คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
มีจริงในประวัติศาสตร์ครับ แต่ในไทยไม่มีพิธีนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ตอนตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ก็ไม่ทำพิธีนี้
ครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์น่าจะเป็นที่พม่า ครั้งย้ายพระนครจากอังวะไปมัณฑะเลย์ (น่าจะราวช่วงรัชกาลที่ 4ของไทย) ครั้งนั้นใช้คนมาทำพิธีเกิน 50 คน ไม่ใช่แค่เสาหลักเมือง แต่ทำไปหมดทั้งมุมเมือง พลับพลาประตูหลัก ประตูวัง รัตนบัลลังก์
ครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์น่าจะเป็นที่พม่า ครั้งย้ายพระนครจากอังวะไปมัณฑะเลย์ (น่าจะราวช่วงรัชกาลที่ 4ของไทย) ครั้งนั้นใช้คนมาทำพิธีเกิน 50 คน ไม่ใช่แค่เสาหลักเมือง แต่ทำไปหมดทั้งมุมเมือง พลับพลาประตูหลัก ประตูวัง รัตนบัลลังก์
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เรื่องอิน จัน มั่น คงเป็นเรื่องที่เล่าๆลือๆกันมาครับ ยังไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ในละครเจ้ากรรมนายเวรดำเนินเรื่องในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวต่างประเทศเข้ามาติดต่อค้าขายจำนวนมาห และพบหลักฐานร่วมสมัยจำนวนมากที่บันทึกเหตุการณ์ในสมัยนั้น แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ระบุว่ามีการทำพิธีตอกเสาเข็มในสมัยสมเด็จพระนารายณ์เลย จึงคิดว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์คงไม่มีพิธีนี้แล้ว
แต่สมัยก่อนหน้านั้นมีบันทึกการทำพิธีตอกเสาเข็มในไทย ปรากฎในเอกสารเรื่อง "Description ofthe Kingdom of Siam" ซึ่งเขียนใน ค.ศ.๑๖๓๘ (พ.ศ.๒๑๘๑) ของเยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Vereenigde Oost-Indische Compagnie; VOC) ประจำกรุงศรีอยุทธยาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราชบิดาของสมเด็จพระนารายณ์
ฟาน ฟลีตใช้ชีวิตอยู่ในกรุงศรีอยุทธยา ๙ ปี ได้บันทึกประวัติศาสตร์ช่วงนั้นไว้มากทั้งพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราชพงศาวดาร สภาพการเมืองการปกครองและอื่นๆ อีกมาก ซึ่งฟาน ฟลีตได้ระบุว่าเคยมีพิธีตอกเสาเข็มเกิดขึ้นใน พ.ศ.๒๑๗๗ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองครับ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
"...พระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นชีวิตไพร่ฟ้าด้อยค่านัก เพราะเมื่อจะทรงสร้างพระราชวัง หอคอย (น่าจะเป็นพระเจดีย์หรือพระปรางค์ - ศรีสรรเพชญ์) หรือพระตำหนักใดๆก็ตาม ภายใต้เสาเข็มที่จะถูกปักลงในพื้นดินจะจับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ใส่ลงไป หากยิ่งท้องแก่ใกล้จะคลอดก็ยิ่งดี ด้วยเหตุนี้จึงนำมาสู่ความโศกสลดในกรุงศรีอยุทธยาอยู่บ่อยครั้งเมื่อมีการซ่อมสร้างพระราชวังหรือหอคอย เพราะบ้านทุกหลังในสยามจะตั้งอยู่เหนือพื้นดินโดยมีเสาไม้หลักปักอยู่ สตรีจำนวนมากต้องทนทุกข์ต่อความทรมานนี้ แม้ว่าเรื่องที่บรรยายมานี้จะดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่การประหารเหล่านี้ก็ได้เคยทำจริงๆ
ผู้คนที่แสนจะงมงายเหล่านี้ เชื่อว่าเมื่อสตรีเหล่านี้ตายไปแล้วจะกลายเป็นภูติผีปิศาจ ที่คอยพิทักษ์เสาที่ตนถูกโยนลงไปข้างใต้รวมไปถึงตัวอาคารทั้งหมดจากความโชคร้าย บ่อยครั้งพระเจ้าแผ่นดินจึงทรงมักให้ข้าทาสไม่กี่คนไปจับกุมสตรีที่กำลังตั้งครรภ์อย่างไม่ใส่พระทัย แต่จะเว้นไม่จับกุมสตรีที่อยู่ในเรือนนอกจากหาใครไม่เจอบนถนนแล้ว สตรีเหล่านี้ถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าพระมเหสี ซึ่งจะทรงดูแลพวกนางราวกับพวกนางจะมีพระประสูติกาลให้พระเจ้าแผ่นดินก็ว่าได้ หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกนาง (ขออภัยสำหรับคำพูดหยาบคาย) จะถูกโยนลงหลุมโดยให้หงายท้องขึ้น แล้วเสาเข็มจะตอกบนครรภ์จนทะลุไป
ทั่วกรุงศรีอยุทธยามีแม่น้ำไหลผ่านแปดสาย บริเวณที่แม่น้ำไหลผ่านเข้าออกพระนครจะมีการสร้างประตูที่มีเสาสูงสองเสาสูงประมาณแปดฟาทอม (๔๘ ฟุต) และหนาหนึ่งฟาทอม (๖ ฟุต) เสานี้เชื่อมกันด้านบนด้วยเสาแนวขวางสองเสา ช่องว่างระหว่างเสามีการตกแต่งประดับด้วยไม้
เมื่อรวมประตูไชย (ประตูทางใต้ของกาะเมืองอยุธยา-ศรีสรรเพชญ์) หรือประตูแห่งหัวใจ (เป็นทางเข้าพระราชวัง) จะมีประตูพระนครทั้งหมด ๑๗ ประตู เมื่อต้นปี ๑๖๓๔ พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันโปรดให้สร้างประตูใหม่ทั้งหมด ประตูเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นประตูวัด วิหาร บ้านเรือน หรือพระราชวัง (ไม่ว่าจะน่าเกลียดหรือไม่สำคัญก็) ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสยาม พระองค์จึงมีพระราชโองการให้โยนสตรีที่กำลังตั้งครรภ์สองคนลงไปใต้เสาเข็มแต่ละเสา ทั้งหมดต้องใช้สตรี ๖๘ คนสำหรับ ๑๗ ประตู เพื่อการณ์นี้สตรีบางคนจึงถูกนำตัวเข้าพระราชวัง แต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นในทั้งสองวันที่ผู้หญิงห้าคนถูกจับมาได้คลอดบุตรในเวลาเดียวกับที่ถูกพาตัวเข้ามาในพระราชวัง นี่ทำให้เกิดความหดหู่ขึ้นในราชสำนักและเชื่อกันว่าเป็นปาฏิหาริย์
ออกญาจักรี (ผู้ซึ่งในปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นออกญาสุโขทัย และเป็นผู้ที่มั่นใจในตนเองสูง) กล้าพอที่จะกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดในบรรดาเทพยดาแห่งองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวไม่ทรงโปรดให้โยนสตรีลงหลุมใต้เสาเข็ม แต่เพื่อที่จะประนีประนอมกับปิศาจ (ซึ่งชาวสยามเชื่อว่าสิงสถิตอยู่ในประตูเหล่านี้) ออกญาจักรีจึงทูลเสนอพระเจ้าแผ่นดินให้ทำพิธีแค่ที่ประตูไชยเท่านั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบและมีพระราชโองการให้เหลือสตรีไว้แค่สี่นางเท่านั้น
สตรีคนอื่นๆ (ทั้งคนที่คลอดบุตรไปแล้วและยังไม่คลอด) ถูกจับโกนศีรษะ แล้วถูกฟันสองแผลบนศีรษะ ได้รับแจ้งว่าเทพยดาทรงประทานชีวิตพวกนางไว้ในพระหัตถ์พระเจ้าแผ่นดินและพวกนางสมควรตาย แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงไว้ซึ่งพระเมตตากรุณามากกว่าเทพยดา พวกนางทุกคนจึงสามารถกลับบ้านได้ ยกเว้นหญิงอีกสี่คนที่ได้กล่าวไปแล้วที่ถูกโยนลงหลุมใต้เสาเข็มประตูไชย"
อ่านดูแล้วจากเนื้อหาสันนิษฐานว่าออกญาจักรีคงจะพยายามช่วยชีวิตผู้หญิงเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด
เรื่องนี้อาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีความใกล้เคียงกับเรื่องที่เล่าขานเกี่ยวกับการตอกเสาเข็มของไทยอยู่หลายอย่าง เช่นบางที่บอกว่าการตอกเสาเข็มมักใช้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เพราะเมื่อตอกเสาเข็มแล้วก็จะได้วิญญาณถึง ๒ ดวง บางที่ก็เรียกว่าเป็นหญิงตั้งครรภ์ว่าพวก "สี่หูสี่ตา"
แต่สมัยก่อนหน้านั้นมีบันทึกการทำพิธีตอกเสาเข็มในไทย ปรากฎในเอกสารเรื่อง "Description ofthe Kingdom of Siam" ซึ่งเขียนใน ค.ศ.๑๖๓๘ (พ.ศ.๒๑๘๑) ของเยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Vereenigde Oost-Indische Compagnie; VOC) ประจำกรุงศรีอยุทธยาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราชบิดาของสมเด็จพระนารายณ์
ฟาน ฟลีตใช้ชีวิตอยู่ในกรุงศรีอยุทธยา ๙ ปี ได้บันทึกประวัติศาสตร์ช่วงนั้นไว้มากทั้งพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราชพงศาวดาร สภาพการเมืองการปกครองและอื่นๆ อีกมาก ซึ่งฟาน ฟลีตได้ระบุว่าเคยมีพิธีตอกเสาเข็มเกิดขึ้นใน พ.ศ.๒๑๗๗ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองครับ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
"...พระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นชีวิตไพร่ฟ้าด้อยค่านัก เพราะเมื่อจะทรงสร้างพระราชวัง หอคอย (น่าจะเป็นพระเจดีย์หรือพระปรางค์ - ศรีสรรเพชญ์) หรือพระตำหนักใดๆก็ตาม ภายใต้เสาเข็มที่จะถูกปักลงในพื้นดินจะจับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ใส่ลงไป หากยิ่งท้องแก่ใกล้จะคลอดก็ยิ่งดี ด้วยเหตุนี้จึงนำมาสู่ความโศกสลดในกรุงศรีอยุทธยาอยู่บ่อยครั้งเมื่อมีการซ่อมสร้างพระราชวังหรือหอคอย เพราะบ้านทุกหลังในสยามจะตั้งอยู่เหนือพื้นดินโดยมีเสาไม้หลักปักอยู่ สตรีจำนวนมากต้องทนทุกข์ต่อความทรมานนี้ แม้ว่าเรื่องที่บรรยายมานี้จะดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่การประหารเหล่านี้ก็ได้เคยทำจริงๆ
ผู้คนที่แสนจะงมงายเหล่านี้ เชื่อว่าเมื่อสตรีเหล่านี้ตายไปแล้วจะกลายเป็นภูติผีปิศาจ ที่คอยพิทักษ์เสาที่ตนถูกโยนลงไปข้างใต้รวมไปถึงตัวอาคารทั้งหมดจากความโชคร้าย บ่อยครั้งพระเจ้าแผ่นดินจึงทรงมักให้ข้าทาสไม่กี่คนไปจับกุมสตรีที่กำลังตั้งครรภ์อย่างไม่ใส่พระทัย แต่จะเว้นไม่จับกุมสตรีที่อยู่ในเรือนนอกจากหาใครไม่เจอบนถนนแล้ว สตรีเหล่านี้ถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าพระมเหสี ซึ่งจะทรงดูแลพวกนางราวกับพวกนางจะมีพระประสูติกาลให้พระเจ้าแผ่นดินก็ว่าได้ หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกนาง (ขออภัยสำหรับคำพูดหยาบคาย) จะถูกโยนลงหลุมโดยให้หงายท้องขึ้น แล้วเสาเข็มจะตอกบนครรภ์จนทะลุไป
ทั่วกรุงศรีอยุทธยามีแม่น้ำไหลผ่านแปดสาย บริเวณที่แม่น้ำไหลผ่านเข้าออกพระนครจะมีการสร้างประตูที่มีเสาสูงสองเสาสูงประมาณแปดฟาทอม (๔๘ ฟุต) และหนาหนึ่งฟาทอม (๖ ฟุต) เสานี้เชื่อมกันด้านบนด้วยเสาแนวขวางสองเสา ช่องว่างระหว่างเสามีการตกแต่งประดับด้วยไม้
เมื่อรวมประตูไชย (ประตูทางใต้ของกาะเมืองอยุธยา-ศรีสรรเพชญ์) หรือประตูแห่งหัวใจ (เป็นทางเข้าพระราชวัง) จะมีประตูพระนครทั้งหมด ๑๗ ประตู เมื่อต้นปี ๑๖๓๔ พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันโปรดให้สร้างประตูใหม่ทั้งหมด ประตูเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นประตูวัด วิหาร บ้านเรือน หรือพระราชวัง (ไม่ว่าจะน่าเกลียดหรือไม่สำคัญก็) ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสยาม พระองค์จึงมีพระราชโองการให้โยนสตรีที่กำลังตั้งครรภ์สองคนลงไปใต้เสาเข็มแต่ละเสา ทั้งหมดต้องใช้สตรี ๖๘ คนสำหรับ ๑๗ ประตู เพื่อการณ์นี้สตรีบางคนจึงถูกนำตัวเข้าพระราชวัง แต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นในทั้งสองวันที่ผู้หญิงห้าคนถูกจับมาได้คลอดบุตรในเวลาเดียวกับที่ถูกพาตัวเข้ามาในพระราชวัง นี่ทำให้เกิดความหดหู่ขึ้นในราชสำนักและเชื่อกันว่าเป็นปาฏิหาริย์
ออกญาจักรี (ผู้ซึ่งในปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นออกญาสุโขทัย และเป็นผู้ที่มั่นใจในตนเองสูง) กล้าพอที่จะกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดในบรรดาเทพยดาแห่งองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวไม่ทรงโปรดให้โยนสตรีลงหลุมใต้เสาเข็ม แต่เพื่อที่จะประนีประนอมกับปิศาจ (ซึ่งชาวสยามเชื่อว่าสิงสถิตอยู่ในประตูเหล่านี้) ออกญาจักรีจึงทูลเสนอพระเจ้าแผ่นดินให้ทำพิธีแค่ที่ประตูไชยเท่านั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบและมีพระราชโองการให้เหลือสตรีไว้แค่สี่นางเท่านั้น
สตรีคนอื่นๆ (ทั้งคนที่คลอดบุตรไปแล้วและยังไม่คลอด) ถูกจับโกนศีรษะ แล้วถูกฟันสองแผลบนศีรษะ ได้รับแจ้งว่าเทพยดาทรงประทานชีวิตพวกนางไว้ในพระหัตถ์พระเจ้าแผ่นดินและพวกนางสมควรตาย แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงไว้ซึ่งพระเมตตากรุณามากกว่าเทพยดา พวกนางทุกคนจึงสามารถกลับบ้านได้ ยกเว้นหญิงอีกสี่คนที่ได้กล่าวไปแล้วที่ถูกโยนลงหลุมใต้เสาเข็มประตูไชย"
อ่านดูแล้วจากเนื้อหาสันนิษฐานว่าออกญาจักรีคงจะพยายามช่วยชีวิตผู้หญิงเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด
เรื่องนี้อาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีความใกล้เคียงกับเรื่องที่เล่าขานเกี่ยวกับการตอกเสาเข็มของไทยอยู่หลายอย่าง เช่นบางที่บอกว่าการตอกเสาเข็มมักใช้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เพราะเมื่อตอกเสาเข็มแล้วก็จะได้วิญญาณถึง ๒ ดวง บางที่ก็เรียกว่าเป็นหญิงตั้งครรภ์ว่าพวก "สี่หูสี่ตา"
ความคิดเห็นที่ 9
ี่จริงในละครทำเอาตามอารมณ์ ภิกษุที่ไหนจะมาร่วมสังฆกรรมปาณาติบาต ด้วยการฆ่าสัตว์อยู่ในปฐมศีล มานั่งดูเขาฆ่าคนแทนที่จะห้ามกลับนั่งดูเฉยๆ ประเพณีนี้ไม่มีหนังเขียนเอาเอง จะมีก็แต่พราหมณ์ เคยได้อ่านจากที่ไหนนี้แหละว่า มีคนถาม ร.1ว่าจะให้หาคนมาเตรียมเลยดีไหมจะได้ไม่ชักช้า ร.1ท่านเลยบอกว่าอยุธยาก็ทำแบบนี้แต่ทำไมโดนเผาซะไม่เหลือแสดงว่ามันใช้ไม่ได้ผลท่านเลยไม่ให้ทำเพราะมันไร้ประโยชน์อีกทั้งยังไว้ชีวิตคนได้ด้วย
ความคิดเห็นที่ 11
เรื่องที่ระบุว่ามีการตอกเสาเข็มในสมัยรัชกาลที่ ๑ เหมือนเป็นเพียงเล่าลือกันมามากกว่า เพราะไม่มีหลักฐานปรากฏจริงว่าคิดจะมีการทำพิธีนี้ในสมัยนั้นครับ
สมัยนั้นน่าจะทำตามตำราพระราชพิธีฝังหลุมพระนคร หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตำราพระราชพิธีนครฐาน"
โดยกล่าวแค่ว่า ให้เอาดินจากทิศทั้ง ๔ มาปั้นเท่าผลมะตูม สมมติว่าเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีคนถือก้อนดินคนละก้อนยืนปากหลุมทั้ง ๔ ทิศ เมื่อทำพิธีมีโหรผู้ใหญ่ถามถึงก้อนดินแต่ละก้อนนั้นมีคุณสมบัติประการใด ผู้ที่ถือก้อนดินก็ตอบไปตามลำดับคือ
คนที่ถือธาตุดินตอบว่า "มีพระคุณจะทรงไว้ซึ่งอายุพระนครให้บริบูรณ์ด้วยคามนิคมเป็นที่ประชุมประชาชนพลพาหนะตั้งแต่ประถมตามเท่าอวสาน"
คนที่ถือธาตุน้ำตอบว่า "มีพระคุณให้สมเด็จบรมกษัตริย์แลเสนาอำมาตย์ราษฎรทั้งหลายเจริญอายุวรรณะสุขะพละสิริสวัสดิมงคลทั้งปวง"
คนที่ถือธาตุไฟตอบว่า "มีพระคุณให้โยธาทหารทั้งปวงแกล้วกล้า มีตบะเดชะแก่หมู่ข้าศึก"
คนที่ถือธาตุลมตอบว่า "มีพระคุณให้เจริญสมบัติธนธัญญาหารกสิกรรมวาณิชกรรมต่างๆ"
เมื่อกล่าวตอบครบแล้วก็ทิ้งก้อนดินนั้นลงในหลุมแล้วเชิญแผ่นศิลายันต์ลงในหลุม และเชิญหลักตั้งบนแผ่นศิลานั้น อัญเชิญเทวดาเข้าประจำรักษาหลักพระนคร
สมัยนั้นน่าจะทำตามตำราพระราชพิธีฝังหลุมพระนคร หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตำราพระราชพิธีนครฐาน"
โดยกล่าวแค่ว่า ให้เอาดินจากทิศทั้ง ๔ มาปั้นเท่าผลมะตูม สมมติว่าเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีคนถือก้อนดินคนละก้อนยืนปากหลุมทั้ง ๔ ทิศ เมื่อทำพิธีมีโหรผู้ใหญ่ถามถึงก้อนดินแต่ละก้อนนั้นมีคุณสมบัติประการใด ผู้ที่ถือก้อนดินก็ตอบไปตามลำดับคือ
คนที่ถือธาตุดินตอบว่า "มีพระคุณจะทรงไว้ซึ่งอายุพระนครให้บริบูรณ์ด้วยคามนิคมเป็นที่ประชุมประชาชนพลพาหนะตั้งแต่ประถมตามเท่าอวสาน"
คนที่ถือธาตุน้ำตอบว่า "มีพระคุณให้สมเด็จบรมกษัตริย์แลเสนาอำมาตย์ราษฎรทั้งหลายเจริญอายุวรรณะสุขะพละสิริสวัสดิมงคลทั้งปวง"
คนที่ถือธาตุไฟตอบว่า "มีพระคุณให้โยธาทหารทั้งปวงแกล้วกล้า มีตบะเดชะแก่หมู่ข้าศึก"
คนที่ถือธาตุลมตอบว่า "มีพระคุณให้เจริญสมบัติธนธัญญาหารกสิกรรมวาณิชกรรมต่างๆ"
เมื่อกล่าวตอบครบแล้วก็ทิ้งก้อนดินนั้นลงในหลุมแล้วเชิญแผ่นศิลายันต์ลงในหลุม และเชิญหลักตั้งบนแผ่นศิลานั้น อัญเชิญเทวดาเข้าประจำรักษาหลักพระนคร
ความคิดเห็นที่ 25
เท่าที่เคยได้ยินมา
สมัยโบราณ เวลาจะสร้างประตูชัย ศาลหลักเมือง จะจับคนมาฝังทั้งเป็นเพื่อให้ดวงวิญญาณคอยเฝ้า
โดยจะทำการไปเรียกตัวตามบ้าน ซึ่งทุกคนก็จะปิดบ้านเงียบ เหมือนว่าไม่อยู่บ้าน
หากใครเผลอ ขานรับ ก็จะถูกจับได้ว่า อยู่บ้าน ทางการก็จะนำตัวไปประกอบพิธี
และมันก็เลยกลายเป็น คำพูดของคนแก่ที่ว่า ถ้ามีใครมาเรียกชื่อยามค่ำคืน อย่าขานรับ เพราะผีจะมาเอาตัวไป
แต่จริงๆ แล้วจะเป็นยังไง อันนี้ ไม่รู้ครับ
สมัยโบราณ เวลาจะสร้างประตูชัย ศาลหลักเมือง จะจับคนมาฝังทั้งเป็นเพื่อให้ดวงวิญญาณคอยเฝ้า
โดยจะทำการไปเรียกตัวตามบ้าน ซึ่งทุกคนก็จะปิดบ้านเงียบ เหมือนว่าไม่อยู่บ้าน
หากใครเผลอ ขานรับ ก็จะถูกจับได้ว่า อยู่บ้าน ทางการก็จะนำตัวไปประกอบพิธี
และมันก็เลยกลายเป็น คำพูดของคนแก่ที่ว่า ถ้ามีใครมาเรียกชื่อยามค่ำคืน อย่าขานรับ เพราะผีจะมาเอาตัวไป
แต่จริงๆ แล้วจะเป็นยังไง อันนี้ ไม่รู้ครับ
แสดงความคิดเห็น
"อินทร์ จันทร์ มั่น คง อยู่ ดี" พิธีตอกเสาเข็มในละคร "เจ้ากรรมนายเวร"
ตอนนั้นเราดูแล้วกลัวมากค่ะ แต่จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว อยากเห็นเอามารีเมคอีกจัง