็คิดและทำไปแล้ว เพื่อครอบครัวและเพื่อลูก
ทำไมถึงมาเปลี่ยนตอนนี้ จริงๆอยากเปลี่ยนนานแล้วแต่ยังติดเรื่อง เราแคร์พ่อแม่ท่านยังอยู่ และโอกาสหาชื่อสกุลสวยๆไม่มี รู้สึกว่ามันเป็นศาสตร์ที่ยากกว่าจะได้ชื่อดีๆ มาเวลานี้ได้ทราบข่าวมีการเปิดจองชื่อนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช อีกทั้ง พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักเราได้เสียหมดแล้ว จึงได้จองและเปลี่ยนนามสกุลใหม่
เราไปดาวน์โหลดไฟล์นามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช ปี 56 มาเลือกชื่อที่เราชอบคัดมาเกือบๆ 20 ชื่อ เราก็โทรไปเช็คที่อำเภอสรุปว่าถูกใช้หมดยกเว้นมีชื่อสกุลเดียวที่พอมีหวัง แต่ก็ท้อแล้วละตอนนั้น... เจ้าหน้าที่อำเภอบอกให้โทรไปที่ติดต่อสำนักทะเบียนกลาง(มั้ง) เรื่องนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนามสกุลที่เราเลือกกับชื่อนี้ที่เหลือ
โทรไปเจ้าหน้าที่บอกว่ามีคนจองไว้แต่ยังไม่ไปจดจึงล๊อคไว้ เจ้าหน้าที่ถามเราจะไปจดนามสกุลใหม่ตอนไหน เราดีใจว่า 1 ใน 20 ที่เลือกสามารถจดได้จึงบอกพรุ่งนี้ไปเลย เจ้าหน้าที่แจ้งถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ไปจดถือว่าสละสิทธิ์และก่อนไปจดให้เราโทรไปบอกเจ้าหน้าที่ด้วยจะปลดล๊อคให้
รุ่งขึ้นไปที่อำเภอ แจ้งเจ้าหน้าที่ที่อำเภอว่ามาเปลี่ยนนามสกุลและระบุให้โทรไปบอกเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนกลางว่าจะจดนามสกุลจากสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหน้าที่ก็ขอบัตรประชาชน และบอกจะจัดส่งประกาศณียบัตรนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราชไปให้ที่บ้านจบตรงนี้ก็ยุ่งเรื่องเอกสารเปลี่ยนชื่อสกุลที่อำเภอจนได้ใช้ชื่อสกุลใหม่
เจ้าหน้าที่อำเภอจำเราได้ว่าเป็นคนที่โทรมาเช็คชื่อนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหน้าที่ยังถามต่อว่าเสียเท่าไรได้ชื่อมา เราก็บอกว่าไม่เสียสักบาท ถามเราต่อว่า เราทำงานอะไร ทำไมถึงได้นามสกุลจากสมเด็จพระสังฆราชดูง่ายจัง เราก็บอกว่าเราก็คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ไปจองเมื่อวานพอว่างก็มาจดวันนี้เจ้าหน้าที่บอกดีจัง หลายๆคนที่มาถามนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช ว่าว่างไหมส่วนมากจะโดนจดไปหมดแล้ว หรือ ที่ว่างก็ไม่ให้จดง่ายๆ อาจจะต้องเสียเงิน เราก็งงไม่รู้เจ้าหน้าที่พูดอะไร...แต่เรายืนยันว่าไม่เสียสักบาท
ตอนนี้เราเปลี่ยนทั้งชื่อ และ นามสกุลใหม่เลย รู้สึกดีใจที่ได้ใช้นามสกุลพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช และ ลูกเราจะได้ใช้นามสกุลนี้เหมือนเรา ลูกเราจะดีจะชั่วอยู่ที่การสั่งสอนของเราแล้วละ ^ ^