รีวิว === The Hunger Games: Catching Fire === ขนนกที่ลุกเป็นไฟ (พร้อมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ)

** สปอยล์เนื้อหาจะซ่อนไว้ **


ก่อนที่หนังภาคแรกจะฉายไม่ได้เป็นแฟนคลับหนังสือมาก่อน แต่พอดูภาคแรกจบ รีบซื้อหนังสือมาอ่านทันใด และกลายเป็นแฟนคลับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้จะไม่ได้คลั่งไคล้ถึงขนาดเรียกกันว่า ‘ติ่ง’ แต่ก็ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ จนอาจเรียกได้ว่า ‘sub ติ่ง’ เหมือนกับวิชาเลขที่มี ‘subset’ โดยหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จำนวน 2 รอบ (เหมือนกับภาคแรกที่ดู 2 รอบเช่นกัน) ‘sub ติ่ง’ คนนี้ก็พร้อมจะบรรยายความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้ให้อ่านกัน ซึ่งมีเรื่องราวมากมายเต็มหัวไปหมดจนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ผมจึงขอบรรยายสรรพคุณเป็นหัวข้อไปเรื่อยๆ เพื่อจัดเรียงความคิดให้เป็นระบบระเบียบและเข้าใจได้ง่าย ไปเริ่มกันหลังจากย่อหน้านี้เลยครับ

เหตุการณ์จากภาคที่แล้ว

หลังจากในภาคที่แล้ว นางสาวแคทนิส เอฟเวอร์ดีน กับนายพีต้า เมลลาร์ก กลายเป็นผู้ชนะจากเขตการปกครองที่ 12 ซึ่งผ่านมาเนิ่นนานมากที่เขตนี้จะมีผู้ชนะอีกครั้ง โดยครั้งก่อนหน้านี้คือ เกมล่าชีวิตครั้งที่ 50 ซึ่งเป็นควอเตอร์เควลครั้งที่ 2 ผู้ชนะคือ เฮย์มิตช์ อะเบอร์นาธี

และการแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่ 74 ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้ชนะถึง 2 คน จากการที่นางเอกของเราหยิบผลเบอร์รี่พิษให้ตัวเองและให้พีต้า หมายจะฆ่าตัวตายกันทั้งคู่และทำให้การแข่งขันไม่มีใครรอด แต่ผลลัพธ์ก็ลงเอยด้วยการชนะของทั้งคู่ และเป็นการพ่ายแพ้ของเซเนก้า เครน ที่คาดเดาได้จากหนังและหนังสือว่า ‘ตาย’ จากการตัดสินที่ไม่เป็นที่ถูกใจของแคปิตอล และทำให้แคทนิสนางเอกของเรา เป็นตัวจุดไฟให้เขตการปกครองทั้งหลายเริ่มลุกฮือเพื่อต่อต้านอำนาจแคปิตอล และคาดว่าอาจจะเป็นที่มาของเกมการแข่งขันอันดุเดือดครั้งที่ 75 ซึ่งเป็นควอเตอร์เควลครั้งที่ 3

เหตุการณ์ในภาคล่าสุด

การแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 ซึ่งเป็นควอเตอร์เควล ในหนังสือบอกไว้ 2 ความเป็นไปได้ ข้อแรกคือ กติกาของควอเตอร์เควลได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยุคมืด หรือก่อนการเกิดของเกมล่าชีวิตแล้ว ส่วนข้อที่สองคือ ประธานาธิบดีสโนว์ได้กำหนดกติกาขึ้นมาใหม่ จากความกระด้างกระเดื่องของแคทนิสที่เกิดขึ้นในเกมล่าชีวิตครั้งที่ 74

ในขณะที่หนังบอกเอาไว้ว่า มีการเขียนกติกาขึ้นใหม่ด้วยการสมคบคิดของประธานาธิบดีสโนว์ และหัวหน้าเกมเมกเกอร์หน้าใหม่ พลูตาร์ช เฮฟเว่นสบี เพื่อเป็นบทลงโทษของการท้าทายอำนาจของแคปิตอลจากความกระด้างกระเดื่องของนางสาวแคทนิส เอฟเวอร์ดีน

กติกาของควอเตอร์เควลที่ 3 คือการให้ผู้ชนะเกมล่าชีวิตในปีที่ผ่านมาทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ กลับเข้ามาเข่นฆ่าเพื่อหาผู้ชนะกันอีกครั้ง ตามคอนเซปต์ที่ว่า “แม้แต่ผู้มีพละกำลังและความสามารถที่เก่งกาจที่สุด ก็มิอาจมีอำนาจเหนือแคปิตอลได้” ทำให้นางเอกของเราออกอาการเฮิร์ทหนัก ที่จะต้องกลับไปเสี่ยงอีกครั้ง ซึ่งหมายรวมถึงการเอาชีวิตรอดของตัวเธอเอง, ครอบครัวเธอ และคนอื่นๆที่เธอต้องรับผิดชอบอย่าง ครอบครัวเกล เป็นต้น

การที่กติกาออกมาเป็นดังนี้ ทำให้มีการคัดเลือกบรรณาการจากผู้รอดชีวิตที่ยังรอดชีวิตจากแต่ละเขตการปกครอง ซึ่งมีทั้งวัยรุ่นปลายๆ, วัยกลางคน ไปจนถึงแก่หงำเหงือก และแน่นอนว่า บรรณาการจากเขตการปกครองที่ 12 ที่คัดเลือกแล้ว เป็นบรรณาการที่อายุน้อยที่สุดคือ 17 ปี ทั้งแคทนิสและพีต้า ส่วนบรรณาการที่แก่สุดๆคือ แม็กซ์ หญิงชราจากเขตการปกครองที่ 4 ที่มีอายุกว่า 80 ปี รองลงมาเป็น วูฟ ชายชราจากเขตการปกครองที่ 8 อายุประมาณ 70 ปี

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จุดเด่นของหนัง

จากการที่เรื่องราวในหนังสือเล่มสองถูกเขียนไว้อย่างเฉียบคม ดำเนินเรื่องในมุมมองของแคทนิส เอฟเวอร์ดีน โดยกล่าวเหตุการณ์แต่ละส่วน ที่จะมีจุดหักเหหรือจุดดึงดูดคนอ่านให้ติดตามตั้งแต่บทแรกไปจนจบเล่ม ความยอดเยี่ยมของหนังก็คือ การจับเอาประเด็นสำคัญที่กล่าวไว้ในหนังสือมาเล่าโดยไม่ทำให้เรื่องราวเสียศูนย์หรือเปลี่ยนความหมายไป แม้จะมีหลายฉากหลายตอนในหนังที่เนื้อหาต่างจากหนังสืออยู่บ้าง และบางเรื่องราวในหนังสือก็ไม่ได้มีในหนัง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายเมื่อหนังจบลง ประเด็นสำคัญ, อารมณ์ที่คนดูได้รับจากการอ่านหนังสือ แทบไม่แตกต่างจากการดูหนังเรื่องนี้เลย ซึ่งผมคิดว่ามือเขียนบทจะต้องอ่านหนังสือจบทั้ง 3 เล่มแล้ว จึงรู้ว่าจะสามารถละเนื้อหาตรงส่วนไหนได้บ้าง ที่จะไม่ทำให้ความหมายของเนื้อเรื่องเปลี่ยน และเรื่องราวที่ละทิ้งไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปจริงๆ หนังยังคงคอนเซปต์เดิมที่หนังสือสร้างไว้ แม้ว่าอารมณ์ที่ได้จะแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม

จุดอ่อนของหนัง

อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนที่สะสมมาจากภาคที่แล้วด้วย ความจริงก็ไม่ใช่จุดอ่อนซะทีเดียว เพราะการเล่าเรื่องในหนังสือจะเล่าในมุมมองของแคทนิส ซึ่งบรรยายผ่านตัวอักษร ในขณะที่เมื่อทำมาเป็นหนังที่ต้องใช้ภาพในการเล่าเรื่อง การจะให้ภาพแทนตัวอักษรทั้งหมดที่มีในหนังสือก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นมุมมองที่เล่าในหนังจึงไม่ใช่มุมมองของแคทนิสฝ่ายเดียว แต่เป็นมุมมองของทุกตัวละคร เป็นสาเหตุของการที่หนังสือและหนังมีหลายฉากที่เล่าไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ฉากการสนทนาของประธานาธิบดีสโนว์ กับพลูตาร์ช เฮฟเว่นสบี ซึ่งไม่ได้มีในหนังสือแต่ในหนังกลับมี

ตรงจุดนี้ทำให้อารมณ์ในบางฉากบางตอน ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับความรู้สึกที่ได้รับจากการอ่านหนังสือ เช่น ความโหดเหี้ยมของประธานาธิบดีสโนว์ ในหนังสโนว์ไม่ค่อยมีบทบาท ถึงจะดูโหดร้ายแต่เนื้อเรื่องในหนังไม่ได้ส่งให้ดูร้ายกาจอย่างเช่นในหนังสือ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการละบางตอนที่ความสำคัญอ่อนลงไป เช่น ในหนังสือมีตัวละครดาริอุสที่กลายไปเป็นอะว็อกซ์จากการจับกุมของแคปิตอล ซึ่งในหนังไม่ได้กล่าวไว้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ความสนุกของหนัง

จากที่ภาคที่แล้ว ความสนุกของหนังดูเหมือนจะมีอยู่น้อย เนื่องจากการที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่ารายละเอียดของเนื้อเรื่องและตัวละคร ในภาคล่าสุดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากภาคแรกเท่าไร คือหนังยังคงเล่ารายละเอียดของเนื้อเรื่องและตัวละครอยู่เช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อหาดูสนุกขึ้นกว่าภาคแรก คือการที่เนื้อเรื่องมีจุดดึงดูดความสนใจเป็นระยะๆ และมีขึ้นต่อเนื่องไปจนจบเรื่อง ซึ่งก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกันในหนังสือเล่มสอง ที่จะมีจุดหักเหหรือจุดสนใจที่ดึงดูดสายตาจนแทบจะวางหนังสือไม่ลง

เนื้อเรื่องยังคงเต็มไปด้วยบทสนทนาซะเป็นส่วนใหญ่ ฉากแอ๊กชั่นที่เร้าใจจริงๆก็จะมีเมื่อผ่านกลางเรื่องไปแล้ว คือตอนที่เข้าสู่สนามประลอง โดยก่อนหน้านั้นก็จะเป็นเรื่องราวของทัวร์ผู้พิชิต การจับฉลากคัดเลือก การสัมภาษณ์ และการฝึกซ้อมในศูนย์ฝึก ซึ่งกินเวลายาวนานกว่าครึ่งเรื่อง

เมื่อผ่านครึ่งเรื่องไปแล้ว ก็เข้าสู่ความตื่นเต้นในสนามประลองที่ออกแบบขึ้นใหม่ ในครั้งนี้มีลูกเล่นมากกว่าภาคที่แล้ว โดยภาคที่แล้วก็อย่างที่รู้ๆกัน ตัวละครเดินเล่นในป่ากันซะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เนื้อเรื่องออกจะเชื่องช้าไปบ้าง ต้องขอบคุณที่หนังสือเล่มสองวางโครงเรื่องไว้อย่างดี จนทำให้เมื่อกลายเป็นหนังแล้ว ออพชั่นต่างๆถูกเสริมเข้ามาเพื่อเพิ่มความเร้าใจ โดยเฉพาะออพชั่นที่เกิดจากสนามประลองรูปแบบใหม่ (อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรและไม่กลัวสปอยล์ กลับไปอ่านสปอยล์ส่วนแรกได้จากด้านบน)

อ่านต่อในความเห็นแรก เนื่องจากตัวอักษรเกิน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่