วันนั้นตื่นมาก็หยิบมือเช็คเฟซบุ๊กเหมือนทุกวันครับ
แต่วันนี้กระแสการเมืองแรงกว่าทุกวัน พัดพาเอาความเชื่อที่ไม่ตรงกันปะทะกันอยู่ตลอดเวลา
ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เข้าใจกันออกมาด่ากัน หลายคนก็พยามทำความเข้าใจแต่สุดท้ายก็ทะเลาะกันอยู่ดี
ผมไม่ได้ตามข่าวการเมืองมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เท่าที่พอจะทราบก็คือ ตอนนี้มี 3 กลุ่มใหญ่ 1 คือคนเสือแดง 2 คือกลุ่มที่ขับไล่รัฐบาล 3 คือกลุ่มที่ขับไล่ทั้ง 2 ฝ่าย
คนเราเมื่อเชื่ออะไรแล้วก็จะออกมาแสดงความเชื่อของตัวเองและไม่สนใจความเชื่อของคนอื่น นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ทุกการตัดสินใจเราตัดสินใจเพราะความอยาก ความต้องการและความเชื่อ ที่เป็นสมองส่วนกลางด้านใน เรียกว่า ลิมปิค (อ้างจาก ไซมอน ซิเน็ก) สมองส่วนนี้กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม เมื่อมนุษย์ตัดสินใจการกระทำจากอารมและความรู้สึกแล้วจึงค่อยหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อนั้น โดยเราจะให้น้ำหนักกับเหตุผลที่ไม่ตรงกับความเชื่อหรือสิ่งที่เราตัดสินใจเพียงน้อยนิดครับ
เป็นเหตว่า เมื่อตัวเราได้ตัดสินใจเลือกฝ่ายแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความเชื่อของตัวเอง ยกเว้น เหตุผลที่ขัดกับความเชื่อของตัวเราจะมีน้ำหนักที่มากจนโยกคลอนความเชื่อของเราได้ ย้ำว่าตัวเราเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนความเชื่อตัวเองได้ ปัจจัยอื่นจากภายนอกเปนเพียงส่วนประกอบที่ตัวเรานำมารวมกัน
เราไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อใครได้เพราะทุกคนมีความเชื่อของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะทะเลาะกันเรื่องการเมืองเพื่ออะไร พอการเมืองจบเราก็เสียเพื่อน? คนที่เชื่อไม่เหมือนเราไม่ใช่คนเลวครับ คนเกิดมาส่วนใหญ่เปนคนดีทั้งนั้น สถานการณ์เท่านั้นที่ทำให้เกิดการกระทำที่ผิด นักโทษในคุกเวลาดูหนังยังเชียร์พระเอกเลยครับ
การเมืองและสตาร์บัคเหมือนกันตรงไหน ?
เหมือนกันตรงที่เราเชื่อว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อนั้น
เราซื้อสตาร์บัคไม่ใชแค่กาแฟ อร่อย จึงสามารถขายให้เราในราคาแพงได้ แต่เราดื่มสตาร์บัคเพราะเราเชื่อว่าเราคือสตาร์บัค เราเชื่อว่าเราคือไอโฟน เรายืนยันในสิ่งที่เราเชื่อจากของที่เราใช้ จากของที่เรากิน จากพรรคการเมืองที่เราเลือก สิ่งเหล่านี้สะท้อนความเป็นตัวเรา สะท้อนความเชื่อเราออกมาให้คนอื่นเห็น
คนที่คัดค้านเขื่อนแม่วงค์ ไม่ได้ออกมาสนับสนุนนักวิชาการ แต่ออกมาสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง ออกมาแสดงความเชื่อของตัวเอง
คนที่ออกมาชุมนุมที่ราชดำเนินหลายแสนคนหรือล้านคนก็ตาม เค้าก็ออกมาแสดงจุดยืนความเชื่อของตัวเอง
คนที่ออกมาอาจจะเชื่อว่า การออกมาชุมนุมคือการไม่เอารัฐบาลยิ่งลักษณ์
แต่คนที่เชื่อต่างออกไปก็อาจจะตีความได้หลายอย่าง ว่าการออกมาคือสนับสนุน ประชาธิปัต
จากที่บอกไปด้านบนผมอยากแบ่งผู้สนับสนุน 3 กลุ่ม คนเสื้อแดงย่อมไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่ราชดำเนิน
แต่คนที่ราชดำเนินคือคนที่ไม่เอารัฐบาลยิ่งลักษ์เหมือนกัน แต่เรื่องการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตก็เป็นอีกความเชื่อหนึ่งที่จะมีคนเอาหรือไม่เอาด้วยก็ได้
ถ้าพรุ่งนี้บนเวทีบอกว่าขอบคุณที่มาสนับสนุนประชาธิปัตย์เพื่อทำงานแทนเพื่อไทยแล้ว ผู้ชุนนุมส่วนที่ไม่สนับสนุนพรรคก็จะแยกตัวออกมา
เพียงจะบอกว่าคนที่ชุมนุมอาจจะไม่ต้องการทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยก็ได้ แต่เพราะวันนี้คนเชื่อว่าที่กำลังโกงกินคือรัฐบาล ดังนั้นไม่ว่าจะใครที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตก็สามารถนำมวลชนได้ ถ้าพรุ่งนี้ประชาธิปัตเปนรัฐบาลที่กำลังโกงกิน คนที่มาชุนนุมวันนี้ก็อาจจะถูกนำโดยเพื่อไทยก็ได้
ปัญาของการเมืองคือ ไม่ว่าจะเปนประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิส หรือระบอบอะไรก็แล้วแต่ทุกระบอบเปนเรื่องของทุนนิยมและผลประโยชน์ คนกลุ่มน้อยได้ประโยชน์และคนหมู่มากเสียประโยชน์ทั้งสิ้น
ทำไมจึงไม่มีพรรคการเมืองใดดี? ทำไมนักการเมืองโง่?
ไม่มีคนโง่ครับ มีแต่คนทำเพื่อผลประโยชน์ เรียกได้ว่าไม่มากก็น้อยแต่เปนเกือบทุกคน รากเร้าการเปนคนโกงเริ่มตั้งแต่เข้าสู่วงจรทางการเมืองครับ นักการเมืองจำเปนต้องมีคนสนับสนุนและเงินทุน นั้นเปนโอกาสให้เกิดการสร้างบุญคุณขึ้น ไม่มีใครเปนนักการเมืองได้โดยไม่มีผู้มีพระคุณครับ
เมื่อเป็นใหญ่เปนโตก็ต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณกันไม่จบไม่สิ้น พอทำไปทำมาจะโกงเพื่อคนอื่นอย่างเดียวทำไมก็โกงเพื่อตัวเองด้วยซะเลย ไม่ใช่แค่นักการเมือง อันนี้รวมถึงตำรวจและอื่นๆด้วยครับ คนดีที่เปนแกะขาวในหมู่แกะดำ อาจจะมี 1 ในร้อย แต่ถ้ามีเหล่าแกะดำก็ต้องพยายามกำจัดให้ออกไป เพราะแกะขาวมือสะอาดไม่มีชนักติดหลังอยู่ด้วยแล้วไม่สบายใจ กำจัดไม่ใช่การฆ่าแต่เปนการสั่งย้ายไปอยู่ในที่ห่างไกล หรือต่ำแหน่งที่ไร้อำนาจนั้นเอง เมื่อคนดีไม่มีพวกพ้องและไร้อำนาจ บ้านเมืองก็เลยเปนแบบนี้
ไม่ใครจะเปนรัฐบาลสุดท้ายก็เพียงเข้ามาแบ่งกันปล้นประเทศเท่านั้น จะมีใครที่ไม่ต้องใช้เงินและคนหนุนหลังเพื่อเปนรัฐบาลไหม? ย่อมไม่มี
วิธีแก้ ยังเปนปัญหาโลกแตกเพราะรากเหง้าการโกงกินฝังลึก ต่อให้ประหารนักการเมืองและผู้นำทางการเมืองทุกคน นักการเมืองรุ่นต่อไปก็ยังเหมือนเดิม
จบแล้วครับ
อันล่างนี้คิดเล่นๆฟุ้งๆ
บางทีเราอาจต้องจำกัดตำแหน่ง สสและรัฐมนตรี ให้เปนได้เพียงยิ่งกว่าคนธรรมดาที่สุด สสและรัฐมนตรีทุกคนต้องถูกแช่แข็งทรัพสินทั้งหมดตั้งแต่วันแรก การเบิกจ่ายเงินทั้งหมดจะต้องผ่านการตรวจสอบที่ประชาชนเห็นสามารถทุกรายการ อำนาจต่างๆ ถูกแยกกัน งบประมาณถูกแยกจากกัน และถูกตรวจสอบกันเอง มีหน่วยงานลับค่อยตรวจสอบ สสและรัฐมนตรี อีกที บทลงโทษคือประหารและยึดทรัพย์ทั้งหมด ลูกหลานให้มีเงินครองได้ไม่เกินจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ถ้าใครอยากเปน สส และรัฐมนตรี สิ่งตอบแทนที่ได้คืออุดมการณ์และความภูมิใจเท่านั้น
ผมออกตัวไว้ก่อนว่าที่เขียนด้านบนพยายามเขียนให้เปนกลาง แต่โดยส่วนตัวผมก็ไม่ต้องการรัฐบาลที่โกงไม่ว่ารัฐบาลเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ ต่อให้เป็นเด็กมหาวิยาลัยที่มีความเชื่อเดียวกันผมก็สนับสนุนครับ ถ้าใครคิดแค่ว่าไม่เอาเพื่อไทยก็ต้องเอาประชาธิปัตย์ ผมอยากบอกว่าประเทศนี้มีคน หกสิบกว่าล้านคนต่อให้ไม่มีทั้ง 2 พรรคนี้ หรือไม่มีพรรคการเมืองใดเลยประเทศนี้ก็มีทางไปครับ อาจจะมีทางไปทึ่ดีกว่าเดิมเสียด้วย
อ่านได้ที่ บล็อคครับ
http://bit.ly/17KLEby
Facebook.com/limsila
การเมือง สตาร์บัค และ แกะดำ
แต่วันนี้กระแสการเมืองแรงกว่าทุกวัน พัดพาเอาความเชื่อที่ไม่ตรงกันปะทะกันอยู่ตลอดเวลา
ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เข้าใจกันออกมาด่ากัน หลายคนก็พยามทำความเข้าใจแต่สุดท้ายก็ทะเลาะกันอยู่ดี
ผมไม่ได้ตามข่าวการเมืองมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เท่าที่พอจะทราบก็คือ ตอนนี้มี 3 กลุ่มใหญ่ 1 คือคนเสือแดง 2 คือกลุ่มที่ขับไล่รัฐบาล 3 คือกลุ่มที่ขับไล่ทั้ง 2 ฝ่าย
คนเราเมื่อเชื่ออะไรแล้วก็จะออกมาแสดงความเชื่อของตัวเองและไม่สนใจความเชื่อของคนอื่น นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ทุกการตัดสินใจเราตัดสินใจเพราะความอยาก ความต้องการและความเชื่อ ที่เป็นสมองส่วนกลางด้านใน เรียกว่า ลิมปิค (อ้างจาก ไซมอน ซิเน็ก) สมองส่วนนี้กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม เมื่อมนุษย์ตัดสินใจการกระทำจากอารมและความรู้สึกแล้วจึงค่อยหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อนั้น โดยเราจะให้น้ำหนักกับเหตุผลที่ไม่ตรงกับความเชื่อหรือสิ่งที่เราตัดสินใจเพียงน้อยนิดครับ
เป็นเหตว่า เมื่อตัวเราได้ตัดสินใจเลือกฝ่ายแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความเชื่อของตัวเอง ยกเว้น เหตุผลที่ขัดกับความเชื่อของตัวเราจะมีน้ำหนักที่มากจนโยกคลอนความเชื่อของเราได้ ย้ำว่าตัวเราเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนความเชื่อตัวเองได้ ปัจจัยอื่นจากภายนอกเปนเพียงส่วนประกอบที่ตัวเรานำมารวมกัน
เราไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อใครได้เพราะทุกคนมีความเชื่อของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะทะเลาะกันเรื่องการเมืองเพื่ออะไร พอการเมืองจบเราก็เสียเพื่อน? คนที่เชื่อไม่เหมือนเราไม่ใช่คนเลวครับ คนเกิดมาส่วนใหญ่เปนคนดีทั้งนั้น สถานการณ์เท่านั้นที่ทำให้เกิดการกระทำที่ผิด นักโทษในคุกเวลาดูหนังยังเชียร์พระเอกเลยครับ
การเมืองและสตาร์บัคเหมือนกันตรงไหน ?
เหมือนกันตรงที่เราเชื่อว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อนั้น
เราซื้อสตาร์บัคไม่ใชแค่กาแฟ อร่อย จึงสามารถขายให้เราในราคาแพงได้ แต่เราดื่มสตาร์บัคเพราะเราเชื่อว่าเราคือสตาร์บัค เราเชื่อว่าเราคือไอโฟน เรายืนยันในสิ่งที่เราเชื่อจากของที่เราใช้ จากของที่เรากิน จากพรรคการเมืองที่เราเลือก สิ่งเหล่านี้สะท้อนความเป็นตัวเรา สะท้อนความเชื่อเราออกมาให้คนอื่นเห็น
คนที่คัดค้านเขื่อนแม่วงค์ ไม่ได้ออกมาสนับสนุนนักวิชาการ แต่ออกมาสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง ออกมาแสดงความเชื่อของตัวเอง
คนที่ออกมาชุมนุมที่ราชดำเนินหลายแสนคนหรือล้านคนก็ตาม เค้าก็ออกมาแสดงจุดยืนความเชื่อของตัวเอง
คนที่ออกมาอาจจะเชื่อว่า การออกมาชุมนุมคือการไม่เอารัฐบาลยิ่งลักษณ์
แต่คนที่เชื่อต่างออกไปก็อาจจะตีความได้หลายอย่าง ว่าการออกมาคือสนับสนุน ประชาธิปัต
จากที่บอกไปด้านบนผมอยากแบ่งผู้สนับสนุน 3 กลุ่ม คนเสื้อแดงย่อมไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่ราชดำเนิน
แต่คนที่ราชดำเนินคือคนที่ไม่เอารัฐบาลยิ่งลักษ์เหมือนกัน แต่เรื่องการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตก็เป็นอีกความเชื่อหนึ่งที่จะมีคนเอาหรือไม่เอาด้วยก็ได้
ถ้าพรุ่งนี้บนเวทีบอกว่าขอบคุณที่มาสนับสนุนประชาธิปัตย์เพื่อทำงานแทนเพื่อไทยแล้ว ผู้ชุนนุมส่วนที่ไม่สนับสนุนพรรคก็จะแยกตัวออกมา
เพียงจะบอกว่าคนที่ชุมนุมอาจจะไม่ต้องการทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยก็ได้ แต่เพราะวันนี้คนเชื่อว่าที่กำลังโกงกินคือรัฐบาล ดังนั้นไม่ว่าจะใครที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตก็สามารถนำมวลชนได้ ถ้าพรุ่งนี้ประชาธิปัตเปนรัฐบาลที่กำลังโกงกิน คนที่มาชุนนุมวันนี้ก็อาจจะถูกนำโดยเพื่อไทยก็ได้
ปัญาของการเมืองคือ ไม่ว่าจะเปนประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิส หรือระบอบอะไรก็แล้วแต่ทุกระบอบเปนเรื่องของทุนนิยมและผลประโยชน์ คนกลุ่มน้อยได้ประโยชน์และคนหมู่มากเสียประโยชน์ทั้งสิ้น
ทำไมจึงไม่มีพรรคการเมืองใดดี? ทำไมนักการเมืองโง่?
ไม่มีคนโง่ครับ มีแต่คนทำเพื่อผลประโยชน์ เรียกได้ว่าไม่มากก็น้อยแต่เปนเกือบทุกคน รากเร้าการเปนคนโกงเริ่มตั้งแต่เข้าสู่วงจรทางการเมืองครับ นักการเมืองจำเปนต้องมีคนสนับสนุนและเงินทุน นั้นเปนโอกาสให้เกิดการสร้างบุญคุณขึ้น ไม่มีใครเปนนักการเมืองได้โดยไม่มีผู้มีพระคุณครับ
เมื่อเป็นใหญ่เปนโตก็ต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณกันไม่จบไม่สิ้น พอทำไปทำมาจะโกงเพื่อคนอื่นอย่างเดียวทำไมก็โกงเพื่อตัวเองด้วยซะเลย ไม่ใช่แค่นักการเมือง อันนี้รวมถึงตำรวจและอื่นๆด้วยครับ คนดีที่เปนแกะขาวในหมู่แกะดำ อาจจะมี 1 ในร้อย แต่ถ้ามีเหล่าแกะดำก็ต้องพยายามกำจัดให้ออกไป เพราะแกะขาวมือสะอาดไม่มีชนักติดหลังอยู่ด้วยแล้วไม่สบายใจ กำจัดไม่ใช่การฆ่าแต่เปนการสั่งย้ายไปอยู่ในที่ห่างไกล หรือต่ำแหน่งที่ไร้อำนาจนั้นเอง เมื่อคนดีไม่มีพวกพ้องและไร้อำนาจ บ้านเมืองก็เลยเปนแบบนี้
ไม่ใครจะเปนรัฐบาลสุดท้ายก็เพียงเข้ามาแบ่งกันปล้นประเทศเท่านั้น จะมีใครที่ไม่ต้องใช้เงินและคนหนุนหลังเพื่อเปนรัฐบาลไหม? ย่อมไม่มี
วิธีแก้ ยังเปนปัญหาโลกแตกเพราะรากเหง้าการโกงกินฝังลึก ต่อให้ประหารนักการเมืองและผู้นำทางการเมืองทุกคน นักการเมืองรุ่นต่อไปก็ยังเหมือนเดิม
จบแล้วครับ
อันล่างนี้คิดเล่นๆฟุ้งๆ
บางทีเราอาจต้องจำกัดตำแหน่ง สสและรัฐมนตรี ให้เปนได้เพียงยิ่งกว่าคนธรรมดาที่สุด สสและรัฐมนตรีทุกคนต้องถูกแช่แข็งทรัพสินทั้งหมดตั้งแต่วันแรก การเบิกจ่ายเงินทั้งหมดจะต้องผ่านการตรวจสอบที่ประชาชนเห็นสามารถทุกรายการ อำนาจต่างๆ ถูกแยกกัน งบประมาณถูกแยกจากกัน และถูกตรวจสอบกันเอง มีหน่วยงานลับค่อยตรวจสอบ สสและรัฐมนตรี อีกที บทลงโทษคือประหารและยึดทรัพย์ทั้งหมด ลูกหลานให้มีเงินครองได้ไม่เกินจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ถ้าใครอยากเปน สส และรัฐมนตรี สิ่งตอบแทนที่ได้คืออุดมการณ์และความภูมิใจเท่านั้น
ผมออกตัวไว้ก่อนว่าที่เขียนด้านบนพยายามเขียนให้เปนกลาง แต่โดยส่วนตัวผมก็ไม่ต้องการรัฐบาลที่โกงไม่ว่ารัฐบาลเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ ต่อให้เป็นเด็กมหาวิยาลัยที่มีความเชื่อเดียวกันผมก็สนับสนุนครับ ถ้าใครคิดแค่ว่าไม่เอาเพื่อไทยก็ต้องเอาประชาธิปัตย์ ผมอยากบอกว่าประเทศนี้มีคน หกสิบกว่าล้านคนต่อให้ไม่มีทั้ง 2 พรรคนี้ หรือไม่มีพรรคการเมืองใดเลยประเทศนี้ก็มีทางไปครับ อาจจะมีทางไปทึ่ดีกว่าเดิมเสียด้วย
อ่านได้ที่ บล็อคครับ http://bit.ly/17KLEby
Facebook.com/limsila