โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในระยะหลังประมาณ 4-5 ปี ที่ผ่านมาหรือตั้งแต่สิ้นปี 2551 ในวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกต่ำลงเหลือเพียง 450 จุด
มาจนถึงปัจจุบันที่ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นประมาณ 1400 จุด สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” จำนวนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมากจนสามารถลาออกจากการเป็นพนักงานที่ทำงานกินเงินเดือนในกิจการธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ และหันมาเป็นนักลงทุน “เต็มตัว” หรือจะเรียกว่าเป็น “นักลงทุนอาชีพ” ก็ไม่ผิด เหตุผลที่พวกเขาลาออกมาลงทุนเต็มตัวนั้นก็เพราะว่าเขาจะได้มีเวลาศึกษาหุ้นที่น่าลงทุนซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามาก เช่น การไป Visit Company เยี่ยมชมบริษัท หรือไปพบผู้บริหารในงาน Opportunity Day
การทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาและค้นหาหุ้นลงทุนนั้น นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่กล่าวถึงนั้นเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้พวกเขาลงทุนได้ดีขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น “คุ้ม” กับรายได้ที่จะเสียไปจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินในพอร์ต 10 ล้านบาท และถ้าเขาทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้จากปกติปีละ 5-10% ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะทำได้ “ไม่ยาก” เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และมุ่งมั่นสู่ “ดวงดาว” นั่นก็คือ รวยเป็นเศรษฐีจากตลาดหุ้น หรือนักลงทุนที่ Aggressive กล้าหาญและมั่นใจสุด ๆ อาจจะผลตอบแทนทำได้ปีละร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
เช่นเดียวกัน นักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคนที่พ่อแม่มีเงินมาก และอาจจะไม่ได้มีธุรกิจใหญ่พอที่จะต้องให้ลูกมาดูแลธุรกิจ อาจจะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเฉพาะแบบที่เป็น “VI” นั้น ก็เป็น “การทำธุรกิจ” พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ โดยการขอเงินพ่อแม่มาลงทุน การลงทุนในช่วงแรกด้วยเงินไม่มากอาจจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเอง เขาจึงได้เงินลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้วย “ฝีมือ” และอาจจะด้วยโชคหรืออะไรก็ตามแต่ ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังสูงลิ่วทำให้พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็นสิบล้านบาทในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขาก็เลิกทำงานอย่างอื่นทั้งหมดและหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว ลึก ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่แทบไม่เคยทำงานประจำอย่างอื่นหลังจากเรียนจบ แต่ประสบความสำเร็จระดับโลก ว่าที่จริงเขาอาจจะคิดว่าเขาเก่งไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย เพราะผลตอบแทนของเขาที่ผ่านมานั้นสูงกว่าสถิติของบัฟเฟตต์มากแม้ในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีพอร์ตเล็ก ๆ ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุน
ประเด็นที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ เราควรที่จะเลิกทำงานประจำเป็นคนกินเงินเดือนแล้วมาลงทุน เป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัวไหม? และจะเลิกทำงานเมื่อไร? หรือสำหรับคนที่พ่อแม่มีเงินมากพอ ควรหรือไม่ที่เราจะเริ่มชีวิตการลงทุนตั้งแต่เรียนจบ หรือเราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไป?
ผมเองอยากจะเริ่มที่เรื่องของการทำงานประจำหรืองานที่ต้อง “ใช้แรง” เสียก่อนว่าทุกคนควรที่จะต้องทำเพื่อเป็น “ประสบการณ์ของชีวิต” การทำงานใช้แรงหรือทำงานประจำในหน่วยงานหรือการทำงานที่ต้องประสานเกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ “สมบูรณ์” ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของสังคมที่คนควรจะมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกัน เข้าใจชีวิตของคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้การลงทุนในอนาคตของเราดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านการทำงานแบบใช้แรงมานานพอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ทำงานใช้แรงมานานหลายปีทีเดียวตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยมรวมถึงช่วงจบมหาวิทยาลัยไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปี ในฐานะนักวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะเริ่มชีวิตการลงทุนอาชีพ ดังนั้น คนที่เรียนจบใหม่ ๆ จึงควรที่จะต้องทำงานไปด้วยถ้าอยากจะลงทุน คนที่ไม่ทำงานเลยเอาแต่จะลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น บางทีอาจจะเป็น “ข้ออ้าง” ของคนที่ “ขี้เกียจ” ทำงานที่ต้องใช้แรงงานก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาลงทุนโดยไม่ได้ใช้เวลาศึกษาอะไรมากนัก
การทำงานมีโอกาสที่จะทำให้เรา “ร่ำรวย” ได้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่คนทำงานกินเงินเดือนนั้น “ไม่มีโอกาสรวย” แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การทำงานนั้น เป็นกิจกรรมที่ดีเยี่ยมในแง่ของสังคมและบ่อยครั้งในแง่ของการทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการได้ผลตอบแทนที่มักจะมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ก่อนที่เราจะละทิ้งมัน เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบจริง ๆ
ข้อเสียของการทำงานสำหรับนักลงทุนก็คือ พวกเขาคิดว่ามันทำให้เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หุ้นเท่าที่ควรและเขา “เชื่อว่า” มันทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยลงไม่ต่ำกว่า 5% หรือ 10% หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในประเด็นนี้ผมเองคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้น อาจจะไม่จริง เหตุผลก็คือ ในสมัยนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอามาศึกษานอกเวลาได้อย่างสะดวก การไปเยี่ยมบริษัทเองนั้น ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มคุณค่าของการวิเคราะห์มากนัก ดังนั้น ความจำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาศึกษาหุ้นจึงมีความจำเป็นน้อยโดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่โตมากมายอะไรนัก
ส่วนตัวผมเองคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ เราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไปเรื่อย ๆ การทำงานนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่จะสะสมเงินทุนเริ่มต้นที่จะต้องนำไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาด ซึ่งจากการทำงานจะทำให้เรามีเงินเติมลงไปในพอร์ตทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้น ซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน พอร์ตควรจะใหญ่เป็นอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรเลิกทำงาน เหตุผลก็คือ รายจ่ายในอนาคตของเราอาจจะเพิ่มขึ้นมาก และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ รวมถึงการที่หุ้นอาจจะตกลงมารุนแรงทำให้ความมั่งคั่งที่เหลืออยู่ไม่พอใช้จ่ายอย่างสบายใจ การทำงานต่อไปจะทำให้เรามี “Margin of Safety” หรือความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
การที่เราจะเลิกทำงานและหันมาลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น เราก็ต้องคำนึงถึงว่ามันทำเงินให้เราคุ้มค่าหรือเพียงพอหรือไม่ที่เราจะทำต่อ ผมเองคิดว่าตราบใดที่ผลตอบแทนจากการทำงานยังสูงถึง 20-30% ของรายได้จากการลงทุนต่อปี ผมก็เห็นว่ามันยังคุ้มค่าที่จะทำ เพราะการทำงานประจำด้วยจะทำให้พอร์ตหรือเงินเราโตเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากว่ามันน้อยกว่านั้นแล้ว การเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียวก็อาจจะดีกว่าและทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากกว่า
ทำงานไปลงทุนไป...ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในระยะหลังประมาณ 4-5 ปี ที่ผ่านมาหรือตั้งแต่สิ้นปี 2551 ในวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกต่ำลงเหลือเพียง 450 จุด
มาจนถึงปัจจุบันที่ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นประมาณ 1400 จุด สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” จำนวนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมากจนสามารถลาออกจากการเป็นพนักงานที่ทำงานกินเงินเดือนในกิจการธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ และหันมาเป็นนักลงทุน “เต็มตัว” หรือจะเรียกว่าเป็น “นักลงทุนอาชีพ” ก็ไม่ผิด เหตุผลที่พวกเขาลาออกมาลงทุนเต็มตัวนั้นก็เพราะว่าเขาจะได้มีเวลาศึกษาหุ้นที่น่าลงทุนซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามาก เช่น การไป Visit Company เยี่ยมชมบริษัท หรือไปพบผู้บริหารในงาน Opportunity Day
การทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาและค้นหาหุ้นลงทุนนั้น นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่กล่าวถึงนั้นเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้พวกเขาลงทุนได้ดีขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น “คุ้ม” กับรายได้ที่จะเสียไปจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินในพอร์ต 10 ล้านบาท และถ้าเขาทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้จากปกติปีละ 5-10% ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะทำได้ “ไม่ยาก” เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และมุ่งมั่นสู่ “ดวงดาว” นั่นก็คือ รวยเป็นเศรษฐีจากตลาดหุ้น หรือนักลงทุนที่ Aggressive กล้าหาญและมั่นใจสุด ๆ อาจจะผลตอบแทนทำได้ปีละร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
เช่นเดียวกัน นักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคนที่พ่อแม่มีเงินมาก และอาจจะไม่ได้มีธุรกิจใหญ่พอที่จะต้องให้ลูกมาดูแลธุรกิจ อาจจะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเฉพาะแบบที่เป็น “VI” นั้น ก็เป็น “การทำธุรกิจ” พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ โดยการขอเงินพ่อแม่มาลงทุน การลงทุนในช่วงแรกด้วยเงินไม่มากอาจจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเอง เขาจึงได้เงินลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้วย “ฝีมือ” และอาจจะด้วยโชคหรืออะไรก็ตามแต่ ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังสูงลิ่วทำให้พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็นสิบล้านบาทในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขาก็เลิกทำงานอย่างอื่นทั้งหมดและหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว ลึก ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่แทบไม่เคยทำงานประจำอย่างอื่นหลังจากเรียนจบ แต่ประสบความสำเร็จระดับโลก ว่าที่จริงเขาอาจจะคิดว่าเขาเก่งไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย เพราะผลตอบแทนของเขาที่ผ่านมานั้นสูงกว่าสถิติของบัฟเฟตต์มากแม้ในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีพอร์ตเล็ก ๆ ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุน
ประเด็นที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ เราควรที่จะเลิกทำงานประจำเป็นคนกินเงินเดือนแล้วมาลงทุน เป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัวไหม? และจะเลิกทำงานเมื่อไร? หรือสำหรับคนที่พ่อแม่มีเงินมากพอ ควรหรือไม่ที่เราจะเริ่มชีวิตการลงทุนตั้งแต่เรียนจบ หรือเราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไป?
ผมเองอยากจะเริ่มที่เรื่องของการทำงานประจำหรืองานที่ต้อง “ใช้แรง” เสียก่อนว่าทุกคนควรที่จะต้องทำเพื่อเป็น “ประสบการณ์ของชีวิต” การทำงานใช้แรงหรือทำงานประจำในหน่วยงานหรือการทำงานที่ต้องประสานเกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ “สมบูรณ์” ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของสังคมที่คนควรจะมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกัน เข้าใจชีวิตของคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้การลงทุนในอนาคตของเราดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านการทำงานแบบใช้แรงมานานพอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ทำงานใช้แรงมานานหลายปีทีเดียวตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยมรวมถึงช่วงจบมหาวิทยาลัยไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปี ในฐานะนักวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะเริ่มชีวิตการลงทุนอาชีพ ดังนั้น คนที่เรียนจบใหม่ ๆ จึงควรที่จะต้องทำงานไปด้วยถ้าอยากจะลงทุน คนที่ไม่ทำงานเลยเอาแต่จะลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น บางทีอาจจะเป็น “ข้ออ้าง” ของคนที่ “ขี้เกียจ” ทำงานที่ต้องใช้แรงงานก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาลงทุนโดยไม่ได้ใช้เวลาศึกษาอะไรมากนัก
การทำงานมีโอกาสที่จะทำให้เรา “ร่ำรวย” ได้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่คนทำงานกินเงินเดือนนั้น “ไม่มีโอกาสรวย” แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การทำงานนั้น เป็นกิจกรรมที่ดีเยี่ยมในแง่ของสังคมและบ่อยครั้งในแง่ของการทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการได้ผลตอบแทนที่มักจะมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ก่อนที่เราจะละทิ้งมัน เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบจริง ๆ
ข้อเสียของการทำงานสำหรับนักลงทุนก็คือ พวกเขาคิดว่ามันทำให้เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หุ้นเท่าที่ควรและเขา “เชื่อว่า” มันทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยลงไม่ต่ำกว่า 5% หรือ 10% หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในประเด็นนี้ผมเองคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้น อาจจะไม่จริง เหตุผลก็คือ ในสมัยนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอามาศึกษานอกเวลาได้อย่างสะดวก การไปเยี่ยมบริษัทเองนั้น ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มคุณค่าของการวิเคราะห์มากนัก ดังนั้น ความจำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาศึกษาหุ้นจึงมีความจำเป็นน้อยโดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่โตมากมายอะไรนัก
ส่วนตัวผมเองคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ เราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไปเรื่อย ๆ การทำงานนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่จะสะสมเงินทุนเริ่มต้นที่จะต้องนำไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาด ซึ่งจากการทำงานจะทำให้เรามีเงินเติมลงไปในพอร์ตทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้น ซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน พอร์ตควรจะใหญ่เป็นอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรเลิกทำงาน เหตุผลก็คือ รายจ่ายในอนาคตของเราอาจจะเพิ่มขึ้นมาก และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ รวมถึงการที่หุ้นอาจจะตกลงมารุนแรงทำให้ความมั่งคั่งที่เหลืออยู่ไม่พอใช้จ่ายอย่างสบายใจ การทำงานต่อไปจะทำให้เรามี “Margin of Safety” หรือความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
การที่เราจะเลิกทำงานและหันมาลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น เราก็ต้องคำนึงถึงว่ามันทำเงินให้เราคุ้มค่าหรือเพียงพอหรือไม่ที่เราจะทำต่อ ผมเองคิดว่าตราบใดที่ผลตอบแทนจากการทำงานยังสูงถึง 20-30% ของรายได้จากการลงทุนต่อปี ผมก็เห็นว่ามันยังคุ้มค่าที่จะทำ เพราะการทำงานประจำด้วยจะทำให้พอร์ตหรือเงินเราโตเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากว่ามันน้อยกว่านั้นแล้ว การเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียวก็อาจจะดีกว่าและทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากกว่า