กับความขัดแย้งที่มีอยู่ในขณะนี้ประกอบกับนิสัยไม่ค่อยยอมกัน
เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ ดูถูกเหยียดหยามคนด้อยกว่า หยุมหยิม ขี้อิจฉา ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่อำนวยให้เกิดสงครามได้ไม่ยากหรอกครับ
ประกอบกับประเทศไทยเราไม่เคยประสพกับภาวะสงครามรบพุ่งกันมานานมากแล้ว
เรียกได้ว่าน้อยคนที่จะได้เคยลิ้มรสชาติของสงครามจริงๆ แม้แต่ทหารที่มีอาชีพหากินกับสงครามเองก็ตาม ประสพการณือย่างมากก็มีแค่อย่างภาคใต้ หรือกระทบกระทั่งกันตามชายแดน ยังไม่เคยเจอแบบรบกันเต็มรูปแบบไม่มีข้อจำกัดกันจริง
และเพราะไม่เคยเจอก็จึงไม่ค่อยกลัวกับมันกันซักเท่าไหร่ ต่างฝ่ายจึงต่างพยายามท้าทายร้องหากันเหมือนเป็นเรื่องไม่น่ากลัว
แต่สำหรับคนที่เคยผ่านเคยเห็นสงครามมาแล้ว หรืออย่างน้อยใส่ใจไปติดตามข่าวคราวสงครามของที่อื่นก็คงขยาดและหวาดกลัวแน่นอน
อย่างสงครามในซีเรียนี่ ในไทยก็ไม่ค่อยมีข่าวหรือรายระเอียดเจาะลึกอะไรกันมากทางทีวีก็ไม่ค่อยมีภาพความน่าเกลียดน่ากลัวของสงครามมาให้เห็นกันน่าเสียดายนะครับ เลยอยากลองสมมุติเหตุการณ์เล่นๆว่า เมืองไทยของเรามีสงครามกลางเมือง
คาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นระหว่างคนที่ต้องการประชาธิปไตยกับคนที่ไม่ต้องการ เมื่อฝ่ายกองทัพเกิดขยับเข้ามามีบทบาท เค้าไม่ได้ถอดชุดวางอาวุธสงครามมานั่งคุยกันฐานะประชาชนซะเมื่อไหร่
เค้ามากันเต็มยศพร้อมกับอาวุธสงคราม เมื่อมีกระทบกระทั่งกันมันก็ต้องมีตาย มีตายก็ต้องมีการเอาคืน
ในกองทัพเองก็ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวกัน คือคนเราเนี่ยเมื่อมีการตายของญาติพี่น้องก็เจ็บแค้น ยิ่งเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคนไทยแล้วมันจบยาก
การตอบโต้ก็ต่อเนื่อง จับอาวุธมาไล่ฆ่ากัน สู้ตรงๆไม่ได้ก็ลอบกัดเอาเหมือนกับที่ภาคใต้เรานั่นแหละ
ต่างฝ่ายก็ต้องทำลายล้างอีกฝ่ายในทุกทาง
สาธารณูปโภคทุกอย่างย่อมเป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์
กรุงเทพนี่น่าจะเป็นสมรภูมิแรกเลยล่ะครับ
เช่นหากแค่ต้องการปิดล้อมกรุงเทพฯไม่ต้องใช้กำลังทหารอะไรมากมายหรอกครับ
แค่ตัดเส้นทางลำเลียงไฟฟ้าเข้ากรุงเทพก็จบแล้ว
แหล่งน้ำจืดก็เช่นกันโรยยาพิษลงไปใช้ดื่มกินไม่ได้ จะอยู่กันยังไง
แม้แต่น้ำขวดที่ใช้ดื่มหากแค่ฝ่ายไหนผสมสารพิษลงไปแล้วปล่อยออกสู่ท้องตลาด
จะกล้าดื่มกันมั๊ย?
อาหารก็ต้องขาดแคลนแน่นอน ไม่มีการขนส่งก็ย่อมไม่มีอาหาร
ระบบคมนาคมอย่างกรุงเทพฯ แค่ทำลายสะพานลอยทางด่วนซักจุดเดียวก็สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาลแล้ว
แหล่งเชื้อเพลิงพลังงานทุกแห่งก็เช่นกันหากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ มันก็คือเป้าหมายทั้งหมด
ปั๊มน้ำมันก็ต้องมีการป้องกันอย่างหวาดระแวง
แค่เด็กแว๊นตระเวนโยนระเบิดเพลิงใส่ปั๊มกรุงเทพก็กลายเป็นทะเลเพลิงได้ไม่ยากหรอกจริงมั๊ยครับ?
และแน่นอนสภาพความวุ่นวายที่มี ต่อให้ประกาศภาวะฉุกเฉินก็เอาไม่อยู่หรอกครับ
ต้องต่อสู้แย่งชิงกันเองทุกอย่างการปล้นสะดมภ์เป็นเรื่องธรรมดา
แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่ปลอดภัย ยิ่งอย่างที่เห็นแม้แต่คนที่เป็นหมอยังเลือกข้างเลือกฝ่าย
นั่นก็หมายถึงเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม ตัวอย่างในซีเรียมีให้เห็นได้ถล่มกันไม่สนหรอกครับว่าเป็นโรงพยาบาลมีคนป่วยมีเด็ก
แม้แต่วัดที่คนไทยคิดว่าเป็นเขตปลอดภัย แค่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
ในสงครามไม่มีความปรานีหรอกครับ
ยิ่งเป็นสงครามที่เกิดจากความคลั่งแค้นเกลียดชังเค้าไม่ได้หวังยึดเพื่อครองอำนาจ
แต่ต่างฝ่ายต่ายก็เพียงต้องการระบายความแค้นกันอย่างเดียวไม่มีทางหยุดจนกว่าความแค้นจะหมดไปไม่ก็ตายกันไปหมดนั่นแหละ
ไอ้ที่เราเคยเจอแบบเมื่อปี53นั่นมันแค่เด็กทะเลาะกัน และรับรองว่าไม่ใช่แค่แบบที่เห็นที่รามคำแหงอย่างอาทิตย์ก่อนแน่นอน
คนเรามากับความแค้นในระดับที่ไม่มีอะไรเสีย มันพยากรณ์ลำบาก ที่สำคัญพอมันเริ่มแล้วก็ไม่รู้จะไปเจรจาสันติภาพกับใคร
เพราะมันแค้นใครแค้นมัน ระเบิดแล้วไม่สุดก็คงไม่เลิก
อย่างdirty bombนี่ไม่ใช่ทำยากเย็นเลยนะครับน่ากลัวจะตาย
แค่มีใครบ้าๆศึกษาวิธีก็ทำได้แล้ว อาจจะไม่มีใครตายหรอก แต่อย่างกรุงเทพนี่หากเจอdirty bomb ลูกเดียวก็คงปิดตายเป็นปี เสียหายแบบล้มละลายกันเลยละกัน
ไม่ว่าจะเจอกับอะไร สงครามก็คือความหายนะ เป็นหายนะที่นึกกันไม่ถึงแน่นอน
ศึกษาเตรียมตัวกันไว้ก็ดีครับหากเกิดขึ้นมาจริงๆโอกาสรอดไปเล่าเตือนสติลูกหลานจะได้มีมากหน่อย
พอเห็นเหตุการณ์ท่าจะแย่ ก็ตุนอาหารและน้ำเอาไว้บ้างก็ดี ไฟฉาย เทียนไขก็จำเป็น วิทยุแบบรับเอเอ็มได้ ก็มีประโยชน์ใช้ติดตามข่าวสารเวลาที่ไม่มีไฟระบบคมนาคมถูกตัดขาด
โดยเฉพาะหากมีเจอ dirty bombกันจริงๆ รู้ข่าวก่อนนี่สำคัญมาก อย่างระเบิดที่เยาราช คุณอยู่บางกระปิก็ต้องหนีเพราะเราไม่รู้ว่าลมจะพัดไปทางไหน หรือหากระเบิดใกล้ ก็ต้องเตรียมหาอะไรอุดบ้านให้มิดชิดถ้าหนีไม่ทัน เพราะ ระอองกัมมันตภาพมากับอากาศที่เราหายใจนั่นแหละทรัพย์สินเงินทองก็ต้องมีเงินสกุลอื่นไว้บ้าง ไม่ก็ทองคำแน่นอนดี
ถ้ามีปัญญาก็หนีไปต่างประเทศ ไม่งั้นก็ต้องออกต่างจังหวัด ทำแผนทางหนีทีไล่ไว้หน่อยเวลาฉุกเฉิน
อย่างน้อยก็ต้องมีเตรียมอาวุธอะไรไว้ป้องกันตัวและครอบครัวบ้างล่ะ
ที่นำมาเล่านี่ก็แค่จำมาจากรายการทีวีของบีบีซีน่ะครับ
จงใจเอามาขู่กันก่อนอน จะได้ไม่ร้องหาสงครามกันเหมือนกับเป็นเรื่องเล่นๆ
เลิกท้าทายยุแหย่ เห็นคนชาติเดียวกันเป็นศัตรูซะที ไม่งั้นก็คงได้เจอกันจริงๆแน่
จะตัดสินความขัดแย้งกันที่คูหาเลือกตั้งอย่างคนมีอารยะ
หรือว่าจะออกไปไล่ฆ่ากันก่อนก็เลือกเอานะครับ
สงครามกลางเมือง เตรียมตัวกันไว้ก็ดีครับ
เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ ดูถูกเหยียดหยามคนด้อยกว่า หยุมหยิม ขี้อิจฉา ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่อำนวยให้เกิดสงครามได้ไม่ยากหรอกครับ
ประกอบกับประเทศไทยเราไม่เคยประสพกับภาวะสงครามรบพุ่งกันมานานมากแล้ว
เรียกได้ว่าน้อยคนที่จะได้เคยลิ้มรสชาติของสงครามจริงๆ แม้แต่ทหารที่มีอาชีพหากินกับสงครามเองก็ตาม ประสพการณือย่างมากก็มีแค่อย่างภาคใต้ หรือกระทบกระทั่งกันตามชายแดน ยังไม่เคยเจอแบบรบกันเต็มรูปแบบไม่มีข้อจำกัดกันจริง
และเพราะไม่เคยเจอก็จึงไม่ค่อยกลัวกับมันกันซักเท่าไหร่ ต่างฝ่ายจึงต่างพยายามท้าทายร้องหากันเหมือนเป็นเรื่องไม่น่ากลัว
แต่สำหรับคนที่เคยผ่านเคยเห็นสงครามมาแล้ว หรืออย่างน้อยใส่ใจไปติดตามข่าวคราวสงครามของที่อื่นก็คงขยาดและหวาดกลัวแน่นอน
อย่างสงครามในซีเรียนี่ ในไทยก็ไม่ค่อยมีข่าวหรือรายระเอียดเจาะลึกอะไรกันมากทางทีวีก็ไม่ค่อยมีภาพความน่าเกลียดน่ากลัวของสงครามมาให้เห็นกันน่าเสียดายนะครับ เลยอยากลองสมมุติเหตุการณ์เล่นๆว่า เมืองไทยของเรามีสงครามกลางเมือง
คาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นระหว่างคนที่ต้องการประชาธิปไตยกับคนที่ไม่ต้องการ เมื่อฝ่ายกองทัพเกิดขยับเข้ามามีบทบาท เค้าไม่ได้ถอดชุดวางอาวุธสงครามมานั่งคุยกันฐานะประชาชนซะเมื่อไหร่
เค้ามากันเต็มยศพร้อมกับอาวุธสงคราม เมื่อมีกระทบกระทั่งกันมันก็ต้องมีตาย มีตายก็ต้องมีการเอาคืน
ในกองทัพเองก็ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวกัน คือคนเราเนี่ยเมื่อมีการตายของญาติพี่น้องก็เจ็บแค้น ยิ่งเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคนไทยแล้วมันจบยาก
การตอบโต้ก็ต่อเนื่อง จับอาวุธมาไล่ฆ่ากัน สู้ตรงๆไม่ได้ก็ลอบกัดเอาเหมือนกับที่ภาคใต้เรานั่นแหละ
ต่างฝ่ายก็ต้องทำลายล้างอีกฝ่ายในทุกทาง
สาธารณูปโภคทุกอย่างย่อมเป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์
กรุงเทพนี่น่าจะเป็นสมรภูมิแรกเลยล่ะครับ
เช่นหากแค่ต้องการปิดล้อมกรุงเทพฯไม่ต้องใช้กำลังทหารอะไรมากมายหรอกครับ
แค่ตัดเส้นทางลำเลียงไฟฟ้าเข้ากรุงเทพก็จบแล้ว
แหล่งน้ำจืดก็เช่นกันโรยยาพิษลงไปใช้ดื่มกินไม่ได้ จะอยู่กันยังไง
แม้แต่น้ำขวดที่ใช้ดื่มหากแค่ฝ่ายไหนผสมสารพิษลงไปแล้วปล่อยออกสู่ท้องตลาด
จะกล้าดื่มกันมั๊ย?
อาหารก็ต้องขาดแคลนแน่นอน ไม่มีการขนส่งก็ย่อมไม่มีอาหาร
ระบบคมนาคมอย่างกรุงเทพฯ แค่ทำลายสะพานลอยทางด่วนซักจุดเดียวก็สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาลแล้ว
แหล่งเชื้อเพลิงพลังงานทุกแห่งก็เช่นกันหากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ มันก็คือเป้าหมายทั้งหมด
ปั๊มน้ำมันก็ต้องมีการป้องกันอย่างหวาดระแวง
แค่เด็กแว๊นตระเวนโยนระเบิดเพลิงใส่ปั๊มกรุงเทพก็กลายเป็นทะเลเพลิงได้ไม่ยากหรอกจริงมั๊ยครับ?
และแน่นอนสภาพความวุ่นวายที่มี ต่อให้ประกาศภาวะฉุกเฉินก็เอาไม่อยู่หรอกครับ
ต้องต่อสู้แย่งชิงกันเองทุกอย่างการปล้นสะดมภ์เป็นเรื่องธรรมดา
แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่ปลอดภัย ยิ่งอย่างที่เห็นแม้แต่คนที่เป็นหมอยังเลือกข้างเลือกฝ่าย
นั่นก็หมายถึงเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม ตัวอย่างในซีเรียมีให้เห็นได้ถล่มกันไม่สนหรอกครับว่าเป็นโรงพยาบาลมีคนป่วยมีเด็ก
แม้แต่วัดที่คนไทยคิดว่าเป็นเขตปลอดภัย แค่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
ในสงครามไม่มีความปรานีหรอกครับ
ยิ่งเป็นสงครามที่เกิดจากความคลั่งแค้นเกลียดชังเค้าไม่ได้หวังยึดเพื่อครองอำนาจ
แต่ต่างฝ่ายต่ายก็เพียงต้องการระบายความแค้นกันอย่างเดียวไม่มีทางหยุดจนกว่าความแค้นจะหมดไปไม่ก็ตายกันไปหมดนั่นแหละ
ไอ้ที่เราเคยเจอแบบเมื่อปี53นั่นมันแค่เด็กทะเลาะกัน และรับรองว่าไม่ใช่แค่แบบที่เห็นที่รามคำแหงอย่างอาทิตย์ก่อนแน่นอน
คนเรามากับความแค้นในระดับที่ไม่มีอะไรเสีย มันพยากรณ์ลำบาก ที่สำคัญพอมันเริ่มแล้วก็ไม่รู้จะไปเจรจาสันติภาพกับใคร
เพราะมันแค้นใครแค้นมัน ระเบิดแล้วไม่สุดก็คงไม่เลิก
อย่างdirty bombนี่ไม่ใช่ทำยากเย็นเลยนะครับน่ากลัวจะตาย
แค่มีใครบ้าๆศึกษาวิธีก็ทำได้แล้ว อาจจะไม่มีใครตายหรอก แต่อย่างกรุงเทพนี่หากเจอdirty bomb ลูกเดียวก็คงปิดตายเป็นปี เสียหายแบบล้มละลายกันเลยละกัน
ไม่ว่าจะเจอกับอะไร สงครามก็คือความหายนะ เป็นหายนะที่นึกกันไม่ถึงแน่นอน
ศึกษาเตรียมตัวกันไว้ก็ดีครับหากเกิดขึ้นมาจริงๆโอกาสรอดไปเล่าเตือนสติลูกหลานจะได้มีมากหน่อย
พอเห็นเหตุการณ์ท่าจะแย่ ก็ตุนอาหารและน้ำเอาไว้บ้างก็ดี ไฟฉาย เทียนไขก็จำเป็น วิทยุแบบรับเอเอ็มได้ ก็มีประโยชน์ใช้ติดตามข่าวสารเวลาที่ไม่มีไฟระบบคมนาคมถูกตัดขาด
โดยเฉพาะหากมีเจอ dirty bombกันจริงๆ รู้ข่าวก่อนนี่สำคัญมาก อย่างระเบิดที่เยาราช คุณอยู่บางกระปิก็ต้องหนีเพราะเราไม่รู้ว่าลมจะพัดไปทางไหน หรือหากระเบิดใกล้ ก็ต้องเตรียมหาอะไรอุดบ้านให้มิดชิดถ้าหนีไม่ทัน เพราะ ระอองกัมมันตภาพมากับอากาศที่เราหายใจนั่นแหละทรัพย์สินเงินทองก็ต้องมีเงินสกุลอื่นไว้บ้าง ไม่ก็ทองคำแน่นอนดี
ถ้ามีปัญญาก็หนีไปต่างประเทศ ไม่งั้นก็ต้องออกต่างจังหวัด ทำแผนทางหนีทีไล่ไว้หน่อยเวลาฉุกเฉิน
อย่างน้อยก็ต้องมีเตรียมอาวุธอะไรไว้ป้องกันตัวและครอบครัวบ้างล่ะ
ที่นำมาเล่านี่ก็แค่จำมาจากรายการทีวีของบีบีซีน่ะครับ
จงใจเอามาขู่กันก่อนอน จะได้ไม่ร้องหาสงครามกันเหมือนกับเป็นเรื่องเล่นๆ
เลิกท้าทายยุแหย่ เห็นคนชาติเดียวกันเป็นศัตรูซะที ไม่งั้นก็คงได้เจอกันจริงๆแน่
จะตัดสินความขัดแย้งกันที่คูหาเลือกตั้งอย่างคนมีอารยะ
หรือว่าจะออกไปไล่ฆ่ากันก่อนก็เลือกเอานะครับ