อำนาจทำให้คนทุจริต และอำนาจที่สมบูรณ์ก็ยิ่งทำให้คนทุจริตได้อย่างถึงที่สุด
"Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely. Great men are almost always bad men."
ลอร์ดแอคตัน (Lord John Dalberg-Acton : ค.ศ. 1834-1902) นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ โดยพื้นฐานของตัวบุคคลนั้นจัดได้ว่าผสมปนเปกันไปทั้งดีและชั่ว การใช้ชีวิตคือการแสดงออกทางด้านความคิดและพฤตกรรมที่ได้รับการบ่มเพาะจากประสบการณ์ ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครดีหรือชั่วได้อย่างแน่นอน จนกว่าจะให้คนผู้นั้นได้กุมอำนาจอยู่ในมือ ปัจจุบันอำนาจของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับสถานภาพ ฐานะ และการเมือง สถานภาพคือผู้บังคับบัญชา ฐานะคือเงิน และการเมืองคือพรรคพวก ยิ่งประกอบกันด้วยทั้งสามประการครบถ้วนแล้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ก็อยู่ในมือนั้นแล
คนธรรมดาชาวบ้านตาสีตาสาไร้เงิน ไร้ตำแหน่งทางราชการ จะเอาส่วนไหนมาทุจริต ต่างกันกับข้าราชการ นักการเมือง ยิ่งตำแหน่งหน้าที่ยิ่งสูง หนทางที่จะเดินเข้าสู่การทุจริตก็จะยิ่งมีมากขึ้น คนมีอำนาจคนไหนที่จะไม่ทุจริตก็เหมือนกับหาคนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลกนั่นแหละ เพราะการมีอำนาจก็เป็นการทุจริตในตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะหากการทุจริตทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม อำนาจก็เป็นเฉกเช่นกัน อำนาจที่เกาะกุมไว้ยิ่งมีมากหนทางทุจริตก็ยิ่งมีมากตามไปด้วยจนเรียกได้ว่าเป็นสัจธรรม จนบางครั้งสังคมไทยก็มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหมือนโดนยุงกัด ตบมันตายก็สะใจ ตบไม่ตายก็แล้วกันไป
คนดีในสังคมไทยส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคคลเหล่านั้นด้อยทั้งสถานภาพและเศรษฐานะ เรียกได้ว่าถูกสังคมบีบบังคับให้ตนเป็นคนดีก็ว่าได้ เพราะถ้าจะร้ายแล้วโดนจับ ถ้าจะโกงแล้วโดนจับได้ ถ้าฆ่าคนแล้วโดนตัดสินโทษประหาร ถ้าหลอกลวงแล้วโดนสังคมประณาม ธรรมดาที่ไหนจะแสดงออกว่าตนเป็นคนร้ายอย่างที่เป็น คนเหล่านั้นต้องมีอำนาจอยู่ในมือเสียก่อนถึงจะแสดงออกได้อย่างต้องการ
นักการเมืองไทยที่ต้นดีปลายเหลวก็มีอยู่เยอะ ตอนแรกมากด้วยอุดมการณ์ ตอนหลังเหลวแหลกถูกโยนไปมาตามความต้องการรักษาอำนาจที่มี ถ้ายังอยากมีอำนาจอยู่ต่อก็ต้องทุจริต ยิ่งทุจริตยิ่งมีอำนาจ ยิ่งคนฉลาดมาทุจริตยิ่งมีอำนาจเยอะ สังคมไทยก็ได้คนเหล่านี้แหละมาเป็นผู้นำ จึงอยากให้มองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาก็เป็น แต่เขาเล่นกันตามกติกา แต่การเมืองไทยสกปรกยิ่งกว่าคลองแสนแสบ ขึ้นชื่อว่านักการเมืองไทยยากนักที่จะหาดีได้ซักคน ยิ่งกว่าหาเพชรในตมเสียอีก ทั้งนี้เพราะอำนาจมันพาไป ตัวอย่างไม่ต้องพูดถึงทุกคนล้วนทราบกันดี ไม่ต้องเรียนประวัติศาสตร์ก็คงรู้กัน
เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนอยากมีอำนาจ ใครที่ไหนจะอยากเป็นผู้ถูกกระทำไปตลอดชีวิตหากไม่ใช่สมณะที่พ้นโลกีย์ไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น รุ่นน้องกลายมาเป็นรุ่นพี่ก็ต้องทำรุ่นร้องให้เจ็บกว่าที่เราโดนทำ ถ้าเป็นหัวหน้าจะคอยนั่งชี้นิ้วสั่งบ้างให้มันรู้กันไปว่าเราก็ทำได้ อยากเป็นฝ่ายรัฐบาลบ้างเพราะมัวแต่ค้านอยู่นานแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะอู้ฟู่เสียที เป็นต้น อย่างที่ยกตัวอย่างให้เห็นอำนาจเป็นเรื่องตั้งแต่สถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันการเมือง
หากจะถามว่าอำนาจของความเป็นคนดีอยู่ที่ไหน จะให้ตอบว่าอย่างไร ในสถานการณ์ปัจจุบันการสรรเสริญคนดีเหมือนใบไม้ที่ตกลงดินเกิดขึ้นชั่วขณะในตอนที่สัมผัสพื้น พอหลังจากนั้นก็จางหายไปจากความทรงจำ ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ที่ปลิดปลง ซึ่งความดีมันก็เหมือนเหรียญสองด้านที่แต่ละคนอยากให้ทุกคนเป็นคนดีแต่ก็ตอบไม่ได้ว่าถ้าเรามีอำนาจอยู่ในมือเรายังเป็นคนดีอยู่หรือเปล่า
หากมองการเมืองอย่างลึกซึ้งก็ไม่รู้จะโทษใคร อำนาจมันพาไปจนลืมศักดิ์ศรี จนลืมความเป็นคน จนลืมแผ่นดินที่เราเหยียบ จนลืมเลือดที่บรรพบุรุษเราเคยเสียเพื่อให้ได้แผ่นดินนี้มา อยากได้อำนาจจนลืมชาติบ้านเมือง อยากร่ำรวยจนลืมความสุขของคนอื่น อยากใหญ่โตจนลืมประชาชนตาดำดำ ไม่สำเหนียกว่าหากไร้คนเหล่านี้อำนาจที่มียังจะใช้ได้อีกหรือไม่ สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่าไม่ได้หวังให้ทุกคนเป็นคนดี แค่รู้จักใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างพอเหมาะเท่าที่ควรเท่านั้นก็พอ
ฺBy
หนึ่งเม็ดทรายในทางช้างเืผือก
อำนาจทำให้คนทุจริต และอำนาจที่สมบูรณ์ก็ยิ่งทำให้คนทุจริตได้อย่างถึงที่สุด
ลอร์ดแอคตัน (Lord John Dalberg-Acton : ค.ศ. 1834-1902) นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ โดยพื้นฐานของตัวบุคคลนั้นจัดได้ว่าผสมปนเปกันไปทั้งดีและชั่ว การใช้ชีวิตคือการแสดงออกทางด้านความคิดและพฤตกรรมที่ได้รับการบ่มเพาะจากประสบการณ์ ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครดีหรือชั่วได้อย่างแน่นอน จนกว่าจะให้คนผู้นั้นได้กุมอำนาจอยู่ในมือ ปัจจุบันอำนาจของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับสถานภาพ ฐานะ และการเมือง สถานภาพคือผู้บังคับบัญชา ฐานะคือเงิน และการเมืองคือพรรคพวก ยิ่งประกอบกันด้วยทั้งสามประการครบถ้วนแล้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ก็อยู่ในมือนั้นแล
คนธรรมดาชาวบ้านตาสีตาสาไร้เงิน ไร้ตำแหน่งทางราชการ จะเอาส่วนไหนมาทุจริต ต่างกันกับข้าราชการ นักการเมือง ยิ่งตำแหน่งหน้าที่ยิ่งสูง หนทางที่จะเดินเข้าสู่การทุจริตก็จะยิ่งมีมากขึ้น คนมีอำนาจคนไหนที่จะไม่ทุจริตก็เหมือนกับหาคนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลกนั่นแหละ เพราะการมีอำนาจก็เป็นการทุจริตในตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะหากการทุจริตทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม อำนาจก็เป็นเฉกเช่นกัน อำนาจที่เกาะกุมไว้ยิ่งมีมากหนทางทุจริตก็ยิ่งมีมากตามไปด้วยจนเรียกได้ว่าเป็นสัจธรรม จนบางครั้งสังคมไทยก็มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหมือนโดนยุงกัด ตบมันตายก็สะใจ ตบไม่ตายก็แล้วกันไป
คนดีในสังคมไทยส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคคลเหล่านั้นด้อยทั้งสถานภาพและเศรษฐานะ เรียกได้ว่าถูกสังคมบีบบังคับให้ตนเป็นคนดีก็ว่าได้ เพราะถ้าจะร้ายแล้วโดนจับ ถ้าจะโกงแล้วโดนจับได้ ถ้าฆ่าคนแล้วโดนตัดสินโทษประหาร ถ้าหลอกลวงแล้วโดนสังคมประณาม ธรรมดาที่ไหนจะแสดงออกว่าตนเป็นคนร้ายอย่างที่เป็น คนเหล่านั้นต้องมีอำนาจอยู่ในมือเสียก่อนถึงจะแสดงออกได้อย่างต้องการ
นักการเมืองไทยที่ต้นดีปลายเหลวก็มีอยู่เยอะ ตอนแรกมากด้วยอุดมการณ์ ตอนหลังเหลวแหลกถูกโยนไปมาตามความต้องการรักษาอำนาจที่มี ถ้ายังอยากมีอำนาจอยู่ต่อก็ต้องทุจริต ยิ่งทุจริตยิ่งมีอำนาจ ยิ่งคนฉลาดมาทุจริตยิ่งมีอำนาจเยอะ สังคมไทยก็ได้คนเหล่านี้แหละมาเป็นผู้นำ จึงอยากให้มองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาก็เป็น แต่เขาเล่นกันตามกติกา แต่การเมืองไทยสกปรกยิ่งกว่าคลองแสนแสบ ขึ้นชื่อว่านักการเมืองไทยยากนักที่จะหาดีได้ซักคน ยิ่งกว่าหาเพชรในตมเสียอีก ทั้งนี้เพราะอำนาจมันพาไป ตัวอย่างไม่ต้องพูดถึงทุกคนล้วนทราบกันดี ไม่ต้องเรียนประวัติศาสตร์ก็คงรู้กัน
เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนอยากมีอำนาจ ใครที่ไหนจะอยากเป็นผู้ถูกกระทำไปตลอดชีวิตหากไม่ใช่สมณะที่พ้นโลกีย์ไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น รุ่นน้องกลายมาเป็นรุ่นพี่ก็ต้องทำรุ่นร้องให้เจ็บกว่าที่เราโดนทำ ถ้าเป็นหัวหน้าจะคอยนั่งชี้นิ้วสั่งบ้างให้มันรู้กันไปว่าเราก็ทำได้ อยากเป็นฝ่ายรัฐบาลบ้างเพราะมัวแต่ค้านอยู่นานแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะอู้ฟู่เสียที เป็นต้น อย่างที่ยกตัวอย่างให้เห็นอำนาจเป็นเรื่องตั้งแต่สถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันการเมือง
หากจะถามว่าอำนาจของความเป็นคนดีอยู่ที่ไหน จะให้ตอบว่าอย่างไร ในสถานการณ์ปัจจุบันการสรรเสริญคนดีเหมือนใบไม้ที่ตกลงดินเกิดขึ้นชั่วขณะในตอนที่สัมผัสพื้น พอหลังจากนั้นก็จางหายไปจากความทรงจำ ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ที่ปลิดปลง ซึ่งความดีมันก็เหมือนเหรียญสองด้านที่แต่ละคนอยากให้ทุกคนเป็นคนดีแต่ก็ตอบไม่ได้ว่าถ้าเรามีอำนาจอยู่ในมือเรายังเป็นคนดีอยู่หรือเปล่า
หากมองการเมืองอย่างลึกซึ้งก็ไม่รู้จะโทษใคร อำนาจมันพาไปจนลืมศักดิ์ศรี จนลืมความเป็นคน จนลืมแผ่นดินที่เราเหยียบ จนลืมเลือดที่บรรพบุรุษเราเคยเสียเพื่อให้ได้แผ่นดินนี้มา อยากได้อำนาจจนลืมชาติบ้านเมือง อยากร่ำรวยจนลืมความสุขของคนอื่น อยากใหญ่โตจนลืมประชาชนตาดำดำ ไม่สำเหนียกว่าหากไร้คนเหล่านี้อำนาจที่มียังจะใช้ได้อีกหรือไม่ สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่าไม่ได้หวังให้ทุกคนเป็นคนดี แค่รู้จักใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างพอเหมาะเท่าที่ควรเท่านั้นก็พอ
ฺBy หนึ่งเม็ดทรายในทางช้างเืผือก