ช่วงที่ผ่านมามีลูกค้าที่ผมเคารพหลายๆท่านชวนผมไปหุ้นทำธุรกิจกันเยอะเลยครับ
ลูกค้าส่วนใหญ่เอ็นดูผม บอกว่าผมควรจะไปเป็นเถ้าแก่ได้แล้ว จะมาดักดานทำงานประจำไปทำไมอายุขนาดนี้แล้ว
มีท่านนึง แกมีโรงงานทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตขนาดใหญ่ แกบอกให้ผมหุ้นกับแก ตั้งบริษัทขนส่งวิ่งหินทรายให้โรงงานแก ใช้หินทรายเดือนละ20,000ตัน ให้ขายราคาเดียวกับตลาดเลย ไม่ต้องถูกกว่า แล้วให้ผมบริหารงานเองทั้งหมด ผมคิดตัวเลขคร่าวๆ ถ้ากำไรตันละ30บาท เดือนนึงก็6แสน ปีนึงก็7ล้าน
ผมก็ได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ไป ยังไม่ตอบตกลงอะไรทั้งนั้น ผมเข้าใจว่าท่านปราถนาดี อยากให้ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีเงินเป็นร้อยล้านแบบท่าน
ผมก็บอกท่านไปว่าผมยังต้องทำงานประจำไปอีกซักพัก เพราะรับปากเจ้านายไว้ว่าจะอยู่ต่อ คงจะผิดคำพูดไม่ได้
ผมบอกท่านว่า ทุกวันนี้ผมลงทุนในหุ้น ก็พอมีอยู่บ้างไม่ขัดสน แต่ท่านบอกว่าทำธุรกิจเป็นเถ้าแก่เองรวยเร็วกว่า เล่นหุ้นเสี่ยง ได้ปีนึงไม่เท่าไหร่
ผมดีใจครับที่จะมีโอกาสได้ร่วมทุนทำธุรกิจกับท่าน แต่พอมาคิดดูเองคนเดียว ไม่ได้บอกท่านหรอกนะ การจะทำเงินให้ได้ร้อยล้านในตลาดหุ้น ไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีเวลาเต็มที่ให้กับมัน ถ้าทำธุรกิจคงเหนื่อยและปวดประสาทพอๆกับทำงานประจำแน่ๆ
ผมลงทุนหุ้นแบบ part time มาหลายปี ช่วงตั้งแต่ปี52 ถึง56 พอร์ตผมโตแบบ exponential มาตลอดเลยครับ แต่ละปีโตเกิน100% ยกเว้นปี54 ปีที่น้ำท่วม พอร์ตผมโตแค่20%กว่าๆ
ปี52 พอร์ตผมบวกเกิน300% เพราะหุ้นขึ้นจาก400ไป 700จุด ใครเข้าตลาดช่วงนั้นรวยขี้แตกทุกคน แต่ถึงผมจะรวยขึ้นจากเดิมไป3เท่า คิดมาเป็นตัวเงินก็ไม่เท่าไหร่ เพราะตอนนั้นฐานยังต่ำ
แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างได้มากคือ ถ้าเราสะสมจนฐานใหญ่ขึ้นแล้ว การจะทำกำไรให้ได้ปีนึงหลายๆล้านไม่ใช่เรื่องยาก
ปี55 เป็นปีที่ตลาดหุ้นสดใสจากเงิน QE ของอเมริกา ดัชนีพุ่งจาก1,000 ไป 1,400จุด ปีนั้นปีเดียวพอร์ตผมบวกไป 158% แม้เปอร์เซนต์จะน้อยกว่าปี52 แต่คิดเป็นตัวเงินได้ประมาณ7ล้าน เยอะกว่าของปี52เยอะ นี่คือความทรงพลังของฐานทุน ผมเข้าใจเลยว่าทำไมคนรวยมันถึงหาเงินได้ง่ายและเร็วจัง ตดทีนึงก็หาได้เป็นล้านแล้ว
ปี56 เป็นปีที่แย่ของตลาดหุ้น จนถึงตอนนี้ ดัชนีตลาดยังติดลบเมื่อเทียบกับ55 แต่พอร์ตผมยังทำได้บวกอยู่เกือบ60% แม้เปอร์เซ็นต์จะน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่กำไรที่เป็นตัวเงินพอๆกันเลยครับ
ผมจึงเคยบอกไงว่า คนจะรวยได้เร็วที่สุด จะมาจาก capital gain เท่านั้น capital gain คือกำไรจากการเพิ่มขึ้นของราคาทรัพย์สิน โดยที่ทรัพย์สินนั้นๆไม่มีราคาที่ตายตัว
แล้วมันคืออะไรละครับ มันก็คือหุ้น กับ ที่ดิน ไง ไม่มีราคาที่แน่นอน ราคาขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อต้องการขายเป็นหลัก ลองไปดูเศรษฐีอันดับต้นๆของแต่ละประเทศ ไม่รวยจากมูลค่าหุ้น ก็รวยจากมูลค่าที่ดิน
เพราะฉะนั้นจะไปเหนื่อยกายเหนื่อยใจกับงานประจำหรือทำธุรกิจส่วนตัวไปทำไมละครับ สู้นอนเกาไข่ บริหารพอร์ตหุ้นไปวันๆ แม้ตลาดจะไม่ดี ปีละ10ล้านก็ยังพอหาได้ แต่ถ้าตลาดดี จะให้ได้มากกว่านี้เนี่ย หมูเลยครับ
อยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ กิน ขี้ ปี้ นอน เต็มที่ ยังใช้ไม่เท่าไหร่เลย บ่องตรงๆ
ลงทุนหุ้น กับ ทำธุรกิจ
ลูกค้าส่วนใหญ่เอ็นดูผม บอกว่าผมควรจะไปเป็นเถ้าแก่ได้แล้ว จะมาดักดานทำงานประจำไปทำไมอายุขนาดนี้แล้ว
มีท่านนึง แกมีโรงงานทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตขนาดใหญ่ แกบอกให้ผมหุ้นกับแก ตั้งบริษัทขนส่งวิ่งหินทรายให้โรงงานแก ใช้หินทรายเดือนละ20,000ตัน ให้ขายราคาเดียวกับตลาดเลย ไม่ต้องถูกกว่า แล้วให้ผมบริหารงานเองทั้งหมด ผมคิดตัวเลขคร่าวๆ ถ้ากำไรตันละ30บาท เดือนนึงก็6แสน ปีนึงก็7ล้าน
ผมก็ได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ไป ยังไม่ตอบตกลงอะไรทั้งนั้น ผมเข้าใจว่าท่านปราถนาดี อยากให้ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีเงินเป็นร้อยล้านแบบท่าน
ผมก็บอกท่านไปว่าผมยังต้องทำงานประจำไปอีกซักพัก เพราะรับปากเจ้านายไว้ว่าจะอยู่ต่อ คงจะผิดคำพูดไม่ได้
ผมบอกท่านว่า ทุกวันนี้ผมลงทุนในหุ้น ก็พอมีอยู่บ้างไม่ขัดสน แต่ท่านบอกว่าทำธุรกิจเป็นเถ้าแก่เองรวยเร็วกว่า เล่นหุ้นเสี่ยง ได้ปีนึงไม่เท่าไหร่
ผมดีใจครับที่จะมีโอกาสได้ร่วมทุนทำธุรกิจกับท่าน แต่พอมาคิดดูเองคนเดียว ไม่ได้บอกท่านหรอกนะ การจะทำเงินให้ได้ร้อยล้านในตลาดหุ้น ไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีเวลาเต็มที่ให้กับมัน ถ้าทำธุรกิจคงเหนื่อยและปวดประสาทพอๆกับทำงานประจำแน่ๆ
ผมลงทุนหุ้นแบบ part time มาหลายปี ช่วงตั้งแต่ปี52 ถึง56 พอร์ตผมโตแบบ exponential มาตลอดเลยครับ แต่ละปีโตเกิน100% ยกเว้นปี54 ปีที่น้ำท่วม พอร์ตผมโตแค่20%กว่าๆ
ปี52 พอร์ตผมบวกเกิน300% เพราะหุ้นขึ้นจาก400ไป 700จุด ใครเข้าตลาดช่วงนั้นรวยขี้แตกทุกคน แต่ถึงผมจะรวยขึ้นจากเดิมไป3เท่า คิดมาเป็นตัวเงินก็ไม่เท่าไหร่ เพราะตอนนั้นฐานยังต่ำ
แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างได้มากคือ ถ้าเราสะสมจนฐานใหญ่ขึ้นแล้ว การจะทำกำไรให้ได้ปีนึงหลายๆล้านไม่ใช่เรื่องยาก
ปี55 เป็นปีที่ตลาดหุ้นสดใสจากเงิน QE ของอเมริกา ดัชนีพุ่งจาก1,000 ไป 1,400จุด ปีนั้นปีเดียวพอร์ตผมบวกไป 158% แม้เปอร์เซนต์จะน้อยกว่าปี52 แต่คิดเป็นตัวเงินได้ประมาณ7ล้าน เยอะกว่าของปี52เยอะ นี่คือความทรงพลังของฐานทุน ผมเข้าใจเลยว่าทำไมคนรวยมันถึงหาเงินได้ง่ายและเร็วจัง ตดทีนึงก็หาได้เป็นล้านแล้ว
ปี56 เป็นปีที่แย่ของตลาดหุ้น จนถึงตอนนี้ ดัชนีตลาดยังติดลบเมื่อเทียบกับ55 แต่พอร์ตผมยังทำได้บวกอยู่เกือบ60% แม้เปอร์เซ็นต์จะน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่กำไรที่เป็นตัวเงินพอๆกันเลยครับ
ผมจึงเคยบอกไงว่า คนจะรวยได้เร็วที่สุด จะมาจาก capital gain เท่านั้น capital gain คือกำไรจากการเพิ่มขึ้นของราคาทรัพย์สิน โดยที่ทรัพย์สินนั้นๆไม่มีราคาที่ตายตัว
แล้วมันคืออะไรละครับ มันก็คือหุ้น กับ ที่ดิน ไง ไม่มีราคาที่แน่นอน ราคาขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อต้องการขายเป็นหลัก ลองไปดูเศรษฐีอันดับต้นๆของแต่ละประเทศ ไม่รวยจากมูลค่าหุ้น ก็รวยจากมูลค่าที่ดิน
เพราะฉะนั้นจะไปเหนื่อยกายเหนื่อยใจกับงานประจำหรือทำธุรกิจส่วนตัวไปทำไมละครับ สู้นอนเกาไข่ บริหารพอร์ตหุ้นไปวันๆ แม้ตลาดจะไม่ดี ปีละ10ล้านก็ยังพอหาได้ แต่ถ้าตลาดดี จะให้ได้มากกว่านี้เนี่ย หมูเลยครับ
อยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ กิน ขี้ ปี้ นอน เต็มที่ ยังใช้ไม่เท่าไหร่เลย บ่องตรงๆ