หากดูกันเฉพาะพล็อตเรื่อง Like Father Like Son อาจจะทำให้เรานึกไปถึงละครหลังข่าวได้ไม่ยากกับเรื่องราวของครอบครัวคนรวย/คนจนที่ทำลูกสลับตัวกันโดยบังเอิญ ซึ่งกว่าจะมารู้ความจริงเวลาก็ผ่านไปถึง 6 ปี โดยที่ต่างฝ่ายต่างเลี้ยงดูลูกให้เติบโตขึ้นมาในแบบฉบับของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
แต่พอปะหัวว่านี่เป็นผลงานของ ฮิโรคาซุ โคริเอดะ ผู้กำกับที่เคยทำหนังดราม่าชั้นดีอย่าง After Life (1998) Nobody Knows (2004) Still Walking (2008) Air Doll (2009) หรือล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้วกับ I Wish (2011) ก็พอจะทำให้คาดหวังได้ว่า นี่จะต้องเป็นหนังดราม่าขรึมๆ ที่พ่วงมาด้วยอารมณ์เศร้าปนอบอุ่น อีกเรื่องหนึ่งแน่ๆ
ซึ่งก็ไม่ผิดคาด แม้ว่าเรื่องราวจะเปิดช่องให้บีบน้ำตาคนดูเป็นปี๊บๆ ได้ขนาดไหน โคริเอดะ ก็ยังเป็น โคริเอดะ เขายังถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดออกมาในโทนเรียบง่ายตามแบบฉบับที่เราคุ้นเคยกันมาจากผลงานก่อนๆ ของเขาอยู่ดี โดยรวมแล้วนี่จึงเป็นหนังที่ไม่นิยมเร้าอารมณ์แบบโฉ่งฉ่าง ฟูมฟาย แต่จะใช้วิธีการแอบสะกิด "ติ่งเศร้า” ของคนดูแบบเบาๆ ย้ำทีละนิด จากรายละเอียดปลีกย่อยในหนัง ก่อนจะพาคนดูบรรลุไปถึงจุดประสงค์หลักของเนื้อหาที่หนังต้องการจะสื่อสาร
ในที่นี้ก็คือ ความย้อนแย้งในใจของตัวละครจากสถานการณ์ที่ต้องมารับรู้ว่าเด็กที่เลี้ยงมาโดยตลอดไม่ใช่ลูกของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ประเด็นที่ชวนให้ขบคิดว่า ระหว่าง “ความผูกพันทางใจ” กับ “เลือดเนื้อเชื้อไข” อย่างไหนกันแน่คือสิ่งที่เชื่อมโยงให้ใครซักคนได้กลายเป็นพ่อ กลายเป็นลูก และกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
พ้นจากนั้นแล้ว ในอีกด้านหนึ่งผู้กำกับ โคริเอดะ ยังได้พูดถึงเรื่องของความสุขในครอบครัวแบบตรงไปตรงมา ผ่านทางการทำหน้าที่ของตัวละคร "พ่อ" ทั้งสองคนในเรื่อง คนแรกคือ เรียวตะ พ่อนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การงานมั่นคงใหญ่โต ใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบ และพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นไปสู่ลูก ขณะที่อีกคน คือ ยูได พ่อผู้เป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ มีเงินไม่มาก ไม่มีความเป็นผู้นำ แต่มีเวลาอยู่กับลูกอยู่กับครอบครัวเหลือเฟือ ไม่มีกฏระเบียบอะไรชัดเจน แต่ทั้งบ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
โดยที่หนังเทน้ำหนักไปทางพ่อผู้สมบูรณ์แบบอย่าง เรียวตะ ซึ่งมีต้นทุนทางสังคมสูง สามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกในทุกๆ ด้าน แต่เอาเข้าจริงแล้ว เรียวตะ กลับยังเป็นพ่อที่บกพร่องในบางจุด และจากเหตุการณ์ลูกสลับตัวนี่เองได้ทำให้เขาหันมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า "พ่อ" อย่างจริงๆจังๆ ซึ่งหนังก็สรุปเอาไว้ค่อนข้างชัดว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการทำให้ใครซักคนเกิดมาบนโลกใบนี้ ก็คือการทำหน้าที่ดูแลใครคนนั้นให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขสมบูรณ์ต่างหาก
คะแนน : 3 ดาวครึ่งจ้า
Ps. หนังเป็นเจ้าของรางวัล Jury Prize จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด นอกจากนั้นยังมีข่าวว่าผู้กำกับใหญ่อย่างสตีเว่น สปีลเบิร์ก ได้ติดต่อขอซื้อหนังเรื่องนี้ไปรีเมคเป็นฉบับฮอลลีวู้ด
Ps 2. ฝากแฟนเพจด้วยจ้า
http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
(แอบไปดูมาแล้ว) Like Father Like Son (2013) : เป็น "พ่อ" ใครบอกว่าง่าย!
หากดูกันเฉพาะพล็อตเรื่อง Like Father Like Son อาจจะทำให้เรานึกไปถึงละครหลังข่าวได้ไม่ยากกับเรื่องราวของครอบครัวคนรวย/คนจนที่ทำลูกสลับตัวกันโดยบังเอิญ ซึ่งกว่าจะมารู้ความจริงเวลาก็ผ่านไปถึง 6 ปี โดยที่ต่างฝ่ายต่างเลี้ยงดูลูกให้เติบโตขึ้นมาในแบบฉบับของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
แต่พอปะหัวว่านี่เป็นผลงานของ ฮิโรคาซุ โคริเอดะ ผู้กำกับที่เคยทำหนังดราม่าชั้นดีอย่าง After Life (1998) Nobody Knows (2004) Still Walking (2008) Air Doll (2009) หรือล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้วกับ I Wish (2011) ก็พอจะทำให้คาดหวังได้ว่า นี่จะต้องเป็นหนังดราม่าขรึมๆ ที่พ่วงมาด้วยอารมณ์เศร้าปนอบอุ่น อีกเรื่องหนึ่งแน่ๆ
ซึ่งก็ไม่ผิดคาด แม้ว่าเรื่องราวจะเปิดช่องให้บีบน้ำตาคนดูเป็นปี๊บๆ ได้ขนาดไหน โคริเอดะ ก็ยังเป็น โคริเอดะ เขายังถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดออกมาในโทนเรียบง่ายตามแบบฉบับที่เราคุ้นเคยกันมาจากผลงานก่อนๆ ของเขาอยู่ดี โดยรวมแล้วนี่จึงเป็นหนังที่ไม่นิยมเร้าอารมณ์แบบโฉ่งฉ่าง ฟูมฟาย แต่จะใช้วิธีการแอบสะกิด "ติ่งเศร้า” ของคนดูแบบเบาๆ ย้ำทีละนิด จากรายละเอียดปลีกย่อยในหนัง ก่อนจะพาคนดูบรรลุไปถึงจุดประสงค์หลักของเนื้อหาที่หนังต้องการจะสื่อสาร
ในที่นี้ก็คือ ความย้อนแย้งในใจของตัวละครจากสถานการณ์ที่ต้องมารับรู้ว่าเด็กที่เลี้ยงมาโดยตลอดไม่ใช่ลูกของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ประเด็นที่ชวนให้ขบคิดว่า ระหว่าง “ความผูกพันทางใจ” กับ “เลือดเนื้อเชื้อไข” อย่างไหนกันแน่คือสิ่งที่เชื่อมโยงให้ใครซักคนได้กลายเป็นพ่อ กลายเป็นลูก และกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
พ้นจากนั้นแล้ว ในอีกด้านหนึ่งผู้กำกับ โคริเอดะ ยังได้พูดถึงเรื่องของความสุขในครอบครัวแบบตรงไปตรงมา ผ่านทางการทำหน้าที่ของตัวละคร "พ่อ" ทั้งสองคนในเรื่อง คนแรกคือ เรียวตะ พ่อนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การงานมั่นคงใหญ่โต ใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบ และพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นไปสู่ลูก ขณะที่อีกคน คือ ยูได พ่อผู้เป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ มีเงินไม่มาก ไม่มีความเป็นผู้นำ แต่มีเวลาอยู่กับลูกอยู่กับครอบครัวเหลือเฟือ ไม่มีกฏระเบียบอะไรชัดเจน แต่ทั้งบ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
โดยที่หนังเทน้ำหนักไปทางพ่อผู้สมบูรณ์แบบอย่าง เรียวตะ ซึ่งมีต้นทุนทางสังคมสูง สามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกในทุกๆ ด้าน แต่เอาเข้าจริงแล้ว เรียวตะ กลับยังเป็นพ่อที่บกพร่องในบางจุด และจากเหตุการณ์ลูกสลับตัวนี่เองได้ทำให้เขาหันมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า "พ่อ" อย่างจริงๆจังๆ ซึ่งหนังก็สรุปเอาไว้ค่อนข้างชัดว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการทำให้ใครซักคนเกิดมาบนโลกใบนี้ ก็คือการทำหน้าที่ดูแลใครคนนั้นให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขสมบูรณ์ต่างหาก
คะแนน : 3 ดาวครึ่งจ้า
Ps. หนังเป็นเจ้าของรางวัล Jury Prize จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด นอกจากนั้นยังมีข่าวว่าผู้กำกับใหญ่อย่างสตีเว่น สปีลเบิร์ก ได้ติดต่อขอซื้อหนังเรื่องนี้ไปรีเมคเป็นฉบับฮอลลีวู้ด
Ps 2. ฝากแฟนเพจด้วยจ้า http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518