***ระวังโดนสปอยสำหรับใครที่ยังดูไม่ถึงตอนเก้า***
***พิมพ์เยอะมาก(ส์ส์ส์ส์ส์ส์ส์++) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้***
***การเดาสุ่ม ความงงงวย และความหละหลวมที่เพิ่มมากขึ้นจากการรวบรัด อ้างอิงหลายประเทศ จึงควรใช้วิจารณญาณในการดูด้วย***
***ถ้าใครมาใหม่ อยากรู้ว่าเจ้าพวกนี้คุยเรื่องอะไรกันกลับไปอ่านกระทู้เก่านี้ได้***
เมื่อความว่างบวกกับความบ้า กระทู้นี้จึงได้เกิดขึ้น
งวดนี้คิดว่าเอาแบบสบาย ๆ หน่อยละกัน ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก (จริงเหรอ?)
เนื่องจากประเด็นของสงครามโลกครั้งที่ 2 จากกระทู้เก่าล่าสุด มันยังมี “ความหละหลวม” มาก (จากการเดามั่ว) แต่ขณะเดียวกันก็มีความน่าสนใจอยู่ (งี้แหละ จขกท.โรคจิตนะ) แรกเริ่มมาการอ้างอิงความเป็นโชวะในเรื่องนั้นเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ลึกไปมากกว่านั้นจึงได้ลองวิเคราะห์แบบเทียบเรียงลำดับกับประวัติศาสตร์จริง (อยากจะเดาต่อว่างั้น) ซึ่งก็ลองเทียบกับคู่ขัดแย้งเพื่อให้เห็นความชัดเจนที่มากขึ้นด้วย (ถึงจะไม่ชอบเทียบแบบ “เหมือนแป๊ะ” ก็เถอะ เพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนกันไปหมด) และจะได้เห็น “ข้อจำกัด” ของการเทียบเคียงตามประวัติศาสตร์ ว่าอะไรมีความเหมือน หรือไม่เหมือนบ้าง รวมไปถึงจะได้พอเข้าใจความเป็นไปได้ต่าง ๆ ให้มากขึ้นว่าผู้เขียนต้องการสื่อถึงประเด็นอะไรในเรื่องบ้าง วันนี้จขกท.จึงตัดสินใจจะลองมาวาด “แผนภาพ” แบบไม่เป็นทางการให้ดูนะ (อ้างอิงบางกลุ่มประเทศที่น่าพิจารณา)
(อืม ๆ แบ่งเป็น 3 ส่วนเฉย ๆ น่าจะดูไม่ค่อยงงนะ..)
จากแผนภาพเป็นการวิเคราะห์ของจขกท.ซึ่งเป็นการมองเห็น “ภาพแรก” ในหัว คือดู ๆ ไปแล้ว หากอนิเมมีภาคสอง ก็จะสามารถมองภาพแต่ผิวเผินได้แบบนี้ แสดงให้เห็นดังแผนภาพว่าจขกท.มีการโยงเอา “Cold war” หรือ “สงครามเย็น” เข้ามาเกี่ยวด้วย คิดว่าคนเขียนอาจจะตั้งใจเล่าเรื่องเรียงลำดับกันไปเลย มองง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนว่าภาคแรกคือ WWII ต่อด้วยภาคสองคือ Cold War ในการดำเนินเรื่องปัจจุบันซึ่งเป็นภาคแรก อาจต้องการสื่อถึงประเด็นที่ฝ่ายอักษะสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้ เพราะมันเห็นได้ชัดจากความสอดคล้องในรูปแบบการปกครองอยู่แล้ว ทั้งความเป็นเผด็จการ และการปกครองในลักษณะแบบจักรวรรดินิยม ซึ่งได้มีการอธิบายไปในกระทู้ก่อน โดยเฉพาะในกรณีหากเทียบกับญี่ปุ่นในยุคโชวะส่วนแรก ซึ่งตรงกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (แต่ถ้าเทียบกับเยอรมันในช่วงเวลาเดียวกันจะเป็น “จักรวรรดิไรช์ที่สาม”) จากนั้นเนื้อเรื่องในภาคสองก็จะเป็นในรูปแบบที่หลาย ๆ คนคิดกัน ว่าเป็นการเผชิญหน้ากับ “บอสที่แท้จริง” ซึ่ง ณ ตอนนี้กลุ่มคนเบื้องหลังที่เป็นองค์กรใหญ่ยักษ์อันเห็นได้ชัดจะมีอยู่สอง ก็คือ “คิริวอิน” กับ “Nudist Beach” ในอนาคตทั้งริวโกะ และซัตสึกิจะมีชะตากรรมอย่างไรก็ยังไม่รู้ จะเลือกข้าง หรือจะไม่เลือก อะไรเป็นยังไงยังเดาไม่ถูก
แต่ทีนี้จขกท.ลองสังเกตดู และก็คิดว่า WWII กับ Cold war มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างมาก อีกทั้งเนื้อเรื่องในอนิเมคล้ายมีความจงใจที่จะทำให้มันคาบเกี่ยวกันเพื่อให้นำเรื่องไปสู่การต่อสู้ในภาคสอง (หากมีต่อ) จึงทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้โครงสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ รวมไปถึงโครงสร้างอำนาจมีลักษณะเชิงซ้อนอีกชั้นกับ Cold War และเพราะด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ดังเช่น การลองเปรียบไปว่าหาก “ราเกียว” แม่ของซัตสึกิ คือ “อเมริกา” ละ? เพราะความเป็นจ้าวแห่ง “ทุนนิยม” จากการวิเคราะห์ในกระทู้ที่แล้ว เป็นต้น จึงได้นำมาสู่แผนภาพถัดไป ซึ่งก็ดูเข้าเค้าแบบงง ๆ อยู่เหมือนกัน ดังด้านล่างนี้
(เด็กแนว? อ๋อ คือเธอเป็นคนแนว ๆ นะ แต่ไม่รู้อยู่แนวไหน เลยเอาไปใส่ไว้ฝั่งที่เธอมีส่วนสนับสนุนในทางปฏิบัติละกัน)
หลายคนอาจสงสัยว่า อ้าว อเมริกาจะอยู่ข้างเดียวกับอักษะได้ไง? ก็บอกไปแล้วว่ามันเป็นแบบ “เชิงซ้อน” คือมันเหมือนจะทับกันอยู่ และจริง ๆ แล้วประวัติศาสตร์โลกมันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะนะ ถ้าจะศึกษาจริง ๆ ก็ต้องไปดูตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ดูมาเรื่อย ๆ เห็นลัทธิชาตินิยม การแข่งขันกันล่าอาณานิคมไปทั่วโลก (Colonization) จะพูดก็ได้ว่า “ทุนนิยม” หรือแนวความคิดของชาติมหาอำนาจที่ต้องการครอบครอง และแสวงผลประโยชน์ไปทั่วโลก ได้นำมาสู่การแข่งขันกันเอง และเกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มากมายที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วก็เชื่อมต่อเนื่องไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็เลยไปต่อกันที่สงครามเย็นด้วย สรุปคือ “อเมริกา” นะเป็นแค่ความเป็นไปได้เท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้ว “ราเกียว” ไม่ใช่ “อเมริกา” (จะตัดความเป็นอเมริกาไปก็ได้เพราะมันชัดเจนตรงความเป็นทุนนิยมโดยทั่วไปของจักรวรรดิอยู่แล้ว แต่ที่ได้ตั้งใจลองอ้างอิงเพราะมันเชื่อมกับ Cold War นี่แหละ) รวมไปถึงพวก “Nudist Beach” ด้วย ก็ไม่ใช่ “โซเวียต” (พวก Nudist ในโลกจริงทุกคนไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์นะ ถึงแม้หลักการโดยแก่นของมันอาจจะคล้ายกันอยู่ แต่ก็เป็นคนละอย่างกัน ไม่เกี่ยวกัน) นี่มันคืออนิเมชื่อ Kill la Kill นะ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์จริง ๆ จขกท.แค่อยากจะลองนำเสนอภาพให้ชัดเท่านั้นเอง ต้องเข้าใจว่ามันไม่เหมือนกัน 100% นะ
และจากการได้วาดแผนภาพอันที่สองด้านบน ทำให้จขกท.มองภาพได้ลึกขึ้นไปอีกขั้นในประเด็นของ “Cold War” ก่อเกิดเป็นความเป็นไปได้ถัดไปที่น่าสนใจไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากแผนภาพอันต่อไป
(เฮ้อ... ชีวิต...)
นี่แหละ มองได้ตรง ๆ ตามแผนภาพเลย ซึ่งสมมติฐานนี้มันกำลังบอกกับเราว่า ภาคแรกคือสถานการณ์ของ “Cold War” ต่างหาก!?! เนื่องด้วยเพราะมันใช่ที่การปกครองในเรื่องมีความสอดคล้องกับ WWII จริง แต่มันก็ช่างดูคล้ายกับสงครามเย็นเสียเหลือเกินในสายตาของจขกท.ด้วย มองได้ว่ามันคือการแบ่งเป็นสองขั้วที่คานอำนาจกันและกัน อาจจะเหมือนกำลังดูเชิงกันไปกันมาอยู่ระหว่าง “คันโต” ที่ครอบครองโดยคิริวอิน และ “คันไซ” ที่เป็น Nudist Beach แล้วยังสอดคล้องกันอีกกับสถานการณ์ของเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเยอรมันถูกแบ่งเป็น “เยอรมันตะวันตก” ที่ถูกชักนำโดยอเมริกา กับ “เยอรมันตะวันออก” ที่ถูกชักนำโดยโซเวียต (ทุกคนคงจะจำกำแพงเบอร์ลินกันได้อยู่แล้วละนะ) แต่จะต่างกันกับอนิเมอยู่หน่อยตรงที่ “คันโต” ซึ่งอาจเป็นฝ่ายอเมริกาจะอยู่ฝั่งตะวันออก ส่วน “คันไซ” ที่อาจเป็นฝ่ายโซเวียตจะอยู่ฝั่งตะวันตก
แล้วถ้าหากสถานการณ์การดำเนินเรื่องในปัจจุบัน ตั้งแต่ตอนแรกมาถึงตอนเก้านี้คือสงครามเย็น จขกท.จึงขบคิดในประเด็นนี้และลองวาดแผนภาพขึ้นมาอีกอัน
(..งงจุงเบย..)
แผนภาพนี้เป็นการแทนการดำเนินเรื่องในปัจจุบันด้วย Cold War โดยในการเปรียบเทียบตามลำดับเหตุการณ์ตามประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าสงครามโลกครั้งที่สองเป็น “อดีต” ที่ผ่านไปแล้ว คล้องจองกันกับภาพเหตุการณ์ในอดีตของซัตสึกิที่ออกเดินทางตามอุดมการณ์ รวบรวมเหล่าโรงเรียนฝั่งคันโตมาไว้ในครอบครอง แสดงถึงจักรวรรดินิยมที่กำลังขับเคลื่อนกลไกของมันอยู่ในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ ณ ปัจจุบันจะเป็นสถานการณ์ของสงครามเย็น ที่มีสองมหาอำนาจกำลังดูเชิง รุกรับกันอยู่ และทำให้คำกล่าวในคห.ของกระทู้ที่แล้ว ๆ ว่าสภาพบ้านเมืองที่นำเสนอในเรื่องเป็นยุคของโชวะที่เป็น “ยุคทอง” อันเป็นฝนเศรษฐกิจ กลายเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง คือเป็นยุคโชวะส่วนสองและสาม ที่เป็น “ยุคหลังสงคราม” ขัดกับการมองภาพเริ่มแรกแต่ผิวเผินของจขกท.ที่เข้าใจว่าเป็น WWII แต่จริง ๆ แล้วอนิเมเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ไปเน้นตรงนั้น เพราะดูเหมือนเนื้อเรื่องมันจะต่อเนื่องกันก็เถอะ และกลับเป็นว่าไปเน้นที่สงครามเย็นแทน ซึ่งการยืนยันความเป็นโชวะในยุคหลังสงครามก็น่าจะเป็น “การเผยแพร่ภาพทางโทรทัศน์” ซึ่งมีการแสดงให้เห็นในอนิเมตอนเก้าอย่างชัดเจน โดยเริ่มเผยแพร่ในญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในปี 1950 (ถึงจะมีการลองทดสอบจริงมาตั้งแต่ 1926 แล้วก็ตาม) โดยจขกท.ก็เห็นด้วยว่าอาจจะเป็นยุคหลังสงคราม แต่เรื่องที่เป็น “ยุคทอง” อันนี้ก็มีความขัดกันอยู่มากกับสภาพบ้านเมืองที่สื่ออยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะด้านการเมือง การปกครองที่ยังดูไม่ใช่ประชาธิปไตยระบอบรัฐสภา เหมือนไม่ค่อยมีการพัฒนาเท่าที่ควร (ยกเว้นเทคโนโลยี ข้าวของเครื่องใช้ในสังคมชนชั้นสูง) และสังคมยังไม่มีความเท่าเทียมกันจนพอจะเรียกได้อย่างเต็มภาคภูมิว่านี่คือสังคมที่พัฒนาแล้ว ดังที่จะเห็นได้ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของญี่ปุ่นในยุคหลังจากที่แพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
ทีนี้จุดที่น่าสนใจอีกเรื่องก็จะวกกลับไปยัง Post-apocalyptic fiction ที่พูดถึงดังกระทู้ที่แล้ว เพราะมันหมายความตามแผนภาพว่าเราเอา “อดีต” ที่เกิดขึ้นแล้วคือ WWII เป็นเหตุการณ์เบื้องหลัง เลยทำให้หายนะของระเบิดปรมาณู 2 ลูก กับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กลายเป็นสิ่งที่ได้อุบัติขึ้นไปแล้วในอดีต สอดคล้องกันอีกถ้าหากจะมองว่าความเป็น Post-apocalyptic ก็คือเรื่องต่าง ๆ ที่ยังไม่เปิดเผย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับหายนะดังกล่าว
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่ามีข้อจำกัดอยู่เต็มไปหมดในการเทียบเรื่องกับประวัติศาสตร์จริง ๆ ซึ่งถือเป็นข้อด้อยของการตั้งใจเทียบ โดยเฉพาะในกรณีที่ย้อนกลับไปดูอดีตของ WWI ซึ่งมันอาจจะแทนคู่ขัดแย้งกันได้ และไม่ได้ จึงละเอาไว้เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไปสืบสาวเอาขนาดนั้น และในกรณีที่มุ่งไปยังอนาคตซึ่งไปเจอกับ “การล่มสลายของสหภาพโซเวียต” ที่อาจจะหมายถึง “ชัยชนะของอเมริกา” ดังนั้นหากเราแทน “ราเกียว” ด้วยอเมริกาอันเป็นจ้าวแห่งทุนนิยมโลก ซึ่งตามการดำเนินเรื่องและการเดาด้วยความรู้สึกส่วนตัวของจขกท.แล้ว อนิเมเรื่องนี้อาจจะไม่ได้จบง่าย ๆ ดังตามประวัติศาสตร์ หรือก็คือจบไม่เหมือนกับประวัติศาสตร์นั่นแหละ เพราะจากที่วิเคราะห์มาจนถึงนี่ก็จะเข้าใจแล้วว่ามันเทียบกันได้ลำบากกว่าที่คิด และมีการผสมปนเปของยุคสมัยที่ไม่มีแบบแผนตายตัวจนงงไปหมด
โดยสรุปเรื่อง Kill la Kill นี้ยังคงต้องติดตามกันต่อไปอีก เพราะยังไม่มีความชัดเจนถึงขนาดฟันธงได้ และเป็นวิจารณญาณของคนดูที่จะตัดสินใจว่ามันเทียบกับประวัติศาสตร์จริงได้ หรือไม่ได้ โดยส่วนตัวของจขกท.แล้วมองว่ามันเป็นไปได้ทั้งสองแบบ เพราะด้วยการอ้างอิงความเป็นโชวะ และคู่ขัดแย้งต่าง ๆ เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่จะเป็นเงื่อนไขในการชี้นำคนดูให้เข้าใจ จับต้นชนปลายความเป็นไปของเรื่องราวได้มากขึ้น จขกท.ประมาณเริ่มต้นด้วยความอยากรู้ของตัวเองได้ดังนี้คือ 1.) ความสัมพันธ์ระหว่างราเกียว (แม่) ซัตสึกิ และตระกูลคิริวอินที่เหลือเป็นอย่างไร 2.)กลุ่มคนใน Nudist Beach ที่ยังไม่เผยออกมามีเป้าหมายอะไร ขัดแย้งอย่างไรกับคิริวอิน 3.) ความสัมพันธ์ระหว่าง Dr. Matoi กับ Nudist Beach เป็นอย่างไร
จบไปกับความบ้า ๆ บอ ๆ ของจขกท.กับวันว่าง ๆ ช่วงนี้
ขอบพระคุณอย่างยิ่งเลยค่ะที่ทนอ่านมาได้ 555555
สำหรับตัวเองแล้วนั่งคิดอะไรแบบนี้นี่สนุกสุด ๆ ไปเลย ถ้าเป็นไปได้เร็ว ๆ นี้จะรีบวิเคราะห์ต่อเพราะค้างไว้เยอะตั้งแต่ตอนเจ็ด
นอกจากนี้ก็ได้ลองเปิด
บล๊อกเอาไว้แล้วเผื่อใครอยากอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ (แต่อาจจะเสียอรรถรสหน่อยตรงที่จะไม่ได้อ่านคห.ต่าง ๆ ในกระทู้)
ถึงตรงนี้แล้ว ไม่ค่อยอยากเข้าเรื่องการเมือง แต่เนื่องจากช่วงนี้มีหลายเรื่องที่ต้องระวังเยอะ ก็ขอจบด้วยคำแนะนำให้รักษาตัวดี ๆ ด้วยละกัน โชคดีและไม่ประมาทนะทุกคน
จงมาคุยเรื่อง KILL la KILL กันให้สนุกสนานแล้วมองให้ทะลุถึงตับไตไส้พุงกันเถอะ!!![4.5]
***พิมพ์เยอะมาก(ส์ส์ส์ส์ส์ส์ส์++) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้***
***การเดาสุ่ม ความงงงวย และความหละหลวมที่เพิ่มมากขึ้นจากการรวบรัด อ้างอิงหลายประเทศ จึงควรใช้วิจารณญาณในการดูด้วย***
***ถ้าใครมาใหม่ อยากรู้ว่าเจ้าพวกนี้คุยเรื่องอะไรกันกลับไปอ่านกระทู้เก่านี้ได้***
เมื่อความว่างบวกกับความบ้า กระทู้นี้จึงได้เกิดขึ้น
งวดนี้คิดว่าเอาแบบสบาย ๆ หน่อยละกัน ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก (จริงเหรอ?)
เนื่องจากประเด็นของสงครามโลกครั้งที่ 2 จากกระทู้เก่าล่าสุด มันยังมี “ความหละหลวม” มาก (จากการเดามั่ว) แต่ขณะเดียวกันก็มีความน่าสนใจอยู่ (งี้แหละ จขกท.โรคจิตนะ) แรกเริ่มมาการอ้างอิงความเป็นโชวะในเรื่องนั้นเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ลึกไปมากกว่านั้นจึงได้ลองวิเคราะห์แบบเทียบเรียงลำดับกับประวัติศาสตร์จริง (อยากจะเดาต่อว่างั้น) ซึ่งก็ลองเทียบกับคู่ขัดแย้งเพื่อให้เห็นความชัดเจนที่มากขึ้นด้วย (ถึงจะไม่ชอบเทียบแบบ “เหมือนแป๊ะ” ก็เถอะ เพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนกันไปหมด) และจะได้เห็น “ข้อจำกัด” ของการเทียบเคียงตามประวัติศาสตร์ ว่าอะไรมีความเหมือน หรือไม่เหมือนบ้าง รวมไปถึงจะได้พอเข้าใจความเป็นไปได้ต่าง ๆ ให้มากขึ้นว่าผู้เขียนต้องการสื่อถึงประเด็นอะไรในเรื่องบ้าง วันนี้จขกท.จึงตัดสินใจจะลองมาวาด “แผนภาพ” แบบไม่เป็นทางการให้ดูนะ (อ้างอิงบางกลุ่มประเทศที่น่าพิจารณา)
จากแผนภาพเป็นการวิเคราะห์ของจขกท.ซึ่งเป็นการมองเห็น “ภาพแรก” ในหัว คือดู ๆ ไปแล้ว หากอนิเมมีภาคสอง ก็จะสามารถมองภาพแต่ผิวเผินได้แบบนี้ แสดงให้เห็นดังแผนภาพว่าจขกท.มีการโยงเอา “Cold war” หรือ “สงครามเย็น” เข้ามาเกี่ยวด้วย คิดว่าคนเขียนอาจจะตั้งใจเล่าเรื่องเรียงลำดับกันไปเลย มองง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนว่าภาคแรกคือ WWII ต่อด้วยภาคสองคือ Cold War ในการดำเนินเรื่องปัจจุบันซึ่งเป็นภาคแรก อาจต้องการสื่อถึงประเด็นที่ฝ่ายอักษะสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้ เพราะมันเห็นได้ชัดจากความสอดคล้องในรูปแบบการปกครองอยู่แล้ว ทั้งความเป็นเผด็จการ และการปกครองในลักษณะแบบจักรวรรดินิยม ซึ่งได้มีการอธิบายไปในกระทู้ก่อน โดยเฉพาะในกรณีหากเทียบกับญี่ปุ่นในยุคโชวะส่วนแรก ซึ่งตรงกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (แต่ถ้าเทียบกับเยอรมันในช่วงเวลาเดียวกันจะเป็น “จักรวรรดิไรช์ที่สาม”) จากนั้นเนื้อเรื่องในภาคสองก็จะเป็นในรูปแบบที่หลาย ๆ คนคิดกัน ว่าเป็นการเผชิญหน้ากับ “บอสที่แท้จริง” ซึ่ง ณ ตอนนี้กลุ่มคนเบื้องหลังที่เป็นองค์กรใหญ่ยักษ์อันเห็นได้ชัดจะมีอยู่สอง ก็คือ “คิริวอิน” กับ “Nudist Beach” ในอนาคตทั้งริวโกะ และซัตสึกิจะมีชะตากรรมอย่างไรก็ยังไม่รู้ จะเลือกข้าง หรือจะไม่เลือก อะไรเป็นยังไงยังเดาไม่ถูก
แต่ทีนี้จขกท.ลองสังเกตดู และก็คิดว่า WWII กับ Cold war มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างมาก อีกทั้งเนื้อเรื่องในอนิเมคล้ายมีความจงใจที่จะทำให้มันคาบเกี่ยวกันเพื่อให้นำเรื่องไปสู่การต่อสู้ในภาคสอง (หากมีต่อ) จึงทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้โครงสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ รวมไปถึงโครงสร้างอำนาจมีลักษณะเชิงซ้อนอีกชั้นกับ Cold War และเพราะด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ดังเช่น การลองเปรียบไปว่าหาก “ราเกียว” แม่ของซัตสึกิ คือ “อเมริกา” ละ? เพราะความเป็นจ้าวแห่ง “ทุนนิยม” จากการวิเคราะห์ในกระทู้ที่แล้ว เป็นต้น จึงได้นำมาสู่แผนภาพถัดไป ซึ่งก็ดูเข้าเค้าแบบงง ๆ อยู่เหมือนกัน ดังด้านล่างนี้
หลายคนอาจสงสัยว่า อ้าว อเมริกาจะอยู่ข้างเดียวกับอักษะได้ไง? ก็บอกไปแล้วว่ามันเป็นแบบ “เชิงซ้อน” คือมันเหมือนจะทับกันอยู่ และจริง ๆ แล้วประวัติศาสตร์โลกมันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะนะ ถ้าจะศึกษาจริง ๆ ก็ต้องไปดูตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ดูมาเรื่อย ๆ เห็นลัทธิชาตินิยม การแข่งขันกันล่าอาณานิคมไปทั่วโลก (Colonization) จะพูดก็ได้ว่า “ทุนนิยม” หรือแนวความคิดของชาติมหาอำนาจที่ต้องการครอบครอง และแสวงผลประโยชน์ไปทั่วโลก ได้นำมาสู่การแข่งขันกันเอง และเกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มากมายที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วก็เชื่อมต่อเนื่องไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็เลยไปต่อกันที่สงครามเย็นด้วย สรุปคือ “อเมริกา” นะเป็นแค่ความเป็นไปได้เท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้ว “ราเกียว” ไม่ใช่ “อเมริกา” (จะตัดความเป็นอเมริกาไปก็ได้เพราะมันชัดเจนตรงความเป็นทุนนิยมโดยทั่วไปของจักรวรรดิอยู่แล้ว แต่ที่ได้ตั้งใจลองอ้างอิงเพราะมันเชื่อมกับ Cold War นี่แหละ) รวมไปถึงพวก “Nudist Beach” ด้วย ก็ไม่ใช่ “โซเวียต” (พวก Nudist ในโลกจริงทุกคนไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเป็นคอมมิวนิสต์นะ ถึงแม้หลักการโดยแก่นของมันอาจจะคล้ายกันอยู่ แต่ก็เป็นคนละอย่างกัน ไม่เกี่ยวกัน) นี่มันคืออนิเมชื่อ Kill la Kill นะ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์จริง ๆ จขกท.แค่อยากจะลองนำเสนอภาพให้ชัดเท่านั้นเอง ต้องเข้าใจว่ามันไม่เหมือนกัน 100% นะ
และจากการได้วาดแผนภาพอันที่สองด้านบน ทำให้จขกท.มองภาพได้ลึกขึ้นไปอีกขั้นในประเด็นของ “Cold War” ก่อเกิดเป็นความเป็นไปได้ถัดไปที่น่าสนใจไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากแผนภาพอันต่อไป
นี่แหละ มองได้ตรง ๆ ตามแผนภาพเลย ซึ่งสมมติฐานนี้มันกำลังบอกกับเราว่า ภาคแรกคือสถานการณ์ของ “Cold War” ต่างหาก!?! เนื่องด้วยเพราะมันใช่ที่การปกครองในเรื่องมีความสอดคล้องกับ WWII จริง แต่มันก็ช่างดูคล้ายกับสงครามเย็นเสียเหลือเกินในสายตาของจขกท.ด้วย มองได้ว่ามันคือการแบ่งเป็นสองขั้วที่คานอำนาจกันและกัน อาจจะเหมือนกำลังดูเชิงกันไปกันมาอยู่ระหว่าง “คันโต” ที่ครอบครองโดยคิริวอิน และ “คันไซ” ที่เป็น Nudist Beach แล้วยังสอดคล้องกันอีกกับสถานการณ์ของเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเยอรมันถูกแบ่งเป็น “เยอรมันตะวันตก” ที่ถูกชักนำโดยอเมริกา กับ “เยอรมันตะวันออก” ที่ถูกชักนำโดยโซเวียต (ทุกคนคงจะจำกำแพงเบอร์ลินกันได้อยู่แล้วละนะ) แต่จะต่างกันกับอนิเมอยู่หน่อยตรงที่ “คันโต” ซึ่งอาจเป็นฝ่ายอเมริกาจะอยู่ฝั่งตะวันออก ส่วน “คันไซ” ที่อาจเป็นฝ่ายโซเวียตจะอยู่ฝั่งตะวันตก
แล้วถ้าหากสถานการณ์การดำเนินเรื่องในปัจจุบัน ตั้งแต่ตอนแรกมาถึงตอนเก้านี้คือสงครามเย็น จขกท.จึงขบคิดในประเด็นนี้และลองวาดแผนภาพขึ้นมาอีกอัน
แผนภาพนี้เป็นการแทนการดำเนินเรื่องในปัจจุบันด้วย Cold War โดยในการเปรียบเทียบตามลำดับเหตุการณ์ตามประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าสงครามโลกครั้งที่สองเป็น “อดีต” ที่ผ่านไปแล้ว คล้องจองกันกับภาพเหตุการณ์ในอดีตของซัตสึกิที่ออกเดินทางตามอุดมการณ์ รวบรวมเหล่าโรงเรียนฝั่งคันโตมาไว้ในครอบครอง แสดงถึงจักรวรรดินิยมที่กำลังขับเคลื่อนกลไกของมันอยู่ในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ ณ ปัจจุบันจะเป็นสถานการณ์ของสงครามเย็น ที่มีสองมหาอำนาจกำลังดูเชิง รุกรับกันอยู่ และทำให้คำกล่าวในคห.ของกระทู้ที่แล้ว ๆ ว่าสภาพบ้านเมืองที่นำเสนอในเรื่องเป็นยุคของโชวะที่เป็น “ยุคทอง” อันเป็นฝนเศรษฐกิจ กลายเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง คือเป็นยุคโชวะส่วนสองและสาม ที่เป็น “ยุคหลังสงคราม” ขัดกับการมองภาพเริ่มแรกแต่ผิวเผินของจขกท.ที่เข้าใจว่าเป็น WWII แต่จริง ๆ แล้วอนิเมเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ไปเน้นตรงนั้น เพราะดูเหมือนเนื้อเรื่องมันจะต่อเนื่องกันก็เถอะ และกลับเป็นว่าไปเน้นที่สงครามเย็นแทน ซึ่งการยืนยันความเป็นโชวะในยุคหลังสงครามก็น่าจะเป็น “การเผยแพร่ภาพทางโทรทัศน์” ซึ่งมีการแสดงให้เห็นในอนิเมตอนเก้าอย่างชัดเจน โดยเริ่มเผยแพร่ในญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในปี 1950 (ถึงจะมีการลองทดสอบจริงมาตั้งแต่ 1926 แล้วก็ตาม) โดยจขกท.ก็เห็นด้วยว่าอาจจะเป็นยุคหลังสงคราม แต่เรื่องที่เป็น “ยุคทอง” อันนี้ก็มีความขัดกันอยู่มากกับสภาพบ้านเมืองที่สื่ออยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะด้านการเมือง การปกครองที่ยังดูไม่ใช่ประชาธิปไตยระบอบรัฐสภา เหมือนไม่ค่อยมีการพัฒนาเท่าที่ควร (ยกเว้นเทคโนโลยี ข้าวของเครื่องใช้ในสังคมชนชั้นสูง) และสังคมยังไม่มีความเท่าเทียมกันจนพอจะเรียกได้อย่างเต็มภาคภูมิว่านี่คือสังคมที่พัฒนาแล้ว ดังที่จะเห็นได้ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของญี่ปุ่นในยุคหลังจากที่แพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
ทีนี้จุดที่น่าสนใจอีกเรื่องก็จะวกกลับไปยัง Post-apocalyptic fiction ที่พูดถึงดังกระทู้ที่แล้ว เพราะมันหมายความตามแผนภาพว่าเราเอา “อดีต” ที่เกิดขึ้นแล้วคือ WWII เป็นเหตุการณ์เบื้องหลัง เลยทำให้หายนะของระเบิดปรมาณู 2 ลูก กับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กลายเป็นสิ่งที่ได้อุบัติขึ้นไปแล้วในอดีต สอดคล้องกันอีกถ้าหากจะมองว่าความเป็น Post-apocalyptic ก็คือเรื่องต่าง ๆ ที่ยังไม่เปิดเผย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับหายนะดังกล่าว
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่ามีข้อจำกัดอยู่เต็มไปหมดในการเทียบเรื่องกับประวัติศาสตร์จริง ๆ ซึ่งถือเป็นข้อด้อยของการตั้งใจเทียบ โดยเฉพาะในกรณีที่ย้อนกลับไปดูอดีตของ WWI ซึ่งมันอาจจะแทนคู่ขัดแย้งกันได้ และไม่ได้ จึงละเอาไว้เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไปสืบสาวเอาขนาดนั้น และในกรณีที่มุ่งไปยังอนาคตซึ่งไปเจอกับ “การล่มสลายของสหภาพโซเวียต” ที่อาจจะหมายถึง “ชัยชนะของอเมริกา” ดังนั้นหากเราแทน “ราเกียว” ด้วยอเมริกาอันเป็นจ้าวแห่งทุนนิยมโลก ซึ่งตามการดำเนินเรื่องและการเดาด้วยความรู้สึกส่วนตัวของจขกท.แล้ว อนิเมเรื่องนี้อาจจะไม่ได้จบง่าย ๆ ดังตามประวัติศาสตร์ หรือก็คือจบไม่เหมือนกับประวัติศาสตร์นั่นแหละ เพราะจากที่วิเคราะห์มาจนถึงนี่ก็จะเข้าใจแล้วว่ามันเทียบกันได้ลำบากกว่าที่คิด และมีการผสมปนเปของยุคสมัยที่ไม่มีแบบแผนตายตัวจนงงไปหมด
โดยสรุปเรื่อง Kill la Kill นี้ยังคงต้องติดตามกันต่อไปอีก เพราะยังไม่มีความชัดเจนถึงขนาดฟันธงได้ และเป็นวิจารณญาณของคนดูที่จะตัดสินใจว่ามันเทียบกับประวัติศาสตร์จริงได้ หรือไม่ได้ โดยส่วนตัวของจขกท.แล้วมองว่ามันเป็นไปได้ทั้งสองแบบ เพราะด้วยการอ้างอิงความเป็นโชวะ และคู่ขัดแย้งต่าง ๆ เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่จะเป็นเงื่อนไขในการชี้นำคนดูให้เข้าใจ จับต้นชนปลายความเป็นไปของเรื่องราวได้มากขึ้น จขกท.ประมาณเริ่มต้นด้วยความอยากรู้ของตัวเองได้ดังนี้คือ 1.) ความสัมพันธ์ระหว่างราเกียว (แม่) ซัตสึกิ และตระกูลคิริวอินที่เหลือเป็นอย่างไร 2.)กลุ่มคนใน Nudist Beach ที่ยังไม่เผยออกมามีเป้าหมายอะไร ขัดแย้งอย่างไรกับคิริวอิน 3.) ความสัมพันธ์ระหว่าง Dr. Matoi กับ Nudist Beach เป็นอย่างไร
จบไปกับความบ้า ๆ บอ ๆ ของจขกท.กับวันว่าง ๆ ช่วงนี้
ขอบพระคุณอย่างยิ่งเลยค่ะที่ทนอ่านมาได้ 555555
สำหรับตัวเองแล้วนั่งคิดอะไรแบบนี้นี่สนุกสุด ๆ ไปเลย ถ้าเป็นไปได้เร็ว ๆ นี้จะรีบวิเคราะห์ต่อเพราะค้างไว้เยอะตั้งแต่ตอนเจ็ด
นอกจากนี้ก็ได้ลองเปิดบล๊อกเอาไว้แล้วเผื่อใครอยากอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ (แต่อาจจะเสียอรรถรสหน่อยตรงที่จะไม่ได้อ่านคห.ต่าง ๆ ในกระทู้)
ถึงตรงนี้แล้ว ไม่ค่อยอยากเข้าเรื่องการเมือง แต่เนื่องจากช่วงนี้มีหลายเรื่องที่ต้องระวังเยอะ ก็ขอจบด้วยคำแนะนำให้รักษาตัวดี ๆ ด้วยละกัน โชคดีและไม่ประมาทนะทุกคน