เรื่องจริงของเด็กหญิงคนหนึ่ง
"ครั้งหนึ่งครอบครัวของข้าพเจ้าซึ่งเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง มีรายได้จากการทำงานของพ่อและเเม่เป็นหลัก ในปี 2554 พ่อและแม่ของข้าพเจ้าได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองขณะนั้น ทำให้ว่างงาน ไม่มีรายได้ นอกจากนี้ตา และยายของข้าพเจ้าก็มาป่วยพร้อมกัน ยายต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากเป็นโรคหัวใจ และตาเป็นโรคต้อหิน สร้างความวิตกให้กับข้าพเจ้า ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งเป็นอย่างมาก เพราะการเงินของที่บ้านไม่เอื้อให้ข้าพเจ้าได้เรียนต่อเสียแล้ว ข้าพเจ้ายื่นเรื่องขอทุนจากทางคณะ และมหาวิทยาลัย เมื่อเวลาผ่านไป มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาที่บ้านของข้าพเจ้า สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าและครอบครัวกอดกันและร้องไห้ มิใช่ธนาณัติที่เป็นจำนวนเงินมากพอสำหรับค่าเล่าเรียนทั้งปีการศึกษา หากเป็นข้อความในจดหมายที่แนบมาด้วยว่า
"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของราษฏรของพระองค์ท่านตลอดมา เมื่อได้รับความเดือดร้อนขอพระราชทานความช่วยเหลือก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ราษฎรผู้นั้น ด้วยทรงถือว่าทุกข์สุขของราษฏรก็คือ ทุกข์สุขของพระองค์ท่านเอง"
ข้าพเจ้าได้รับทุนพระราชทานซึ่งไม่ใช่เพียงเงินสำหรับค่าเล่าเรียน หากแต่เป็นโอกาสให้กับข้าพเจ้าได้ศึกษาเล่าเรียน แม้ทุนพระราชทานนี้จะไม่ใช่ทุนที่ต้องชดใช้คืน เเต่ข้าพเจ้าเเละครอบครัวตั้งมั่นจะชดใช้คืนพระมหากรุณาที่ทรงพระราชทานให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ด้วยความจงรักภักดี จะเป็นคนดีของสังคม ไม่ละเลยหน้าที่ของตน และข้าพเจ้าได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อนำความรู้ทีได้รับมาดูแลประชาชนของพระราชาสืบไปในอนาคต"
ป.ล. แม้จะไม่สามารถระบุชื่อของเจ้าของเรื่องหรือแหล่งที่มาได้ แต่ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และขอแบ่งปันความปิติของเด็กหญิงคนนี้และครอบครัวให้ทุกท่านทราบเช่นกัน
ครั้งหนึ่งที่ได้รับพระมหากรุณา
"ครั้งหนึ่งครอบครัวของข้าพเจ้าซึ่งเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง มีรายได้จากการทำงานของพ่อและเเม่เป็นหลัก ในปี 2554 พ่อและแม่ของข้าพเจ้าได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองขณะนั้น ทำให้ว่างงาน ไม่มีรายได้ นอกจากนี้ตา และยายของข้าพเจ้าก็มาป่วยพร้อมกัน ยายต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากเป็นโรคหัวใจ และตาเป็นโรคต้อหิน สร้างความวิตกให้กับข้าพเจ้า ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งเป็นอย่างมาก เพราะการเงินของที่บ้านไม่เอื้อให้ข้าพเจ้าได้เรียนต่อเสียแล้ว ข้าพเจ้ายื่นเรื่องขอทุนจากทางคณะ และมหาวิทยาลัย เมื่อเวลาผ่านไป มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาที่บ้านของข้าพเจ้า สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าและครอบครัวกอดกันและร้องไห้ มิใช่ธนาณัติที่เป็นจำนวนเงินมากพอสำหรับค่าเล่าเรียนทั้งปีการศึกษา หากเป็นข้อความในจดหมายที่แนบมาด้วยว่า
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของราษฏรของพระองค์ท่านตลอดมา เมื่อได้รับความเดือดร้อนขอพระราชทานความช่วยเหลือก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ราษฎรผู้นั้น ด้วยทรงถือว่าทุกข์สุขของราษฏรก็คือ ทุกข์สุขของพระองค์ท่านเอง"
ข้าพเจ้าได้รับทุนพระราชทานซึ่งไม่ใช่เพียงเงินสำหรับค่าเล่าเรียน หากแต่เป็นโอกาสให้กับข้าพเจ้าได้ศึกษาเล่าเรียน แม้ทุนพระราชทานนี้จะไม่ใช่ทุนที่ต้องชดใช้คืน เเต่ข้าพเจ้าเเละครอบครัวตั้งมั่นจะชดใช้คืนพระมหากรุณาที่ทรงพระราชทานให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ด้วยความจงรักภักดี จะเป็นคนดีของสังคม ไม่ละเลยหน้าที่ของตน และข้าพเจ้าได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อนำความรู้ทีได้รับมาดูแลประชาชนของพระราชาสืบไปในอนาคต"
ป.ล. แม้จะไม่สามารถระบุชื่อของเจ้าของเรื่องหรือแหล่งที่มาได้ แต่ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และขอแบ่งปันความปิติของเด็กหญิงคนนี้และครอบครัวให้ทุกท่านทราบเช่นกัน