Social Phobia กับการเริ่มต้นชีวิต ไม่รู้จะไปรอดไหม เรื่องการเรียน

ถ้าจะใช้คำย่อ  social anxiety disorder   S A D พูดแบบนี้ เรียกชื่อเล่นโรคจากกลัวสังคมว่า   S A D  คงไม่เจอคนหัวเราะหรือมองว่ามันคือสิ่งแปลกประหลาดใช่ไหมครับ  กับการใช้ชื่อ Social Phobia
คือเป็นโรคนี้ เริ่มตั้งแต่เด็ก จากการที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง และไม่กล้าแสดงออก  อาการเริ่มจาก เบา ผิดปกติ และ หนัก จนหนักสุดๆ คือเก็บตัว เข้าไปนั่งหลบในห้องน้ำ  หรือในที่แคบ
ผมไม่เคบรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองเป็นโรคนี้ แต่ก่อนก็มีคนพูด บอกว่าตัวเองอาจเป็นอาการออทิสติก  เนื่องจากไม่กล้าสบสายตา
ถามว่า ถ้าให้สบตาคนทำได้ไหม ตอบว่าได้ครับ เหตุผลอะไรที่ทำให้ผมไม่กล้าสบตา  ก็คือ อาการโดยรวม ของโรคนี้ถ้ามีใครที่เขาเป็นคล้ายผมนะครับ
ระแวง วิตกกังวล โดยเฉพาะตัวเองนี้มีปัญหา ขาดความมั่นใจและวิตกกังวล เนื่องจาก ผลกระทบของโรคนี้มันทำให้ผมต้องแสดงออก อาการแบบเสียบุคลิก เช่นบางทีเดินก็ก้ม แล้วเหมือนเราตัวสูง หรือมีอาการเหวอๆ เอ๋อๆ ทำหน้าตารนราน ดูแบบคนไม่ปกติ ก็มักคิดเสมอครับตรงนี้ ว่าหน้าตาเราดูเอ๋อ แบบคิดว่าคนเขาคงดูออกมั้งว่าเราไม่เต็มบาท เพราะเคยเจอคนมองหัวเราะบ่อยๆ ช่วงหลังผมพยายามที่จะเย็นชาเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ที่จะพยายามไม่สบตาคน พยายามมองคนผ่านๆ เผินๆ แล้วไม่หันไปมอง ว่าใครจะคิดอะไร จากแต่ก่อนที่เรามีบุคลิกเอ๋อๆรนราน เราจะคิดมาก วิตกกังวลมาก  ยิ่งถ้าบางทีคิดว่าเจอคนหัวเราะ หรือมอง ก็คิดว่าเขาอาจพูดถึงเราแบบแย่ๆแบบในความคิดของเราคิดว่าเขา มอง เราเหมือนตัวตลก  เอาไปพูดแบบประเด็นขำขัน อันนี้ในความคิดของตัวผมเองครับ ที่มันฝังใจมานาน ทั้งที่ ใครต่อใครพ่อ แม่ ก็บอกว่าเราจะไปแคร์เขาทำไม ในเมื่อมีมือ แขน ขา เท่ากัน ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ขอใครกิน แต่ผมก็ไม่เคย เอาชนะใจได้เลย ช่วงที่อาการแย่สุดๆ คือมันจะ เหงื่อแตก หน้าซีด มึน งง วิตก ถ้าไปไหนไกล สิ่งแรกคือต้องรีบเรียกแท็กซี่ กลับแท็กซี่ จะไม่กล้าขึ้นรถเมล์ ผลกระทบนี้เป็นมานานมากยิ่งสมัยเรียน มัธยม อาการผมหนักถึงขั้นขึ้นรถเมล์ นี่ บางทีนั่งตัวเกร็ง หรือไม่ก็ไม่กล้าลงรถต้องมีคนมากรดกริ่งถึงกล้าลุก  และอีกอย่างสิ่งที่ฝังติดผม มาและเชื่อว่าอีกหลายคนที่เป็น อาการ กลัวสังคม คือการไม่กล้าแสดงออก  แล้วแต่มากหรือน้อย กันไป ทั้งที่บางทีคนอื่นๆเหล่านั้นอาจมีศักยภาพและมีความสามารถ  แต่ไม่ได้แสดงออกมา เพราะอาการเหล่านี้ และคนอื่นรอบข้างก็ไม่เข้าใจ เอะว่าไอ้นี่มันเป็นอะไร ท่าทางแปลกๆ เพี้ยน สงสัยไม่เต็ม อย่าไปยุ่งกับมัน อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดเอง และที่เคยได้ยิน สมัยเรียน
ส่วนตัวผม ผมกัก ขังตัวเอง  จนมันเหมือนจะสายไป ถึงไม่มีคำว่าสาย ถ้าในแง่ของคำปลอบใจ ที่ต้องมีคนบอก ว่ามันไม่มีอะไรที่สายและที่เราจะเริ่มต้นได้ใหม่เริ่มมีอาการตั้งแต่ ประถม คือเริ่มระแวง และ ไม่มีสมาธิ  หรือเอ๋อ เรียนไม่รู้เรื่อง ไม่กล้าจดอะไรที่ครูเขียนบนกระดาน เพราะกลัวสายตาที่มองเพื่อน อันนี้ก็เป้นอาการที่เป็นมายาวนานมากครับ จนตอนนี้ก็ยังมีผลกระทบอยู่บ้าง   หลังจากผมจบ มัธยม 3 ก็เข้าเรียนปวช ถึงสองที่ แต่ไม่จบ ช่วงนั้นอาการผมหนักมาก ถึงไปไหนนั่งแต่แท็กซี่ อีกอย่างบุคลิกผม ผิดปกติ คือเดินเหมือนคนเอ๋อๆ อันนี้ตามที่เพื่อนสมัยเรียน มัธยมเขาพูดแรกๆเลยว่าทำไมเดินแปลกๆเดินเหมือนคนไม่เต็ม
ผมเลยฝังใจกับคำนี้ และ ผมพยายามแยกตัวเอง ทำตัวแปลก ผมไม่มีกลุ่มสมัยเรียน ไม่เคยมีใครเอาเข้ากลุ่ม และก็ไม่เคยคิดแสวงหา ผลการเรียนก็ตกต่ำมาตลอด  ผมคิดตอนนั้นว่าผมไม่ปกติ ผมต่างจากคนอื่น สมัยเรียนเลยไปอยู่กลุ่มกับเพื่อนอีกสองคนที่เขา มีอาการออทิสติก และผมก็คิดว่าตัวเองคงเป้นออทิสติก เพียงแต่สองคนนั้น เขาเรียนเก่งมาก แต่ผมไม่เอาไหนเลยสักอย่าง การหลบหนีปัญหา คือสิ่งที่โหดร้าย และ ทำลายความเจริญก้าวหน้า ของโรคนี้กับตัวของผม หนีการร่วมกิจกรรม การรายงานกลุ่ม ผมยังเคยคิดเลยทำคนเดียวได้ไหม อันนี้ ที่จะมาพูดคือผลกระทบ ณ ปัจจุบัน ครับ  ปัจจุบัน ผมตอนนี้ อายุ 26 เพิ่งจะเข้าศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเปิด แห่งนึง  คณะที่เกี่ยวกับการฝีมือ  เป็นเอก
ปัจจุบันอาการผมถ้าให้ประเมิณ จากเมื่อก่อน ตอนนี้ ผมสามารถขึ้นรถเมล์ไปเรียน ออกจากบ้าน โดยไม่ระแวง ได้ในระดับนึง
ถึงจะไม่หายขาด

ส่วนการรักษา นี้ โดยรวมเมื่อก่อนผมยังไม่รู้จักโรคนี้ คิดว่าตัวเองเป็นแค่ซึมเศร้า รักษามาหลายที่ จนตอนนี้รักษา โดยตรงกับสถาบัน โรงพยาบาลด้านนี้ แถวคลองสาน มา ระยะเวลาเกือบ6 ปี แต่อาการผมก็ คิดว่าไปหาหมอ นัด3เดือนต่อครั้ง และคิดหมดหวังมาตลอด ในใจตลอดมาตั้งแต่เป็นโรคนี้ตั้งแต่ประถม มัธยม และตอนนี้มันก็ยังอยู่กับผมตอนนี้  ผมมักมีความคิดตลอดในแง่ลบ คิด อยากจะตาย แต่ไม่กล้าที่จะลงมือทำ หนักที่สุดคงกินยาพารา กรีดข้อมือ กระโดดน้ำ พยายามผูกคอตาย  แต่ตอนนี้ที่ไม่กล้าทำเพราะกลัวไม่ตายแต่พิการ ไม่อยากเป็นภาระพ่อแม่
คิดแต่เรื่องในแง่ลบ เสมอไม่เคยให้กำลังใจตัวเอง วันๆก็อยู่แต่บ้าน เล่นเน็ต ทำอะไรที่มันดูไม่มีสาระ ไม่เคยคิดอยากอ่านหนังสือ หาประโยชน์ หรือทำอะไรได้ไม่นาน จริงจังก็เบื่อง่าย เป็นแบบนี้ครับ จะเรียกขี้เกียจ เป็นนิสัยก็ได้

ผมมาเริ่มคิดได้ก็ตอนอายุเยอะ เริ่มในวัย26 เพราะเริ่มที่จะสงสารแม่ กับการที่ต้องทำงานหนัก ผมรับรู้มาตลอดแต่ไม่ได้ทำอะไร เหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก็โดนคนดูถูก ด่าทอมาตลอด ในสายตาคนอื่นพ่อ แม่ ผมเป็นคนอัธยาศัยดี ครอบครัวเราก็ปานกลางครับ พ่อแม่ทำงานรับราชการ แต่เป็นแค่ลูกจ้าง ความที่พ่อแม่เป้นคนนิสัยดี ไม่เคยเอาเปรียบคนอื่น เป็นเรื่องแปลกที่พ่อแม่ผม มีเพื่อน มีคนรู้จักเยอะ คือเขามีเพื่อนที่รักเขา หลายคน ผิดกับผม นี่ไม่มี สมัยไหน เรียนผมแทบไม่มีเพื่อนเลย หรือเคยมีก็ไม่นาน ผมคิดว่าดวงอาภัพเพื่อน เกิดวันอาทิตย์ ทำคุณกับใครไม่ขึ้น มีคนที่เข้ามาแล้วไม่นานก็จากผมไปหมด ทั้งในสมัยเรียน ตอนที่ผมเก้บอาการได้ก็มีคนมาพูดคุย แต่ด้วยการแสดงอาการ ของเราทำให้ ถูกแอนตี้ ทั้งที่เรานึกในใจ ว่าเราไม่ได้ตั้งใจ แต่ในสายตาเขาบางทีเราเหมือนเป็นส่วนเกิน เป็นตัวถ่วง ทั้งกิจกรรมต่างๆ ผมเลยเลือกที่จะหนีไม่เข้ากลุ่ม เพราะงานกลุ่มคืองานที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ ผมก็เคยเจอคำด่าว่า เฮ้ย อย่า  เอาไอ้ปัญญาอ่อนนี้เข้ากลุ่ม นะ ผมรู้สึกเหมือนคือตัวเชื้อโรคเลย อันนี้สมัยเรียน ม.ต้นเมื่อ10 กว่าปีก่อน โน้น

ชีวิตวัยเรียนของผม ไม่เคยมีความคิด ในเรื่องดีๆที่ชีวิตต้องรุ่งเรือง หรือ ความฝันแบบคนอื่น เหมือนว่าถ้าเราจบ มัธยมต้น คนอื่นจะคิดกันละเราจะเลือกเรียนสายไหนที่ชอบ หรือจะสายอาชีพ แต่เพราะ ความคิดและสิ่งที่ผมเป็นมันหลอมในตัว ในหัวผม แบบไม่เอาอะไรซักอย่าง จบ ม.3 ก็ เรียนสายพาณิชย์ บัญชี ไม่ใช่สิ่งที่ชอบ แต่เพราะไม่คิดจะเลือกอะไร นั้นคือสิ่งที่ดีที่แม่อยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆเหมือนคนแถวบ้านที่ต่างก็จบ มาและได้ดีจากที่นี่ แต่ผม หนีเรียน  สร้างเรื่องขายหน้าอับอาย ได้ตลอด  

ยาที่ผมกิน มานาน ก็คงเป็นตัวเดิม fulox  
ผมอาจจะเขียนสลับซับซ้อน งง ไปมาก ขอโทษด้วยนะครับ ผมอยากระบาย

ช่วงที่ผมใช้ชีวิตแบบกิน นอน ผ่านๆกินเวลามายาวนาน เรียนก็ไม่เอาอะไร จน มาได้วุฒิ กศน ม.6
อันนี้ก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน ถ้าหากไม่ได้ ผู้หญิงคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม อย่างแม่ที่ยอมเสียสละเรียนด้วยเป็นเพื่อน
ไม่ว่าชีวิตผมไปเรียนแบบไหน ผมก็สร้างเรื่องอับอายได้ตลอดทั้งที่ผมไม่ได้ตั้งใจ เหมือนทำไม่สบาย เวลาไม่อยากร่วมกิจกรรม
ในสายตาคนอื่นก็คง น่ารังเกียจ น่าเยาะเย้ย  แต่ในความรู้สึกในใจจริงๆคือไม่ได้ตั้งใจที่จะแสดงออกหรือทำตัวแบบนั้น ไม่ได้อยากแกล้ง เพื่อการหลีกหนีต่างๆ ไม่ได้อยากที่จะเป็นตัวตลกให้ใครสนุกสนาน
ด้วยความที่ขี้เกียจไม่ขยันอ่านหนังสือ ตอนแรก หลังจบ จาก กศน เหมือนชื้นใจที่ เรียนมหาลัย เปิด อีกที่นึงก่อนหน้านั้น มีพ่อซึ่งเคยเรียนมานาน แต่ก็ไม่จบ ซึ่งที่นี่ การเรียนดูสะดวกสบายแต่ต้องพึ่งตัวเอง หนังสือเล่มหนาใหญ่ๆ หลังจากที่สถาภาพนักศึกษาของพ่อหมด ด้วยวิชาที่พ่อเหลือแค่ไม่กี่ตัวจะจบ พ่อผมเรียน มายาวนาน แต่พ่อก็ถอดใจ และก่อนหน้าที่ไปสอบ ใกล้บ้าน ไปด้วยกันกับพ่อ เราก็ไปสอบคนเดียวโดยมีพ่อเทียวคอยรับส่ง แต่าอการตอนนั้นก็ยังหนักอยู่ คือ เรื่องสายตา บางทีไม่กล้าจ้องไปข้างหน้า เหมือนเราวิตกกังวลตลอด จะคิดมากว่า เรามองตรงๆ แต่เหมือนสายตาเรามันไปสนใจ ไปกวนคนอื่น บางทีก็ทำให้คนอื่นข้างหน้าเขารู้สึกว่าเราจ้องมองเขา ทั้งที่จริงสายตาเรานั้นมันวิตกกังวล อยู่พยายามมองตรงที่สุด อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน  สุดท้ายก็ดร๊อป จนไม่ต่อแล้ว ผ่านไปได้แค่ไม่กี่วิชา เนื่องจากไม่ขยัน  
สอง ปีหลัง ก็เหมือน ได้ทำหน้าที่ตอบแทนพระคุณ คุณย่า  ได้มีโอกาสดูแลท่าน และเหมือนเป็นข้ออ้างที่เราไม่ต้องไปเรียน ไปทำงาน
ก็โดนด่าบ่อยๆ คนแถวบ้าน คนอื่นพูดว่า มันโง่ มันไม่ทำงาน ไม่เรียน เกาะพ่อแม่ กิน  ถามว่าเราคิดไหม คิดแต่ในใจคือเราคิดสักวันเราต้องตายให้ได้ ในหัวมีแค่เรื่องอยากตายแค่นั้นจริงๆ   ตั้งแต่ได้ดูแลย่า ก็เหมือนมีกำแพงคุ้มกัน เหมือนเราจะมีความดี ให้คนอื่นพูดทั้งที่บางทีเราดูแลท่านไม่ได้ดีตลอด และท่านเพิ่งมาเสียเมื่อตอนที่ผมตัดสินใจออกจากบ้าน ไปเริ่มต้น ที่จะเรียน ที่มหาลัย  นั่นคือครั้งสุดท้าย  และคือจุดเริ่มต้น  
ปัญหาตอนนี้ ก็คือการเริ่มต้น ผมก็สามารถที่พยายามไม่แคร์ ปล่อยวางไม่วิตก ว่าเราจะดูเอ๋อ ดูแย่ในสายตาคนอื่นอย่างไร ถ้าสิ่งไหนเราทำได้เราก็พยายามที่จะกล้า  อย่างขึ้นรถเมล์ ถ้ามีคนสูงอายุ เรานั่งเราก็พยายามจะลุกโดย สร้างความกล้า และมั่นใจว่าอย่างน้อยเราก็ได้ทำสิ่งที่ดี
จากที่เรากลัวสายตา กลัวการแสดงออก ทั้งที่จริง ผู้คนหลากหลายในสังคม ย่อมมีความแตกต่าง ถ้าในชีวิต ต่อให้ใครเป้นยังไง ถ้าสู้ชีวิตนี่คือสิ่งที่มีแต่คนชื่นชม ก็คงดีกว่าการไม่เอาอะไรเลย
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เริ่มคิด เริ่มต้นที่จะเรียน พ่อ แม่ ก็บอกเสมอ ว่า ท่านคงอยู่ดูแลเราไม่ได้ตลอดจะทำอะไรก็ให้รีบๆทำนะ เราตัวคนเดียว
เราเป้นลูกคนเดียว พ่อแม่ห่วงและรัก เราเองไมมีใครเพื่อนฝูง พี่น้อง  ผมมักจะอธิฐานเสมอเหมือนเรื่องเพ้อเจ้อ จากที่ได้ดูหนังรันนิ่งบอย ปาฏิหารย์รักจากแม่ คำที่แม่ของเด็กในเรื่องที่เป้นออทิสติกพูดว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าขอพรได้ เขาขอให้ตัวเองตายหลังจากลูกเขาตายก่อนเพียงวันเดียว  ผมเวลาทำบุญอะไรช่วงที่ใจย่ำแย่ ก็เริ่มที่จะใส่บาตร และมักอธิฐานเสมอว่า ถ้าผมเอาอะไรดีในชีวิตนี้เป้นภาระให้พ่อแม่ทุกข์ใจ ขอให้ผมตายก่อนพ่อก่อนแม่ผม ซึ่งมันคือสิ่งที่เห็นแก่ตัวมากๆ  เหมือนหนีปัญหาว่า ภายหน้าถ้าเราไม่มีพ่อแม่แล้วเราก็จะต้องตายก่อน ประมาณนั้น

หลังจาก ที่เริ่มคิด ทั้งที่ใจก็ยังกลัว ความไม่เคยชิน การใช้ชีวิต ต่างๆ  ด้วยอายุที่เริ่มเยอะ และสุขภาพของพ่อแม่ที่เริ่มแย่
ผมจึงสมัครเรียน ทางอินเตอร์เน็ต ทางเวปไซด์ เลือกคณะนึงซึ่งไม่ใช่โดยตรงกับคณะที่เรียนในตอนนี้ เพราะตอนนั้น คิดว่าคณะนี้ คือไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนก็ได้ กับอาการที่เรากลัว วิตก คือเราไม่ต้องมีเพื่อนก็ได้ แต่คณะนี้ซึ่งที่แน่ต้องพึ่งพาตัวเองต้องขยัน อ่านหนังสือไม่มีคะแนนเก็บ นั่นคืออุปสรรค์ของการที่ถ้าเราไม่ขยันก็คงไม่มีทาง และอีกอย่างคือคงหาทางที่จะต่อยอดได้ยาก เพราะสิ่งที่พ่อแม่หวังก็คืออย่างน้อยให้ได้มีอาชีพพึ่งตัวเองได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เรายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้ไหม  ตอนนี้ก็เลยลงเรียน ภาควิชานี้  ในอีกคณะนึง ซึ่งโดยส่วนตัว แล้ว คิดว่าชอบพวกจัดดอกไม้ ตกแต่ง แต่ตอนนี้ก้ยังไม่ได้เรียน ไม่ได้ลงกำลังคิดอยู่
ตอนนี้ ลงวิชาบังคับของคณะนี้ และต้องรอ ลงทะเบียนใหม่ได้ก่อน จึงสามารถลงหน่วยกิตวิชาเพิ่ง ส่วนคณะเห้นว่าสามารถเปลี่ยนภายหลังได้
ตอนนี้ก็มีปัญหา เรื่อง ในบางวิชา ซึ่งจำเป็นต้องอาจจะมีการอภิปราย หรือการพูดหน้าชั้น หรือ งานกลุ่ม  แต่ตอนนี้การใช้ชีวิต นอกบ้านก็เหมือนเริ่มได้เรียนรู้ที่จะสู้ หัดชินกับการขึ้นรถเมล์ประหยัดเงิน ไม่นั่งแท็กซี่  พยายามไม่แคร์ใคร พยายามไม่วิตก ไม่มองเหลียวหลังถ้าเราไม่สบายใจเพราะมันจะทำให้เราไม่คิดมากแบบที่เคยเป็น และปัญหาตอนนี้ก็ยังมีเรื่องการสบตาเรื่องความไม่กล้าด้วย ตอนนี้อยากกล้าเรียนในสิ่งที่คิดว่าชอบไม่อยากจะทำให้พ่อแม่ผิดหวังหรือเสียใจ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่