สวัสดีครับ ขออภัยด้วยที่สปอยอาทิตย์นี้มาซะช้าเลย (ส่วนหนึ่งเพราะ
ขี้เกียจกับติดงาน) สองตอนควบนี้ผมตั้งใจจะลองปรับปรุงกระทู้สปอยดู จากของเดิมที่เล่าทั้งเรื่องแล้วแปะภาพ ก็คิดว่าจะเปลี่ยนเป็นเล่าแค่เนื้อเรื่องย่อๆ ลงภาพให้น้อยลง(มาก) แต่เน้นเพิ่มเกร็ดการทำอาหารเข้าไปแทน ด้วยเหตุนี้ทำให้บางทีกระทู้สปอยโซมะจากรายอาทิตย์อาจจะเป็นราย2-3อาทิตย์ไปแทน ถ้าเกิดอาทิตย์นั้นไม่ได้มีอีเวนท์หรือเนื้อเรื่องการทำอาหารอะไรเท่าไร
ใจจริงอยากจะดองรอตอนที่52ไปเลย แต่พออ่านสปอยของจีนแล้ว เกิดความรู้สึกว่าคงไม่ไหวแฮะ รีบทำให้หมดล็อตที่ดองไว้ก่อนดีกว่า
แล้วก็เช่นเคยครับ ถ้าขาดตกหรือผิดพลาดอะไรตรงไหนไปละก็ ทักท้วงได้เลยนะครับ
ตอนที่ 50 -เหนือสามัญสำนึก-
ตอนนี้ทั้งตอนก่อนจะโฟกัสที่ตัวของเมงุมิ เริ่มด้วยหน้าเปิด4สี่ ก่อนที่จะมีประกาศชี้แจงโปรเจคต่างๆของโซมะ ที่น่าสนใจเห็นจะเป็น อัลบั้มภาพคอสของนางแบบมิโอะ ยูคิที่จะมาคอสเป็นเมงุมิตามภาพเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องของโซมะ เปิดเรื่องมาจะย้อนไปตอนเหตุการณ์ที่มิยาโกะมาช่วยเมงุมิตอนประกาศผล เธอสนใจในตัวเมงุมิ เพราะได้ยินข่าวลือที่ว่าเธอได้ด้วลโชคุเงคิกับโคจิโร่ที่เป็นศิษย์เก่า แต่เมงุมิก็บอกว่าเธอแพ้แล้วเธอก็ยังได้โซมะคุงช่วยไว้ซะเยอะด้วย ทำให้มิยาโกะผิดหวังในตัวเมงุมิเพราะนึกว่าเธอจะเป็นพวกไม่พึ่งผู้ชายแบบเดียวกับมิยาโกะซะอีก ซึ่งมิยาโกะนั้นมาจากร้านอาหารจีนที่บรรดาลูกมือในร้านไม่พอใจที่เจ้าของร้านจะให้มิยาโกะสืบทอดต่อ เพราะบรรดาลูกมือมองว่ามิยาโกะเป็นผู้หญิงไม่น่าจะทำอาหาร(โดยเฉพาะอาหารจีน)*ได้ เลยทำให้มิยาโกะมีอคติกับผู้ชายตั้งแต่นั้น แล้วคิดจะเอาชนะผู้ชายให้ได้ ซึ่งเธอก็ทำสำเร็จ สามารถทำอาหารที่ลูกมือที่ไม่ชอบหน้าเธออึ้งไปได้และในการแข่งขันครั้งนี้มิยาโกะก็คิดจะทำ"ข้าวผัดแกง"*นั้นเอง
(อย่างที่รู้ๆกัน อาหารจีนคือศิลปะแห่งการใช้ไฟ แล้วก็เป็นต้นตำรับการผัดและการใช้น้ำมันเป็นอาหารแรกๆของโลก อาหารไทยที่เป็นพวกผัดทั้งหลายก็ได้อิทธิพลมาจากการทำอาหารจีน และเนื่องด้วยการผัดและการใช้ไฟเป็นงานที่เหนื่อยและต้องใช้กำลังมาก ครัวจีนจึงไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิงสักเท่าใดนัก (แต่ก็ใช้ว่าไม่มี ตรงกันข้ามในยุคนี้ครัวจีนมีผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ))
(บอกตามตรงว่าดูไม่รู้เลยว่ามิยาโกะจะทำอะไร แต่ข้าวผัดแกงนั้นโดยส่วนใหญ่จะหมายถึงข้าวผัดที่ใส่ผงแกงเช่นแกงกระหรี่เข้าไปผัดด้วยให้เกิดกลิ่นหอม ซึ่งคาดว่ามิยาโกะก็จะทำแบบนี้นั้นแหละ แต่คงมีทีเด็ดอยู่ที่เครื่องแกงของเธอ)
ขณะเดียวกัน บรรดาคนดูที่เป็นนักเรียนที่ไม่ได้เข้าร่วมก็บ่นกันระงมว่าทำไมเมงุมิที่อยู่ที่โหล่ของชั้นปีถึงได้เข้าร่วม แถมดูแล้วมีแต่ทำอาหารง่ายๆไม่มีอะไรหวือๆหวาๆเลย ซึ่งเมงุมิก็ดันไปชนเข้ากับมิยาโกะซะอีก ทำให้โดนเธอบ่นว่าเป็นคนจำพวกชอบสร้างปัญหาให้กับห้องครัว หรือก็คือพวกที่เงอะๆงะๆเกะกะขัดขวางการทำงานของชาวบ้าน ซึ่งเมงุมิเองก็ได้แต่รวบรวมสมาธิพยามก่อนที่เธอจะเริ่ม หั่นปลากูสหรือ"อันโค"ด้วยวิธีจับแขวนแล้วค่อยหั่น
ซึ่งวิธีจับแขวนแล้วค่อยหั่นนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่มีทักษะการแล่ปลา เดิมทีนั้นมันเป็นวิธีที่เอาไว้ใช้แล่ปลาตัวใหญ่ๆหรือปลาที่มีเหมือกติดอยู่ตามตัวทำให้แล่บนเขียงยาก (ถ้าตามหลักการแล่ปลาของคนญี่ปุ่นเลย ต้องคอยเช็ดมีดเช็ดปลาให้แห้งที่สุดก่อนลงมือแล่ครับ เพราะงั้นปลาที่ตามตัวเป็นเหมือกอย่างปลากูสเนี่ยถือว่าแล่ได้ลำบากมาก) ส่วนปลากูสเองก็เป็นปลาแบบเดียวกับพวกMonkfish(ปีศาจทะเล) คือเป็นปลาที่โตในน้ำลึก หน้าตาประหลาดน่ากลัวแล้วก็มีอวัยวะสำหรับตกเหยื่อ จนบ้างที่ก็ได้ชื่อเรียกว่าปลาตกเบ็ด(Anglefish) เป็นปลายอดนิยมของทางประเทศจีนเขาเลยละ ส่วนใหญ่แล้วปลากูสกับอาหารญี่ปุ่นมักจะถูกใช้มาทำเมนูที่ชื่อ "อันคิโมะ" (鮟肝) เป็นตับปลากูสราดสาเกครับ
ซึ่งเมงุมิก็เริ่มโดยการตัดครีบแล้วผ่าเปิดบริเวณหัวปลาก่อนจะเอามือถลกหนังดึงลงมาซึ่งเป็นวิธีการกำจัดหนัง ก่อนจะผ่าเปิดบริเวณท้องเอาเครื่องในออกมา ตามด้วยการจรดมีเขากับบริเวณกระดูกแล้วกรีดมีดลงเพื่อให้ได้เนื้อปลาเป็นชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว ซึ่งก็สำเร็จอย่างงดงาม ทำให้เอาคนที่เคยปรามาศเมงุมิถึงกับอึ้ง โอริเอะก็สนใจจนอยากเข้ามาดูใกล้ๆเลยทีเดียว ซึ่งก็มีคนที่แอบยิ้มและพอใจกับความสำเร็จของเมงุมิเหมือนรู้มานานแล้วนั้นก็คือคุณฟูมิโอะกับรุ่นพี่อิชิกิสองคน
ตอนที่51 -แม่มดแห่งโต๊ะอาหาร-
เปิดตอนมาด้วยพิธีกรประจำโทสึกิ คาวาชิมะ อุราร่าเริ่มเปิดการชิมตัดสิน โดยมีกรรมการทั้งหมด5คนโดยแต่ละคนมีอยู่คนละ20คะแนน แสดงว่าคะแนนเต็มทั้งหมดมีอยู่ทั้งหมด100 ซึ่งนักเรียนคนแรกก็เริ่มเสิร์ฟ โดยอาหารของเขาก็คือ Achari Murgh (แกงไก่กับแตงกวาดอง(พริคเคิล))แต่เป็นแบบดัดแปลงโดยการใส่ Chaat Masala ลงไปซึ่งเป็นผงเครื่องเทศรวมและมีรสเปรี้ยวที่ได้จากผงมะม่วงตากแห้งกับกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และยังดัดแปลงโดยใช้ไก่ Tikka แทนไก่ Tandoori โดยจริงๆแล้ว ไก่ทั้งสองชนิดนี้ไม่ค่อยมีความต่างกันมาก ไก่ Tandoori เป็นชื่อเรียกไก่ย่าง+อบที่อบในโอ่ง Tandoor ของอินเดีย (แต่สมัยนี้เป็นเครื่องหมดแล้ว) หลังจากทำการหมักเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำไปย่างในเตา Tandoor โดยปกติจะนิยมนำไปย่างทั้งชิ้น หรือก็คือติดกระดูกไปด้วยนั้นเอง ส่วน ไก่ Tikka นั้นจะใช้ของหมักคล้ายๆกับ Tandoori แต่ไม่ได้นำไปย่างในเตา Tandoor และเนื้อไก่มักจะตัดเป็นชิ้นเล็กๆให้กินง่าย ส่วนใหญ่พอนำไปย่างแล้วสีจะเข้มกว่า Tandoori ซึ่งกรรมการก็ชมที่ทำแบบนี้เพราะเป็นการทำให้กินง่ายใส่ใจคนกินสมกับเป็นนักเรียนโทสึกิ
ว่าแล้วกรรมการก็ให้คะแนนอาหารของนักเรียนคนแรก นั้นก็คือ 33 คะแนน ซึ่งเขาตกใจที่ทำอาหารออกมาได้น้อยขนาดนี้ทั้งๆที่ได้รับคำชม ซึ่งเหล่ากรรมการก็บอกว่า พวกเขาเป็นนักชิมที่ทานอาหารจากเหล่าเชฟระดับสุดยอดทุกวัน ที่เขาชมเพราะว่าทำได้ดีแล้วในฐานะที่เป็นนักเรียน แต่การให้คะแนนพวกเขาจะเข้มงวดมาก ซึ่งพวกเขาบอกว่าถ้าได้เกิน50ก็ถือว่าดีแล้ว ทำให้ทาคุมิเริ่มประเมินกรรมการใหม่ หนึ่งในสองกรรมการโหดก็มี คิตะ โอซาจิ นักธุรกิจผู้เติมเต็มโต๊ะอาหารของตัวเองด้วยของดีจากทั่วโลก และอันโด ชินโงนักวิจารณ์อาหารสุดเคี่ยว รวมกับโอริเอะและกรรมการโหดอีกสองคนก็ทำให้ห้าคนนี้เป็นสุดยอดกรรมการสุดเคี้ยวที่จะขยี้นักเรียนที่ไม่เก่งจริงออกไป ซึ่งบรรดาอาหารของนักเรียนโทสึกิก็ต่างได้ต่ำกว่า50ทั้งนั้นจนมาถึง... จานของ ซาดาสึกะ นาโอะ
นาโอะเปิดตัวอาหารของเธอด้วยกลิ่นเหม็นอภิมหารุนแรงทำเอาเอือมกันไปทั้งฮอลท์ แม้แต่อลิสเองที่พอจะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรแบบนี้เลยเตรียมหน้ากากกันแก๊สมาสำรองเพื่อเอาไว้ ซึ่งอาหารของนาโอะก็คือ "ชิซึโคคุโนะลักซาคาเร่" (漆黒のラクサカレー) โดยชิซึโคคุหมายถึงคำเรียกสี"Jet Black"ในภาษาญี่ปุ่น แปลเป็นไทยก็ประมาณสีดำน้ำมัน (ในแซมเปิลสปอยผมเขียนว่านรก ขอโทษด้วยเน่อ อ่านผิดเต็มเปา) ส่วนลักซาก็เป็นอาหารจานเส้นขึ้นชื่อของชาวเพอรานากัน(หมายถึงลูกครึ่งคนจีนกับคนมลายู ชาวเพอรานากันมีอยู่มากในประเทศมาเลเซีย สิงค์โปร์แล้วก็อินโดนีเซีย) อาหารของชาวเพอรานากันจะเป็นลูกผสมของอาหารสไตล์อาหารใต้ของบ้านเรากับอาหารจีน ซึ่งแกงลักซาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ลักซาเป็นอาหารที่มีจุดเด่นในการใช้กะทิกับน้ำสต็อกที่มาจากทะเลในการทำ ทานพร้อมกับเส้นเป็นเหมือนบะหมี่แกง ซึ่งลักซาของนาโอะนั้นได้นำเอาหมึกของปลาหมึกมาใส่ผสมกับกะทิทำให้มีสีดำน้ำมัน ส่วนกลิ่นเหม็นอันแสนร้ายกาจนั้นก็ใช้"คุซายะ" (くさや)ปลาหมักของดีจังหวัดอิสึ ซึ่งคุซายะที่ว่านี้จะมีความคล้ายคลึงกับเซอร์สตอร์มมิง(ปลาเฮอร์ริ่งเน่าหมักหลายเดือน ของสวีเดน) แต่กลิ่นจะไม่รุนแรงกว่า โดยคุซายะจะใช้น้ำเค็ม(น้ำทะเล)ในการหมักเพื่อให้เกิดกลิ่น(เรียกว่าน้ำคุซายะ)ก่อนจะนำไปตากแดดให้แห้งอีกที ที่ญี่ปุ่นนิยมกินเป็นของแกล้มเหล้า โดยนาโอะนำเอาคุซายะมาต้มอีกที(ซึ่งกระบวนการนี้จะคล้ายๆกับต้มปลาร้าของไทยนั้นแหละ คือ อภิมหาเหม็น)
ซึ่งคุซายะนั้นเป็นคุซายะที่ทำขึ้นมาพิเศษจากปลาจำพวกปลาบิน(พวกปลาที่ครีบยาวเหมือนมีปีกตัวเล็กๆ)กับปลามาฮิมาฮิ(ปลาอีโต้มอญ) (ตรงนี้มีกิมมิคอยู่นิดนึง คืออาจารย์ยูโตะคนแต่งเรื่อง ตอนมาทำอาหารโชว์ในรายการ Jump Bang ก็ใช้ปลามาฮิมาฮิในการทำ ปลาอบซอสมายองเนส) ซึ่งดูเหมือนพอได้กลิ่นพวกรรมการก็ดูไม่อยากจะกิน แต่โอริเอะจำเป็นต้องทำในฐานะสปอนเซอร์ แต่เมื่อลองกินเข้าไป เธอก็พบว่ามันอร่อยทั้งๆที่มันเหม็นมาก อย่างแรกก็คือการใช้คุซายะมาทำ คล้ายคลึงกับการเพิ่มรสชาติให้อาหารโดยใช้กะปิ(อันนี้ในเรื่องมีการระบุว่า กะปิใช้งานเหมือนเครื่องเทศชนิดหนึ่ง แต่เราคนไทยคงรู้กันดีแหละว่า มันไม่น่าเรียกเครื่องเทศแต่น่าเรียกของชูรสมากกว่า ส่วนกะปิผมไม่ขออธิบายก็แล้วกันนะครับ คงรู้จักกันอยู่แล้ว) แต่การใช้คุซายะดูจะดีกว่าการใช้กะปิซะอีก เพราะว่าน้ำสต็อกของลักซานั้นเป็นปลา การใช้ปลาชูรสเลยเป็นเรื่องที่ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการใช้ตะไคร้เพื่อเพิ่มรสชาติให้ลึกล้ำขึ้นไปอีกด้วย ว่าแล้วก็ท้าวความประวัติของนาโอะ หญิงสาวผู้ซึ่งถนัดในของต้มเป็นที่สุดและยังมีความรู้เรื่องของวัตถุดิบแปลกๆอย่างเช่นพวกปลาแห้ง ตอนที่เธอทำครัวเพื่อนร่วมชั้นต่างก็วิ่งหนีเพราะกลิ่นจนเธอได้รับฉายาว่า"แม่มดของต้ม"
ว่าแล้วนาโอะยังพูดต่ออีกว่า สำหรับเธอการทำอาหารที่ส่งกลิ่นหอมชวนกินมันไม่ได้มีความงดงามที่แท้จริงอยู่หรอก ความงดงามที่แท้จริงก็คืออาหารที่มีพลังความอร่อยจนชนะความน่ารังเกียจได้ต่างหาก (ความหมายประมาณว่า สำหรับเธอ การทำอาหารให้ดูน่ากินไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่าดีที่สุด สำหรับเธอแล้วสิ่งที่ดีที่สุด คือการทำของกลิ่นเหม็นหรือเอาพวกวัตุดิบประหลาดมาทำให้อร่อยจนคนกินยอมทานเข้าไปได้แม้ว่ามันจะประหลาดหรือเหม็นแค่ไหนก็ตาม) ซึ่งบรรดากรรมการก็ตกเป็นทาสลักซาของนาโอะกันหมด จนในที่สุดผลคะแนนก็ออกมา นั้นก็คือ 84คะแนน เป็นคนแรกที่ได้คะแนนเกิน50คะแนน ซึ่งเธอก็บอกว่าอยากให้เอรินะได้กินอาหารที่เธอทำบ้างเหมือนกัน ก่อนที่คนต่อไปจะเข้ามาโดยไม่มีความเกรงกลัว คนคนนั้นคือเลขาของเอรินะ ที่ทำให้นาโอะรู้สึกตื่นเต้น เพราะเธอรอวันนี้มานาน วันที่เธอจะเอาชนะคู่แค้นของเธอ(เลขาเอรินะ)ต่อหน้าคนจำนวนมากได้มาถึงแล้ว
สำหรับตอน50 ก็โชว์เรื่องของมิยาโกะแล้วก็เมงุมิไป ส่วนตอนที่51ก็เป็นนาโอะปล่อยของ ถึงผมจะเชียร์นาโอะก็เถอะ แต่รู้สึกว่าไม่น่าจะเข้ารอบแหง่มๆ สำหรับตอนหน้าก็ได้เวลาโชว์ของเลขาเอรินะ (ผู้ซึ่งปรากฎตัวมาตั้งแต่ตอนที่2 ปัจจุบันครบรอบ1ปีที่เธอออกแล้ว พึ่งจะได้บท+มีโอกาศเปิดชื่อของเธอซะที)
<Spoil+Detail> (Shokugeki no Souma) ตอนที่ 50-51 (เหนือสามัญสำนึก,แม่มดแห่งโต๊ะอาหาร)
ขี้เกียจกับติดงาน) สองตอนควบนี้ผมตั้งใจจะลองปรับปรุงกระทู้สปอยดู จากของเดิมที่เล่าทั้งเรื่องแล้วแปะภาพ ก็คิดว่าจะเปลี่ยนเป็นเล่าแค่เนื้อเรื่องย่อๆ ลงภาพให้น้อยลง(มาก) แต่เน้นเพิ่มเกร็ดการทำอาหารเข้าไปแทน ด้วยเหตุนี้ทำให้บางทีกระทู้สปอยโซมะจากรายอาทิตย์อาจจะเป็นราย2-3อาทิตย์ไปแทน ถ้าเกิดอาทิตย์นั้นไม่ได้มีอีเวนท์หรือเนื้อเรื่องการทำอาหารอะไรเท่าไรใจจริงอยากจะดองรอตอนที่52ไปเลย แต่พออ่านสปอยของจีนแล้ว เกิดความรู้สึกว่าคงไม่ไหวแฮะ รีบทำให้หมดล็อตที่ดองไว้ก่อนดีกว่า
แล้วก็เช่นเคยครับ ถ้าขาดตกหรือผิดพลาดอะไรตรงไหนไปละก็ ทักท้วงได้เลยนะครับ
ตอนที่ 50 -เหนือสามัญสำนึก-
ตอนนี้ทั้งตอนก่อนจะโฟกัสที่ตัวของเมงุมิ เริ่มด้วยหน้าเปิด4สี่ ก่อนที่จะมีประกาศชี้แจงโปรเจคต่างๆของโซมะ ที่น่าสนใจเห็นจะเป็น อัลบั้มภาพคอสของนางแบบมิโอะ ยูคิที่จะมาคอสเป็นเมงุมิตามภาพเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องของโซมะ เปิดเรื่องมาจะย้อนไปตอนเหตุการณ์ที่มิยาโกะมาช่วยเมงุมิตอนประกาศผล เธอสนใจในตัวเมงุมิ เพราะได้ยินข่าวลือที่ว่าเธอได้ด้วลโชคุเงคิกับโคจิโร่ที่เป็นศิษย์เก่า แต่เมงุมิก็บอกว่าเธอแพ้แล้วเธอก็ยังได้โซมะคุงช่วยไว้ซะเยอะด้วย ทำให้มิยาโกะผิดหวังในตัวเมงุมิเพราะนึกว่าเธอจะเป็นพวกไม่พึ่งผู้ชายแบบเดียวกับมิยาโกะซะอีก ซึ่งมิยาโกะนั้นมาจากร้านอาหารจีนที่บรรดาลูกมือในร้านไม่พอใจที่เจ้าของร้านจะให้มิยาโกะสืบทอดต่อ เพราะบรรดาลูกมือมองว่ามิยาโกะเป็นผู้หญิงไม่น่าจะทำอาหาร(โดยเฉพาะอาหารจีน)*ได้ เลยทำให้มิยาโกะมีอคติกับผู้ชายตั้งแต่นั้น แล้วคิดจะเอาชนะผู้ชายให้ได้ ซึ่งเธอก็ทำสำเร็จ สามารถทำอาหารที่ลูกมือที่ไม่ชอบหน้าเธออึ้งไปได้และในการแข่งขันครั้งนี้มิยาโกะก็คิดจะทำ"ข้าวผัดแกง"*นั้นเอง
(อย่างที่รู้ๆกัน อาหารจีนคือศิลปะแห่งการใช้ไฟ แล้วก็เป็นต้นตำรับการผัดและการใช้น้ำมันเป็นอาหารแรกๆของโลก อาหารไทยที่เป็นพวกผัดทั้งหลายก็ได้อิทธิพลมาจากการทำอาหารจีน และเนื่องด้วยการผัดและการใช้ไฟเป็นงานที่เหนื่อยและต้องใช้กำลังมาก ครัวจีนจึงไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิงสักเท่าใดนัก (แต่ก็ใช้ว่าไม่มี ตรงกันข้ามในยุคนี้ครัวจีนมีผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ))
(บอกตามตรงว่าดูไม่รู้เลยว่ามิยาโกะจะทำอะไร แต่ข้าวผัดแกงนั้นโดยส่วนใหญ่จะหมายถึงข้าวผัดที่ใส่ผงแกงเช่นแกงกระหรี่เข้าไปผัดด้วยให้เกิดกลิ่นหอม ซึ่งคาดว่ามิยาโกะก็จะทำแบบนี้นั้นแหละ แต่คงมีทีเด็ดอยู่ที่เครื่องแกงของเธอ)
ขณะเดียวกัน บรรดาคนดูที่เป็นนักเรียนที่ไม่ได้เข้าร่วมก็บ่นกันระงมว่าทำไมเมงุมิที่อยู่ที่โหล่ของชั้นปีถึงได้เข้าร่วม แถมดูแล้วมีแต่ทำอาหารง่ายๆไม่มีอะไรหวือๆหวาๆเลย ซึ่งเมงุมิก็ดันไปชนเข้ากับมิยาโกะซะอีก ทำให้โดนเธอบ่นว่าเป็นคนจำพวกชอบสร้างปัญหาให้กับห้องครัว หรือก็คือพวกที่เงอะๆงะๆเกะกะขัดขวางการทำงานของชาวบ้าน ซึ่งเมงุมิเองก็ได้แต่รวบรวมสมาธิพยามก่อนที่เธอจะเริ่ม หั่นปลากูสหรือ"อันโค"ด้วยวิธีจับแขวนแล้วค่อยหั่น
ซึ่งวิธีจับแขวนแล้วค่อยหั่นนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่มีทักษะการแล่ปลา เดิมทีนั้นมันเป็นวิธีที่เอาไว้ใช้แล่ปลาตัวใหญ่ๆหรือปลาที่มีเหมือกติดอยู่ตามตัวทำให้แล่บนเขียงยาก (ถ้าตามหลักการแล่ปลาของคนญี่ปุ่นเลย ต้องคอยเช็ดมีดเช็ดปลาให้แห้งที่สุดก่อนลงมือแล่ครับ เพราะงั้นปลาที่ตามตัวเป็นเหมือกอย่างปลากูสเนี่ยถือว่าแล่ได้ลำบากมาก) ส่วนปลากูสเองก็เป็นปลาแบบเดียวกับพวกMonkfish(ปีศาจทะเล) คือเป็นปลาที่โตในน้ำลึก หน้าตาประหลาดน่ากลัวแล้วก็มีอวัยวะสำหรับตกเหยื่อ จนบ้างที่ก็ได้ชื่อเรียกว่าปลาตกเบ็ด(Anglefish) เป็นปลายอดนิยมของทางประเทศจีนเขาเลยละ ส่วนใหญ่แล้วปลากูสกับอาหารญี่ปุ่นมักจะถูกใช้มาทำเมนูที่ชื่อ "อันคิโมะ" (鮟肝) เป็นตับปลากูสราดสาเกครับ
ซึ่งเมงุมิก็เริ่มโดยการตัดครีบแล้วผ่าเปิดบริเวณหัวปลาก่อนจะเอามือถลกหนังดึงลงมาซึ่งเป็นวิธีการกำจัดหนัง ก่อนจะผ่าเปิดบริเวณท้องเอาเครื่องในออกมา ตามด้วยการจรดมีเขากับบริเวณกระดูกแล้วกรีดมีดลงเพื่อให้ได้เนื้อปลาเป็นชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว ซึ่งก็สำเร็จอย่างงดงาม ทำให้เอาคนที่เคยปรามาศเมงุมิถึงกับอึ้ง โอริเอะก็สนใจจนอยากเข้ามาดูใกล้ๆเลยทีเดียว ซึ่งก็มีคนที่แอบยิ้มและพอใจกับความสำเร็จของเมงุมิเหมือนรู้มานานแล้วนั้นก็คือคุณฟูมิโอะกับรุ่นพี่อิชิกิสองคน
ตอนที่51 -แม่มดแห่งโต๊ะอาหาร-
เปิดตอนมาด้วยพิธีกรประจำโทสึกิ คาวาชิมะ อุราร่าเริ่มเปิดการชิมตัดสิน โดยมีกรรมการทั้งหมด5คนโดยแต่ละคนมีอยู่คนละ20คะแนน แสดงว่าคะแนนเต็มทั้งหมดมีอยู่ทั้งหมด100 ซึ่งนักเรียนคนแรกก็เริ่มเสิร์ฟ โดยอาหารของเขาก็คือ Achari Murgh (แกงไก่กับแตงกวาดอง(พริคเคิล))แต่เป็นแบบดัดแปลงโดยการใส่ Chaat Masala ลงไปซึ่งเป็นผงเครื่องเทศรวมและมีรสเปรี้ยวที่ได้จากผงมะม่วงตากแห้งกับกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และยังดัดแปลงโดยใช้ไก่ Tikka แทนไก่ Tandoori โดยจริงๆแล้ว ไก่ทั้งสองชนิดนี้ไม่ค่อยมีความต่างกันมาก ไก่ Tandoori เป็นชื่อเรียกไก่ย่าง+อบที่อบในโอ่ง Tandoor ของอินเดีย (แต่สมัยนี้เป็นเครื่องหมดแล้ว) หลังจากทำการหมักเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำไปย่างในเตา Tandoor โดยปกติจะนิยมนำไปย่างทั้งชิ้น หรือก็คือติดกระดูกไปด้วยนั้นเอง ส่วน ไก่ Tikka นั้นจะใช้ของหมักคล้ายๆกับ Tandoori แต่ไม่ได้นำไปย่างในเตา Tandoor และเนื้อไก่มักจะตัดเป็นชิ้นเล็กๆให้กินง่าย ส่วนใหญ่พอนำไปย่างแล้วสีจะเข้มกว่า Tandoori ซึ่งกรรมการก็ชมที่ทำแบบนี้เพราะเป็นการทำให้กินง่ายใส่ใจคนกินสมกับเป็นนักเรียนโทสึกิ
ว่าแล้วกรรมการก็ให้คะแนนอาหารของนักเรียนคนแรก นั้นก็คือ 33 คะแนน ซึ่งเขาตกใจที่ทำอาหารออกมาได้น้อยขนาดนี้ทั้งๆที่ได้รับคำชม ซึ่งเหล่ากรรมการก็บอกว่า พวกเขาเป็นนักชิมที่ทานอาหารจากเหล่าเชฟระดับสุดยอดทุกวัน ที่เขาชมเพราะว่าทำได้ดีแล้วในฐานะที่เป็นนักเรียน แต่การให้คะแนนพวกเขาจะเข้มงวดมาก ซึ่งพวกเขาบอกว่าถ้าได้เกิน50ก็ถือว่าดีแล้ว ทำให้ทาคุมิเริ่มประเมินกรรมการใหม่ หนึ่งในสองกรรมการโหดก็มี คิตะ โอซาจิ นักธุรกิจผู้เติมเต็มโต๊ะอาหารของตัวเองด้วยของดีจากทั่วโลก และอันโด ชินโงนักวิจารณ์อาหารสุดเคี่ยว รวมกับโอริเอะและกรรมการโหดอีกสองคนก็ทำให้ห้าคนนี้เป็นสุดยอดกรรมการสุดเคี้ยวที่จะขยี้นักเรียนที่ไม่เก่งจริงออกไป ซึ่งบรรดาอาหารของนักเรียนโทสึกิก็ต่างได้ต่ำกว่า50ทั้งนั้นจนมาถึง... จานของ ซาดาสึกะ นาโอะ
นาโอะเปิดตัวอาหารของเธอด้วยกลิ่นเหม็นอภิมหารุนแรงทำเอาเอือมกันไปทั้งฮอลท์ แม้แต่อลิสเองที่พอจะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรแบบนี้เลยเตรียมหน้ากากกันแก๊สมาสำรองเพื่อเอาไว้ ซึ่งอาหารของนาโอะก็คือ "ชิซึโคคุโนะลักซาคาเร่" (漆黒のラクサカレー) โดยชิซึโคคุหมายถึงคำเรียกสี"Jet Black"ในภาษาญี่ปุ่น แปลเป็นไทยก็ประมาณสีดำน้ำมัน (ในแซมเปิลสปอยผมเขียนว่านรก ขอโทษด้วยเน่อ อ่านผิดเต็มเปา) ส่วนลักซาก็เป็นอาหารจานเส้นขึ้นชื่อของชาวเพอรานากัน(หมายถึงลูกครึ่งคนจีนกับคนมลายู ชาวเพอรานากันมีอยู่มากในประเทศมาเลเซีย สิงค์โปร์แล้วก็อินโดนีเซีย) อาหารของชาวเพอรานากันจะเป็นลูกผสมของอาหารสไตล์อาหารใต้ของบ้านเรากับอาหารจีน ซึ่งแกงลักซาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ลักซาเป็นอาหารที่มีจุดเด่นในการใช้กะทิกับน้ำสต็อกที่มาจากทะเลในการทำ ทานพร้อมกับเส้นเป็นเหมือนบะหมี่แกง ซึ่งลักซาของนาโอะนั้นได้นำเอาหมึกของปลาหมึกมาใส่ผสมกับกะทิทำให้มีสีดำน้ำมัน ส่วนกลิ่นเหม็นอันแสนร้ายกาจนั้นก็ใช้"คุซายะ" (くさや)ปลาหมักของดีจังหวัดอิสึ ซึ่งคุซายะที่ว่านี้จะมีความคล้ายคลึงกับเซอร์สตอร์มมิง(ปลาเฮอร์ริ่งเน่าหมักหลายเดือน ของสวีเดน) แต่กลิ่นจะไม่รุนแรงกว่า โดยคุซายะจะใช้น้ำเค็ม(น้ำทะเล)ในการหมักเพื่อให้เกิดกลิ่น(เรียกว่าน้ำคุซายะ)ก่อนจะนำไปตากแดดให้แห้งอีกที ที่ญี่ปุ่นนิยมกินเป็นของแกล้มเหล้า โดยนาโอะนำเอาคุซายะมาต้มอีกที(ซึ่งกระบวนการนี้จะคล้ายๆกับต้มปลาร้าของไทยนั้นแหละ คือ อภิมหาเหม็น)
ซึ่งคุซายะนั้นเป็นคุซายะที่ทำขึ้นมาพิเศษจากปลาจำพวกปลาบิน(พวกปลาที่ครีบยาวเหมือนมีปีกตัวเล็กๆ)กับปลามาฮิมาฮิ(ปลาอีโต้มอญ) (ตรงนี้มีกิมมิคอยู่นิดนึง คืออาจารย์ยูโตะคนแต่งเรื่อง ตอนมาทำอาหารโชว์ในรายการ Jump Bang ก็ใช้ปลามาฮิมาฮิในการทำ ปลาอบซอสมายองเนส) ซึ่งดูเหมือนพอได้กลิ่นพวกรรมการก็ดูไม่อยากจะกิน แต่โอริเอะจำเป็นต้องทำในฐานะสปอนเซอร์ แต่เมื่อลองกินเข้าไป เธอก็พบว่ามันอร่อยทั้งๆที่มันเหม็นมาก อย่างแรกก็คือการใช้คุซายะมาทำ คล้ายคลึงกับการเพิ่มรสชาติให้อาหารโดยใช้กะปิ(อันนี้ในเรื่องมีการระบุว่า กะปิใช้งานเหมือนเครื่องเทศชนิดหนึ่ง แต่เราคนไทยคงรู้กันดีแหละว่า มันไม่น่าเรียกเครื่องเทศแต่น่าเรียกของชูรสมากกว่า ส่วนกะปิผมไม่ขออธิบายก็แล้วกันนะครับ คงรู้จักกันอยู่แล้ว) แต่การใช้คุซายะดูจะดีกว่าการใช้กะปิซะอีก เพราะว่าน้ำสต็อกของลักซานั้นเป็นปลา การใช้ปลาชูรสเลยเป็นเรื่องที่ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการใช้ตะไคร้เพื่อเพิ่มรสชาติให้ลึกล้ำขึ้นไปอีกด้วย ว่าแล้วก็ท้าวความประวัติของนาโอะ หญิงสาวผู้ซึ่งถนัดในของต้มเป็นที่สุดและยังมีความรู้เรื่องของวัตถุดิบแปลกๆอย่างเช่นพวกปลาแห้ง ตอนที่เธอทำครัวเพื่อนร่วมชั้นต่างก็วิ่งหนีเพราะกลิ่นจนเธอได้รับฉายาว่า"แม่มดของต้ม"
ว่าแล้วนาโอะยังพูดต่ออีกว่า สำหรับเธอการทำอาหารที่ส่งกลิ่นหอมชวนกินมันไม่ได้มีความงดงามที่แท้จริงอยู่หรอก ความงดงามที่แท้จริงก็คืออาหารที่มีพลังความอร่อยจนชนะความน่ารังเกียจได้ต่างหาก (ความหมายประมาณว่า สำหรับเธอ การทำอาหารให้ดูน่ากินไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่าดีที่สุด สำหรับเธอแล้วสิ่งที่ดีที่สุด คือการทำของกลิ่นเหม็นหรือเอาพวกวัตุดิบประหลาดมาทำให้อร่อยจนคนกินยอมทานเข้าไปได้แม้ว่ามันจะประหลาดหรือเหม็นแค่ไหนก็ตาม) ซึ่งบรรดากรรมการก็ตกเป็นทาสลักซาของนาโอะกันหมด จนในที่สุดผลคะแนนก็ออกมา นั้นก็คือ 84คะแนน เป็นคนแรกที่ได้คะแนนเกิน50คะแนน ซึ่งเธอก็บอกว่าอยากให้เอรินะได้กินอาหารที่เธอทำบ้างเหมือนกัน ก่อนที่คนต่อไปจะเข้ามาโดยไม่มีความเกรงกลัว คนคนนั้นคือเลขาของเอรินะ ที่ทำให้นาโอะรู้สึกตื่นเต้น เพราะเธอรอวันนี้มานาน วันที่เธอจะเอาชนะคู่แค้นของเธอ(เลขาเอรินะ)ต่อหน้าคนจำนวนมากได้มาถึงแล้ว
สำหรับตอน50 ก็โชว์เรื่องของมิยาโกะแล้วก็เมงุมิไป ส่วนตอนที่51ก็เป็นนาโอะปล่อยของ ถึงผมจะเชียร์นาโอะก็เถอะ แต่รู้สึกว่าไม่น่าจะเข้ารอบแหง่มๆ สำหรับตอนหน้าก็ได้เวลาโชว์ของเลขาเอรินะ (ผู้ซึ่งปรากฎตัวมาตั้งแต่ตอนที่2 ปัจจุบันครบรอบ1ปีที่เธอออกแล้ว พึ่งจะได้บท+มีโอกาศเปิดชื่อของเธอซะที)