หลังจากมือถือที่ใช้งานมา 3 ปี หมดอายุขัยไปแล้ว เลยจำเป็นต้องหาซื้อมือถือใหม่
ก็มองๆหามือถือที่เป็น 2 Sim เบาๆ ราคาไม่เกินหมื่น หน้าจอไม่ใหญ่มาก ใช้งานมือเดียวได้สะดวก แบบ iPhone
แต่ไม่อยากซื้อ iPhone เพราะแลดูแพงเกินความต้องการใช้งาน (ใช้แค่โทรเข้าโทรออก เล่น Line FB ถ่ายรูปนิดหน่อย)
ก็เดินๆดูตามร้านมือถือ และหารุ่นต่างๆตามเวป ส่วนมากที่ฮิตๆกัน ก็จะมี Samsung กับ I-mobile
ซึ่งลองดูหลายๆตัวแล้ว ตัวที่ตอบโจทย์ที่สุดของ 2 ยี่ห้อนี้ ก็จะมี
- Samsung Galaxy Core จอ 4.3 นิ้ว เล็กกำลังดี ลองจับเทียบกับ Win แล้ว Win ใหญ่กว่านิดหน่อย แต่จับไม่ถนัดมือเหมือน Core
แต่ลองอ่านความเห็นผู้ใช้แล้ว ไม่อยากข้องเกี่ยวกับศูนย์บริการ Samsung เลยขอบายดีกว่า
- i-Mobile IQX จับดู เหมือน iPhone เลย กล้องหน้า ถ่ายแล้วเนียนดี (บางยี่ห้อ ถ่ายชัดไป เห็นสิวหมด หุๆ)
แต่ลองอ่านความเห็นผู้ใช้แล้ว ต้องวัดดวงกับการ QC เลยไม่เสี่ยงดีกว่า ก็เลยเดินๆดู ไปเจอยี่ห้อนึง "Alcatel"
ไม่ได้ยินชื่อแบรนด์นี้มานานมากกกก มีรุ่นใหม่ออกมา เป็นซีรี่ Idol ก็ลองๆจับๆดู มีรุ่นนึงที่จับแล้วเหมาะมือมาก เบาหวิวเลย
คือรุ่น One Touch idol mini สเปก ตัวเครื่องเป็นพลาสติก Unibody เปลี่ยนแบต ใส่ SD card ไม่ได้ หน้าจอ 4.3” IPS 854x480,
CPU Dual core 1.3GHz, Ram 512MB, Mem 8GB (เพิ่มไม่ได้), กล้อง 5MP/VGA, Android 4.2, หนา 7.9 mm น้ำหนัก 96 กรัม
(สเปกอย่างละเอียดที่
http://www.alcatelonetouch.com/global-en/products/smartphones/one_touch_idol_mini.html#.UpRojSe9Ie8)
และพอเหลือบไปดูราคา .... โอ้แม่เจ้า !!! ถึงกะตกใจ ... 5,490 บาท เอง ถูกกว่างบที่ตั้งไว้เยอะเลย
สเปกไม่ได้หรูหรา แต่เทียบกับราคาแล้ว ก็ถือว่าคุ้ม เพราะตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐานครบ
ก็เลยสอยมาอย่างวู่วาม 555
เวิ่นเว้อมาเยอะแล้ว มาแกะกล่องกันดีกว่า ....
แกะกล่องมา จะพบกับตัวเครื่อง, สายชาร์ต, หูฟัง small talk , แผ่นกันรอย (ดีจัง ถ้าหาซื้อเองคงหายากอะนะ ^^!) และคู่มือการใช้งาน
ด้านหน้า (มองแว๊บนึง นึกว่า iPhone เลย) มาพร้อมกับ UI เรียบๆ ด้านล่างมีปุ่มแบบสัมผัส 3 ปุ่ม จะสว่างเมื่อกด มีปุ่ม Back, Home, Menu ตามลำดับ กล้องหน้า VGA ธรรมดา เอาไว้ Video call เท่านั้น ถ่ายรูปภาพภาพแตกมากมาย (- -! )
ด้านข้างขวา มีช่องใส่ Micro Sim 2 Sim แบบ Dual standby รองรับ 2G/3G ทุกเครื่อข่าย
GSM Quadband 850/900/1800/1900, UMTS 850/1900/2100 (เครื่อง Model 6012E)
ด้านข้างซ้าย มีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง
ด้านบน มีปุ่ม Power (ตำแหน่งเดียวกับ iPhone) และช่องเสียบหูฟัง
ด้านล่าง มีแค่ช่องเสียบ micro USB
ด้านหลัง กล้อง 5 MP พร้อมแฟลช ลำโพงเอามาไว้ด้านหลัง (ขอเซนเซอร์ Serial เครื่องนะ ^^!)
ลองวัดพลังด้วย Antutu ผลออกมา ได้ 10,353 คะแนน เทียบเท่า Galaxy S2 ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายมาก ^^! ซึ่งการใช้งานจริง ก็ไม่ได้ลื่นหัวแตกแบบรุ่นใหญ่ แต่ก็ไม่ได้กระตุกจนน่ารำคาญ เล่นเกม ดูหนังทั่วไปได้ แต่เกมหนักๆอย่าง D-Day หรือหนัง Full HD มีกระตุก
มาดู UI กันชัดๆ สีจะออกโทนสีธรรมชาติ ไม่แสบตาเหมือน Samsung
ในส่วนของกล้องถ่ายรูป
UI ของกล้องเรียบๆ มีปรับขนาดภาพแค่ เล็ก กลาง ใหญ่ ถ่ายโหมด HDR และ Panorama ได้ด้วย
อ่อ ไม่มีช่อง preview ภาพเล็กๆที่ถ่ายล่าสุดตรงมุมจอเหมือนรุ่นอื่นๆนะ ต้องใช้นิ้วปาดลง หรือปาดข้าง เพื่อดูภาพที่ถ่ายแล้ว (หาตั้งนานแหนะ ^^!)
ไม่มี Scene Mode หรือ effect แบบ Real time ก่อนถ่าย แต่สามารถใส่ Effect ทีหลังโดย Edit ภาพได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 5 MP ภาพจะออกสีซีดๆ คุณภาพพอใช้งานได้
ภาพจากกล้องหน้า VGA แตกกระจาย ( - -!)
ในส่วนของการใช้งานโทรศัพท์
UI ของโทรศัพท์ออกแบบเรียบๆ ปุ่มกดเหมาะกับการใช้งาน แม้จะมี 2 Sim แต่มีปุ่มโทรออกแค่ปุ่มเดียว ไม่รกจอ โดยจะโทรออกจาก Sim ที่ตั้ง Default ไว้ ว่าจะใช้ Sim 1 หรือ 2
หากต้องการใช้ Sim ที่ 2 โทรออก ก็แค่เลื่อน Notification bar ลงมาเพื่อเลือก Sim
เมื่อมีสายโทรเข้า จะแสดงว่าโทรเข้า Sim ไหน โดยจะมีแบ่งสีเพื่อให้เห็นง่ายด้วย ซึ่งสามารถตั้งได้ว่า Sim ไหนจะใช้สีไหน
- เลื่อนไปทางซ้ายจะเป็นการตัดสาย
- เลื่อนไปทางขวา รับสาย
- เลื่อนขึ้นบน ตัดสายพร้อมส่ง SMS กลับอัตโนมัติตามข้อความที่ตั้งไว้ (ชอบจริงๆ)
หน้าจอเมื่อโทรออก เรียบๆ ปุ่มที่จำเป็นครบ
สรุปการใช้งานโดยรวม
ถือว่าโอเค คุ้มค่า ราคาประหยัด เหมาะกับคนที่ใช้มือถือแค่โทรออกโทรเข้า เล่น FB Line ไม่เน้นดูหนัง เล่นเกมหนักๆ
ข้อดี
- น้ำหนักเบา (มาก) จับกระชับด้วยมือเดียวได้ คนที่ใช้ iPhone อยู่แล้ว เปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้แล้วก็ยังคุ้นมือ (ขนาดเครื่อง และจอ เท่า iPhone 5)
- จอ IPS ภาพชัด สีสวย
- ใส่ 2 Sim ได้ รองรับ 2G/3G ทุกค่าย
- แม้จะเครื่องบางเบา แต่ถ้าไม่ได้เล่นอะไรมาก แบตก็อยู่ได้ทั้งวัน
- ตัวเครื่องเหมือน iPhone แต่ OS เป็น Android เหมือนเอาข้อดีของ iPhone และ Android มารวมกัน
- ราคาไม่แพงมาก 5,490 บาท ถ้าเทียบกับ iPhne ก็ซื้อได้ตั้ง 4 เครื่องแหนะ
ข้อเสีย
- ตัวเครื่องเป็น Unibody เปลี่ยนแบต ใส่ SD Card เพิ่มไม่ได้ (ให้มาแค่ 8 GB เหลือใช้จริงประมาณ 5-6 GB)
- กล้องหน้าเป็น VGA ถ่ายรูปจากกล้องหน้าภาพไม่ชัด
- ด้านหลัง กล้องนูนออกมา วางกับพื้นแล้วอาจเป็นรอยได้
- เล่นเกมกราฟฟิก 3 มิติหนักๆ ไม่ได้
- หาซื้อเคสยาก เพราะเป็นรุ่นนอกกระแส
แถมให้อีกนิด ไหนๆรุ่นนี้ก็ Design มาคล้าย iPhone แล้ว ก็เลยจับใส่ Luncher แปลงเป็น iPhone ซะเลย ดูแว๊บๆ นึกว่า iPhone แหนะ
มีฟังก์ชั่นเหมือน iPhone เกือบทุกอย่าง ทั้ง Lock screen, Notification, ไอคอนดุ๊กดิ๊ก กดลบโปรแกรมได้เลย, ลากไอคอนรวมกันเป็น Folder ฯลฯ ที่สำคัญ สามารถใส่ Widget ของ android ได้ เลยกลายเป็น iPhone ที่มี Widget แหล่มจริงๆ อิอิ
ลองโหลดมาเล่นดูได้ที่ Play Store ชื่อ “Espier Launcher” ที่สำคัญ “ฟรี”
ขอจบการรีวีวไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณสำหรับการรับชม
ถ้าอยากให้ทดสอบ หรืออยากดูอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่รีวิวไว้ ก็บอกได้นะครับ
[CR] [Review แกะกล่อง] Alcatel One touch Idol Mini มือถือนอกกระแส ราคาประหยัด แต่ไฮโซไม่แพ้ iPhone
ก็มองๆหามือถือที่เป็น 2 Sim เบาๆ ราคาไม่เกินหมื่น หน้าจอไม่ใหญ่มาก ใช้งานมือเดียวได้สะดวก แบบ iPhone
แต่ไม่อยากซื้อ iPhone เพราะแลดูแพงเกินความต้องการใช้งาน (ใช้แค่โทรเข้าโทรออก เล่น Line FB ถ่ายรูปนิดหน่อย)
ก็เดินๆดูตามร้านมือถือ และหารุ่นต่างๆตามเวป ส่วนมากที่ฮิตๆกัน ก็จะมี Samsung กับ I-mobile
ซึ่งลองดูหลายๆตัวแล้ว ตัวที่ตอบโจทย์ที่สุดของ 2 ยี่ห้อนี้ ก็จะมี
- Samsung Galaxy Core จอ 4.3 นิ้ว เล็กกำลังดี ลองจับเทียบกับ Win แล้ว Win ใหญ่กว่านิดหน่อย แต่จับไม่ถนัดมือเหมือน Core
แต่ลองอ่านความเห็นผู้ใช้แล้ว ไม่อยากข้องเกี่ยวกับศูนย์บริการ Samsung เลยขอบายดีกว่า
- i-Mobile IQX จับดู เหมือน iPhone เลย กล้องหน้า ถ่ายแล้วเนียนดี (บางยี่ห้อ ถ่ายชัดไป เห็นสิวหมด หุๆ)
แต่ลองอ่านความเห็นผู้ใช้แล้ว ต้องวัดดวงกับการ QC เลยไม่เสี่ยงดีกว่า ก็เลยเดินๆดู ไปเจอยี่ห้อนึง "Alcatel"
ไม่ได้ยินชื่อแบรนด์นี้มานานมากกกก มีรุ่นใหม่ออกมา เป็นซีรี่ Idol ก็ลองๆจับๆดู มีรุ่นนึงที่จับแล้วเหมาะมือมาก เบาหวิวเลย
คือรุ่น One Touch idol mini สเปก ตัวเครื่องเป็นพลาสติก Unibody เปลี่ยนแบต ใส่ SD card ไม่ได้ หน้าจอ 4.3” IPS 854x480,
CPU Dual core 1.3GHz, Ram 512MB, Mem 8GB (เพิ่มไม่ได้), กล้อง 5MP/VGA, Android 4.2, หนา 7.9 mm น้ำหนัก 96 กรัม
(สเปกอย่างละเอียดที่ http://www.alcatelonetouch.com/global-en/products/smartphones/one_touch_idol_mini.html#.UpRojSe9Ie8)
และพอเหลือบไปดูราคา .... โอ้แม่เจ้า !!! ถึงกะตกใจ ... 5,490 บาท เอง ถูกกว่างบที่ตั้งไว้เยอะเลย
สเปกไม่ได้หรูหรา แต่เทียบกับราคาแล้ว ก็ถือว่าคุ้ม เพราะตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐานครบ
ก็เลยสอยมาอย่างวู่วาม 555
เวิ่นเว้อมาเยอะแล้ว มาแกะกล่องกันดีกว่า ....
แกะกล่องมา จะพบกับตัวเครื่อง, สายชาร์ต, หูฟัง small talk , แผ่นกันรอย (ดีจัง ถ้าหาซื้อเองคงหายากอะนะ ^^!) และคู่มือการใช้งาน
ด้านหน้า (มองแว๊บนึง นึกว่า iPhone เลย) มาพร้อมกับ UI เรียบๆ ด้านล่างมีปุ่มแบบสัมผัส 3 ปุ่ม จะสว่างเมื่อกด มีปุ่ม Back, Home, Menu ตามลำดับ กล้องหน้า VGA ธรรมดา เอาไว้ Video call เท่านั้น ถ่ายรูปภาพภาพแตกมากมาย (- -! )
ด้านข้างขวา มีช่องใส่ Micro Sim 2 Sim แบบ Dual standby รองรับ 2G/3G ทุกเครื่อข่าย
GSM Quadband 850/900/1800/1900, UMTS 850/1900/2100 (เครื่อง Model 6012E)
ด้านข้างซ้าย มีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง
ด้านบน มีปุ่ม Power (ตำแหน่งเดียวกับ iPhone) และช่องเสียบหูฟัง
ด้านล่าง มีแค่ช่องเสียบ micro USB
ด้านหลัง กล้อง 5 MP พร้อมแฟลช ลำโพงเอามาไว้ด้านหลัง (ขอเซนเซอร์ Serial เครื่องนะ ^^!)
ลองวัดพลังด้วย Antutu ผลออกมา ได้ 10,353 คะแนน เทียบเท่า Galaxy S2 ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายมาก ^^! ซึ่งการใช้งานจริง ก็ไม่ได้ลื่นหัวแตกแบบรุ่นใหญ่ แต่ก็ไม่ได้กระตุกจนน่ารำคาญ เล่นเกม ดูหนังทั่วไปได้ แต่เกมหนักๆอย่าง D-Day หรือหนัง Full HD มีกระตุก
มาดู UI กันชัดๆ สีจะออกโทนสีธรรมชาติ ไม่แสบตาเหมือน Samsung
ในส่วนของกล้องถ่ายรูป
UI ของกล้องเรียบๆ มีปรับขนาดภาพแค่ เล็ก กลาง ใหญ่ ถ่ายโหมด HDR และ Panorama ได้ด้วย
อ่อ ไม่มีช่อง preview ภาพเล็กๆที่ถ่ายล่าสุดตรงมุมจอเหมือนรุ่นอื่นๆนะ ต้องใช้นิ้วปาดลง หรือปาดข้าง เพื่อดูภาพที่ถ่ายแล้ว (หาตั้งนานแหนะ ^^!)
ไม่มี Scene Mode หรือ effect แบบ Real time ก่อนถ่าย แต่สามารถใส่ Effect ทีหลังโดย Edit ภาพได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 5 MP ภาพจะออกสีซีดๆ คุณภาพพอใช้งานได้
ภาพจากกล้องหน้า VGA แตกกระจาย ( - -!)
ในส่วนของการใช้งานโทรศัพท์
UI ของโทรศัพท์ออกแบบเรียบๆ ปุ่มกดเหมาะกับการใช้งาน แม้จะมี 2 Sim แต่มีปุ่มโทรออกแค่ปุ่มเดียว ไม่รกจอ โดยจะโทรออกจาก Sim ที่ตั้ง Default ไว้ ว่าจะใช้ Sim 1 หรือ 2
หากต้องการใช้ Sim ที่ 2 โทรออก ก็แค่เลื่อน Notification bar ลงมาเพื่อเลือก Sim
เมื่อมีสายโทรเข้า จะแสดงว่าโทรเข้า Sim ไหน โดยจะมีแบ่งสีเพื่อให้เห็นง่ายด้วย ซึ่งสามารถตั้งได้ว่า Sim ไหนจะใช้สีไหน
- เลื่อนไปทางซ้ายจะเป็นการตัดสาย
- เลื่อนไปทางขวา รับสาย
- เลื่อนขึ้นบน ตัดสายพร้อมส่ง SMS กลับอัตโนมัติตามข้อความที่ตั้งไว้ (ชอบจริงๆ)
หน้าจอเมื่อโทรออก เรียบๆ ปุ่มที่จำเป็นครบ
สรุปการใช้งานโดยรวม
ถือว่าโอเค คุ้มค่า ราคาประหยัด เหมาะกับคนที่ใช้มือถือแค่โทรออกโทรเข้า เล่น FB Line ไม่เน้นดูหนัง เล่นเกมหนักๆ
ข้อดี
- น้ำหนักเบา (มาก) จับกระชับด้วยมือเดียวได้ คนที่ใช้ iPhone อยู่แล้ว เปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้แล้วก็ยังคุ้นมือ (ขนาดเครื่อง และจอ เท่า iPhone 5)
- จอ IPS ภาพชัด สีสวย
- ใส่ 2 Sim ได้ รองรับ 2G/3G ทุกค่าย
- แม้จะเครื่องบางเบา แต่ถ้าไม่ได้เล่นอะไรมาก แบตก็อยู่ได้ทั้งวัน
- ตัวเครื่องเหมือน iPhone แต่ OS เป็น Android เหมือนเอาข้อดีของ iPhone และ Android มารวมกัน
- ราคาไม่แพงมาก 5,490 บาท ถ้าเทียบกับ iPhne ก็ซื้อได้ตั้ง 4 เครื่องแหนะ
ข้อเสีย
- ตัวเครื่องเป็น Unibody เปลี่ยนแบต ใส่ SD Card เพิ่มไม่ได้ (ให้มาแค่ 8 GB เหลือใช้จริงประมาณ 5-6 GB)
- กล้องหน้าเป็น VGA ถ่ายรูปจากกล้องหน้าภาพไม่ชัด
- ด้านหลัง กล้องนูนออกมา วางกับพื้นแล้วอาจเป็นรอยได้
- เล่นเกมกราฟฟิก 3 มิติหนักๆ ไม่ได้
- หาซื้อเคสยาก เพราะเป็นรุ่นนอกกระแส
แถมให้อีกนิด ไหนๆรุ่นนี้ก็ Design มาคล้าย iPhone แล้ว ก็เลยจับใส่ Luncher แปลงเป็น iPhone ซะเลย ดูแว๊บๆ นึกว่า iPhone แหนะ
มีฟังก์ชั่นเหมือน iPhone เกือบทุกอย่าง ทั้ง Lock screen, Notification, ไอคอนดุ๊กดิ๊ก กดลบโปรแกรมได้เลย, ลากไอคอนรวมกันเป็น Folder ฯลฯ ที่สำคัญ สามารถใส่ Widget ของ android ได้ เลยกลายเป็น iPhone ที่มี Widget แหล่มจริงๆ อิอิ
ลองโหลดมาเล่นดูได้ที่ Play Store ชื่อ “Espier Launcher” ที่สำคัญ “ฟรี”
ขอจบการรีวีวไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณสำหรับการรับชม
ถ้าอยากให้ทดสอบ หรืออยากดูอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่รีวิวไว้ ก็บอกได้นะครับ