ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ไม่เคยตั้งกระทู้ในพันทิปมาก่อน สมัครสมาชิกไว้ เพื่อไว้อ่านกระทู้และคอมเมนต์กระทู้ที่สนใจ ต้องบอกว่า กว่าจะแท็กห้องได้ ก็ปาไปหลายสิบนาที ไม่รู้ว่า แท็ก ถูกห้องมั้ย เพราะฉะนั้นถ้าแท็กห้องผิด แล้วเนื้อหาไม่สมควรก็ขออภัยด้วยนะครับ (เหมือนเขียนคำนำรายงานอีก)
เอาหล่ะ ผมเริ่มต้นด้วยการบอกก่อนว่า ตัวเองเป็นเกย์ คนหนึ่งในสังคมกรุงเทพแห่งนี้ เรียกได้ว่า เป็นเกย์ที่ อาจเรียกว่า แรง เลยก็ว่าได้ เพราะยามว่างคือการไปสีลม ซอย 2 (เพราะสเป็กของผมก็คือฝรั่ง และต้องฝรั่งเท่านั้น ...ใช้มันฟังดูเหมือนไม่ให้โอกาสตัวเองกับคนอื่นๆแต่ก็ มันเป็นมาแบบนี้แล้วไง) การได้ไปเห็นอะไรในสีลมบ่อยๆ (เพื่อนๆหลายคนคงอาจจะรู้ว่า มันคืออะไร) เจอเรื่องแย่ๆ จากสถานที่แห่งนั้นบ่อยๆ มันก็ทำให้เราเกิดคำถามมากมายและ ทำให้เราเชื่อมาตลอดว่า บางทีการไม่มีแฟนเลย ก็คงจะดีกว่ามาทนรับเรื่องพวกนี้ ...ก็เลยบอกตัวเองมาตลอดว่า ไม่ว่าจะยังไง ก็จะไม่มีทาง คบใครแบบจริงจังง่ายๆ จนกว่าจะมั่นใจ
จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน ผมเจอคนคนนึงจาก app iPhone ที่ชื่อว่า Grindr ใครที่เป็นเกย์ และอ่านอยู่คงจะรู้จัก มันคือ app หาคู่ เป้าหมายคือการ หาเพื่อนออกไปเที่ยวด้วย เพราะว่า เบื่อมาก ผมเจอผู้ชายคนนี้ เขากำลังมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ไทย เขามาจาก New York และอายุใกล้เคียงกัน ตอนแรกที่เจอกัน ผมรู้สึกเฉยๆ เพราะว่า เขาไม่ใช่ สเป็กเลย แต่เพราะคุยด้วยแล้วถูกคอ จึงนัดเจอกัน
การออกไปเที่ยวด้วยกันคืนแรก เราไปกันที่บาร์ใกล้ๆกับโรงแรมที่เขาพัก เพราะว่า เขาไม่อยากไปสีลม ผมก็ไม่ค่อยมีปัญหากับที่ที่จะไปอยู่แล้วก็เลยไป การคุยกับเขาเป็นเรื่องที่สนุกมาก เราคุยกันเรื่องที่ผมจะไม่มีวันได้ คุยด้วย กับ ผู้ชายที่ผมเจอใน App Grindr (ผมไม่ได้ตัดสินแต่ ที่เจอมันมักจะเป็นแบบนั้น ซะเกือบหมด) เราคุยกัน เรื่องชีวิตการเป็นอยู่ เรื่องภาษา และก็เรื่องวัฒนธรรม ผมรู้เลยว่า เขาพิเศษ แต่มันก็ยังเป็นแค่ การเจอกันครั้งแรก บางทีพอผมเมาแล้วเขาอาจจะเห็นว่า จริงๆแล้ว ผมไม่ได้น่าคบเลย พอเราทั้งคู่เมาแล้ว ก็เลยไปต่อที่สีลม ซอย 2 ในตอนนั้นผมคิดว่า เราทั้งคู่ต้องลงเอยที่ห้องคนใดคนหนึ่ง เพราะมันเป็นเรื่องพื้นฐานของการเมาและไปเที่ยวไนท์คลับอยู่แล้ว
ตอนเราเต้นด้วยกันอย่างสนุกสนาน ผมเผลอจูบกับเขา แต่พอจูบแล้ว มันก็มีช่วงกระอั่กกระอ่วน เขาหยุดเต้นแล้วมองหน้าผม แล้วก็บอกกับผมว่า "เราทั้งคู่เป็นรับ ฉันสัมผัสได้" ผมเองก็สงสัยช่วงที่เราคุยกันก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ว่า เราอาจ "เหมือนกัน" คืนนั้น ผมเลยไปส่งเขาที่โรงแรมแล้วนั่ง taxi กลับบ้าน
เราออกไปเที่ยวกันแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์ (เราทั้งคู่มีวันหยุดพอดี) จนเขาบอกผมว่า อีก 2 วันเขาต้องไปสอนที่ ต่างจังหวัด และจะมา กทม. ได้ไม่บ่อยนัก แต่เขาสนุกกับการออกไปเที่ยวกับผมมาก ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมาก แค่คิดว่า มันเร็วไปหน่อยที่เขาจะไปแล้ว แต่เราก็ไม่ดราม่าอะไรพวกนั้นมาก เราไม่ได้คุยกันเรื่องที่เราจูบกัน จนคืนก่อนคืนสุดท้ายที่เขาจะอยู่ กรุงเทพ เราออกไปเที่ยวกันอีก ก่อนหน้านั้นเขาไปกินเหล้ากับเพื่อนๆของเขามาแล้ว ตอนเจอผม ผมเห็นได้ว่า เขาเมามาก การพูดการจาของเขาเปลี่ยนไป แต่มันก็น่ารักดี ผมไม่ได้ดื่มมากเท่าไรคืนนั้น เพราะรู้ว่า ผมต้องได้ดูแลเขาแน่ๆ และมันก็จริง เขาอยากไป ถนนข้าวสาร เราก็เลยไปกัน ระหว่างการนั่ง Taxi ไปถนนข้าวสาร เขาหอมแก้มผมบ่อยมาก จนลุงคนขับแทกซี่มองผ่านกระจกหลังมา ผมแบบว่า อายก็อายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไง จนเราไปถึงถนนข้าวสาร ถ้าเพื่อนๆเคยจะรู้ว่า มันจะเป็นถนนที่คนเดินเยอะมาก ผมต้องจูงมือเขาเดินไปที่บาร์ ที่ผมไปบ่อยๆ ระหว่างทางเขาดึงผมไปจูบ ผมรู้เลยว่า ฝรั่ง และผู้คนที่อยู่แถวๆนั้น หยุดเดินแล้วมองผมกับเขา มันเป็นอะไรที่ หลุดโลกมาก แต่ผมก็ไม้ได้ให้เขาหยุด และมหกรรมการจูบครั้งยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นใน คลับ ที่เราไป ผมเริ่มเมา เขาเมามาก เราจูบกันแบบไม่เกรงใจ ชายจริง หญิงแท้ในนั้น บางคนเชียร์เรา บางคนซื้อเหล้ามาให้เราดื่ม เรียกได้ว่า Unseen in Thailand เลยก็ว่าได้
ผมไปส่งเขาที่โรงแรมเหมือนครั้งก่อนๆ แต่คราวนี้มันพิเศษ ตรงที่ผมกำลังจะเรียก Taxi เพื่อกลับไปห้องตัวเอง เขาวิ่งมากอดแล้วร้องไห้ แล้วก็บอกว่า "มันตลกจังที่ ฉันต้องใช้เหล้าช่วย เพื่อให้กล้าจูบคุณ" คุณรู้มั้ย จากที่เคยคิดมาตลอดว่า ชาตินี้คงไม่มีแฟน ชาติจะไม่หลงรักใคร ข้อกังขาทั้งหมด มันระเบิดตรงนั้นเลย ผมไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะอีกใจก็คิดว่า เขาคงเมามากเท่านั้น แต่ก็อีกใจแอบคิดไป ไกลแล้ว ผมหันไปจูบเขา แล้วก็พาเขาที่ Lobby ของโรงแรม แล้วก็บอกลา
วันต่อมา เราไปดูหนังด้วยกัน หนังที่ดูดัน เป็นหนัง ผีเรื่อง Insidious อีก แล้วหนังเรื่องนี้หน้ากลัวมาก ระหว่างดูหนังผมรู้สึกได้ว่า มีผู้หญิงกรีดตลอด แต่ความจริง มันไม่ใช่เสียงผู้หญิง มันเป็นเสียงของ John (ลืมบอกชื่อเขา ฮ่าๆๆๆ) ผมแอบตลึงนิดนึง แต่ก็นึกได้ เขาเป็น "รับ" นี่อาจเป็นสิ่งยืนยัน ฮ่าๆๆๆ หนังเลิกดึกมาก และเราก็ไปกินเหล้ากันไม่ได้ เขาต้องบินตอน ตี 4 ผมเลยแค่เดินไปส่งเขาที่ โรงแรม
ตอนเขาไปสอนหนังสือ เราคุยกันผ่าน App Line และบางครั้งก็ Facetime กัน เราทำเหมือนเราเป็นแฟนกันแล้ว บางครั้งผมยุ่งมากก็เลยไม่ได้ ส่งข้อความหาเขา เขาถึงขั้นโทรมา มันเป็นเวลากว่า 1 เดือน และเป็นครั้งแรกที่ผมคิดถึง คนคนหนึ่ง (นอกจากพ่อและแม่) มากขนาดนี้ ผมอยากจะไปหาเขาเลยด้วย ซ้ำ แต่ผมก็ได้ข่าว เพราะเขาบอกว่า จะมาที่นี่ ปลายเดือน พฤศจิกายน และเขาก็มา เราไปเที่ยวกันเหมือนเคย และคราวนี้ เราเริ่มวางแผนเที่ยวช่วงปีใหม่ เขาอยากให้ผม พาไป ปาย และผมก็คิดว่า มันน่าจะสวยมากช่วงปีใหม่
เราไม่ได้เคยคุยกัน เหมือนกับคนรักคุย แต่ความรู้สึก มันบอกว่า เราสองคน มีอะไรบางอย่าง เรารู้ว่ามันต้องมีบางอย่าง แต่มันมีแค่เรื่องเดียวที่ เขา คิดว่า น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ มันก็คือ เรื่อง ใครรับ ใครรุก หลายคนอาจคิดว่า sex ไม่ใช่เรื่องสำคัญในความรัก แต่การเป็นแฟนกัน และไม่มี sex มันก็คงเป็นเรื่องแย่ โดยเฉพาะเขา ที่มาจากสังคมที่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เขาทำกันปกติ
เพื่อนๆ คิดว่าไง ครับ ถ้าความสัมพันธ์ของเรา คืบหน้าจริงๆ ผมควรจะลองทำอะไรสักอย่างมั้ย? ผมหมายความว่า ผมควรจะลองคุยกับเขา เรื่องที่เราทั้งคู่คิด และถ้าเราชอบกันจริง ผมควรจะเป็น รุกมั้ย
ต้องขอโทษถ้ามันฟังดู มากเกินไป แต่ผมคิดว่า เขาพิเศษจริงๆ
ความรักสุดประหลาดของ ผม
เอาหล่ะ ผมเริ่มต้นด้วยการบอกก่อนว่า ตัวเองเป็นเกย์ คนหนึ่งในสังคมกรุงเทพแห่งนี้ เรียกได้ว่า เป็นเกย์ที่ อาจเรียกว่า แรง เลยก็ว่าได้ เพราะยามว่างคือการไปสีลม ซอย 2 (เพราะสเป็กของผมก็คือฝรั่ง และต้องฝรั่งเท่านั้น ...ใช้มันฟังดูเหมือนไม่ให้โอกาสตัวเองกับคนอื่นๆแต่ก็ มันเป็นมาแบบนี้แล้วไง) การได้ไปเห็นอะไรในสีลมบ่อยๆ (เพื่อนๆหลายคนคงอาจจะรู้ว่า มันคืออะไร) เจอเรื่องแย่ๆ จากสถานที่แห่งนั้นบ่อยๆ มันก็ทำให้เราเกิดคำถามมากมายและ ทำให้เราเชื่อมาตลอดว่า บางทีการไม่มีแฟนเลย ก็คงจะดีกว่ามาทนรับเรื่องพวกนี้ ...ก็เลยบอกตัวเองมาตลอดว่า ไม่ว่าจะยังไง ก็จะไม่มีทาง คบใครแบบจริงจังง่ายๆ จนกว่าจะมั่นใจ
จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน ผมเจอคนคนนึงจาก app iPhone ที่ชื่อว่า Grindr ใครที่เป็นเกย์ และอ่านอยู่คงจะรู้จัก มันคือ app หาคู่ เป้าหมายคือการ หาเพื่อนออกไปเที่ยวด้วย เพราะว่า เบื่อมาก ผมเจอผู้ชายคนนี้ เขากำลังมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ไทย เขามาจาก New York และอายุใกล้เคียงกัน ตอนแรกที่เจอกัน ผมรู้สึกเฉยๆ เพราะว่า เขาไม่ใช่ สเป็กเลย แต่เพราะคุยด้วยแล้วถูกคอ จึงนัดเจอกัน
การออกไปเที่ยวด้วยกันคืนแรก เราไปกันที่บาร์ใกล้ๆกับโรงแรมที่เขาพัก เพราะว่า เขาไม่อยากไปสีลม ผมก็ไม่ค่อยมีปัญหากับที่ที่จะไปอยู่แล้วก็เลยไป การคุยกับเขาเป็นเรื่องที่สนุกมาก เราคุยกันเรื่องที่ผมจะไม่มีวันได้ คุยด้วย กับ ผู้ชายที่ผมเจอใน App Grindr (ผมไม่ได้ตัดสินแต่ ที่เจอมันมักจะเป็นแบบนั้น ซะเกือบหมด) เราคุยกัน เรื่องชีวิตการเป็นอยู่ เรื่องภาษา และก็เรื่องวัฒนธรรม ผมรู้เลยว่า เขาพิเศษ แต่มันก็ยังเป็นแค่ การเจอกันครั้งแรก บางทีพอผมเมาแล้วเขาอาจจะเห็นว่า จริงๆแล้ว ผมไม่ได้น่าคบเลย พอเราทั้งคู่เมาแล้ว ก็เลยไปต่อที่สีลม ซอย 2 ในตอนนั้นผมคิดว่า เราทั้งคู่ต้องลงเอยที่ห้องคนใดคนหนึ่ง เพราะมันเป็นเรื่องพื้นฐานของการเมาและไปเที่ยวไนท์คลับอยู่แล้ว
ตอนเราเต้นด้วยกันอย่างสนุกสนาน ผมเผลอจูบกับเขา แต่พอจูบแล้ว มันก็มีช่วงกระอั่กกระอ่วน เขาหยุดเต้นแล้วมองหน้าผม แล้วก็บอกกับผมว่า "เราทั้งคู่เป็นรับ ฉันสัมผัสได้" ผมเองก็สงสัยช่วงที่เราคุยกันก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ว่า เราอาจ "เหมือนกัน" คืนนั้น ผมเลยไปส่งเขาที่โรงแรมแล้วนั่ง taxi กลับบ้าน
เราออกไปเที่ยวกันแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์ (เราทั้งคู่มีวันหยุดพอดี) จนเขาบอกผมว่า อีก 2 วันเขาต้องไปสอนที่ ต่างจังหวัด และจะมา กทม. ได้ไม่บ่อยนัก แต่เขาสนุกกับการออกไปเที่ยวกับผมมาก ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมาก แค่คิดว่า มันเร็วไปหน่อยที่เขาจะไปแล้ว แต่เราก็ไม่ดราม่าอะไรพวกนั้นมาก เราไม่ได้คุยกันเรื่องที่เราจูบกัน จนคืนก่อนคืนสุดท้ายที่เขาจะอยู่ กรุงเทพ เราออกไปเที่ยวกันอีก ก่อนหน้านั้นเขาไปกินเหล้ากับเพื่อนๆของเขามาแล้ว ตอนเจอผม ผมเห็นได้ว่า เขาเมามาก การพูดการจาของเขาเปลี่ยนไป แต่มันก็น่ารักดี ผมไม่ได้ดื่มมากเท่าไรคืนนั้น เพราะรู้ว่า ผมต้องได้ดูแลเขาแน่ๆ และมันก็จริง เขาอยากไป ถนนข้าวสาร เราก็เลยไปกัน ระหว่างการนั่ง Taxi ไปถนนข้าวสาร เขาหอมแก้มผมบ่อยมาก จนลุงคนขับแทกซี่มองผ่านกระจกหลังมา ผมแบบว่า อายก็อายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไง จนเราไปถึงถนนข้าวสาร ถ้าเพื่อนๆเคยจะรู้ว่า มันจะเป็นถนนที่คนเดินเยอะมาก ผมต้องจูงมือเขาเดินไปที่บาร์ ที่ผมไปบ่อยๆ ระหว่างทางเขาดึงผมไปจูบ ผมรู้เลยว่า ฝรั่ง และผู้คนที่อยู่แถวๆนั้น หยุดเดินแล้วมองผมกับเขา มันเป็นอะไรที่ หลุดโลกมาก แต่ผมก็ไม้ได้ให้เขาหยุด และมหกรรมการจูบครั้งยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นใน คลับ ที่เราไป ผมเริ่มเมา เขาเมามาก เราจูบกันแบบไม่เกรงใจ ชายจริง หญิงแท้ในนั้น บางคนเชียร์เรา บางคนซื้อเหล้ามาให้เราดื่ม เรียกได้ว่า Unseen in Thailand เลยก็ว่าได้
ผมไปส่งเขาที่โรงแรมเหมือนครั้งก่อนๆ แต่คราวนี้มันพิเศษ ตรงที่ผมกำลังจะเรียก Taxi เพื่อกลับไปห้องตัวเอง เขาวิ่งมากอดแล้วร้องไห้ แล้วก็บอกว่า "มันตลกจังที่ ฉันต้องใช้เหล้าช่วย เพื่อให้กล้าจูบคุณ" คุณรู้มั้ย จากที่เคยคิดมาตลอดว่า ชาตินี้คงไม่มีแฟน ชาติจะไม่หลงรักใคร ข้อกังขาทั้งหมด มันระเบิดตรงนั้นเลย ผมไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะอีกใจก็คิดว่า เขาคงเมามากเท่านั้น แต่ก็อีกใจแอบคิดไป ไกลแล้ว ผมหันไปจูบเขา แล้วก็พาเขาที่ Lobby ของโรงแรม แล้วก็บอกลา
วันต่อมา เราไปดูหนังด้วยกัน หนังที่ดูดัน เป็นหนัง ผีเรื่อง Insidious อีก แล้วหนังเรื่องนี้หน้ากลัวมาก ระหว่างดูหนังผมรู้สึกได้ว่า มีผู้หญิงกรีดตลอด แต่ความจริง มันไม่ใช่เสียงผู้หญิง มันเป็นเสียงของ John (ลืมบอกชื่อเขา ฮ่าๆๆๆ) ผมแอบตลึงนิดนึง แต่ก็นึกได้ เขาเป็น "รับ" นี่อาจเป็นสิ่งยืนยัน ฮ่าๆๆๆ หนังเลิกดึกมาก และเราก็ไปกินเหล้ากันไม่ได้ เขาต้องบินตอน ตี 4 ผมเลยแค่เดินไปส่งเขาที่ โรงแรม
ตอนเขาไปสอนหนังสือ เราคุยกันผ่าน App Line และบางครั้งก็ Facetime กัน เราทำเหมือนเราเป็นแฟนกันแล้ว บางครั้งผมยุ่งมากก็เลยไม่ได้ ส่งข้อความหาเขา เขาถึงขั้นโทรมา มันเป็นเวลากว่า 1 เดือน และเป็นครั้งแรกที่ผมคิดถึง คนคนหนึ่ง (นอกจากพ่อและแม่) มากขนาดนี้ ผมอยากจะไปหาเขาเลยด้วย ซ้ำ แต่ผมก็ได้ข่าว เพราะเขาบอกว่า จะมาที่นี่ ปลายเดือน พฤศจิกายน และเขาก็มา เราไปเที่ยวกันเหมือนเคย และคราวนี้ เราเริ่มวางแผนเที่ยวช่วงปีใหม่ เขาอยากให้ผม พาไป ปาย และผมก็คิดว่า มันน่าจะสวยมากช่วงปีใหม่
เราไม่ได้เคยคุยกัน เหมือนกับคนรักคุย แต่ความรู้สึก มันบอกว่า เราสองคน มีอะไรบางอย่าง เรารู้ว่ามันต้องมีบางอย่าง แต่มันมีแค่เรื่องเดียวที่ เขา คิดว่า น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ มันก็คือ เรื่อง ใครรับ ใครรุก หลายคนอาจคิดว่า sex ไม่ใช่เรื่องสำคัญในความรัก แต่การเป็นแฟนกัน และไม่มี sex มันก็คงเป็นเรื่องแย่ โดยเฉพาะเขา ที่มาจากสังคมที่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เขาทำกันปกติ
เพื่อนๆ คิดว่าไง ครับ ถ้าความสัมพันธ์ของเรา คืบหน้าจริงๆ ผมควรจะลองทำอะไรสักอย่างมั้ย? ผมหมายความว่า ผมควรจะลองคุยกับเขา เรื่องที่เราทั้งคู่คิด และถ้าเราชอบกันจริง ผมควรจะเป็น รุกมั้ย
ต้องขอโทษถ้ามันฟังดู มากเกินไป แต่ผมคิดว่า เขาพิเศษจริงๆ