1. ใครที่คิดว่าจะมี action เยอะขึ้น คิดผิดนะครับ มันน้อยกว่าภาคแรกอีก
2. ภาคนี้เน้นการดำเนินเรื่องมากกว่าการดึงอารมณ์ร่วมของคนดู ใครที่ชอบการนำเสนอของ ผกก ในภาคแรก ภาคนี้มีให้น้อยกว่ามากนะครับ และ ผกก ภาคนี้คนละคนกับภาคแรก
3. ซื้อหนังสือภาค 3 Mockingjay ไว้รอก่อนเข้าไปดูหนังได้เลย เพราะถ้าออกจากโรงหนังหลัง 3 ทุ่ม ร้านหนังสือจะปิดซะก่อน ไม่งั้นคุณจะ.... (อธิบายเพิ่มเติมข้างล่าง)
4. หนัง 2 ½ ชม. เตรียมเสื้อหนาวและเข้าห้องน้ำให้พร้อม
ผมขอรีวิวหนังนิดหน่อย ไม่ Spoil
ต้องบอกก่อนว่าไม่เคยอ่านหนังสือชุดนี้ และเคยดูภาคแรกในโรงครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อปีที่แล้ว ( ซื้อ DVD ภาคแรกเก็บไว้แต่ยังไม่ได้ดูเลย)
จำภาคแรกได้แต่ไม่หมด จำได้ว่าภาคแรกดีมาก ก่อนเข้าไปดูก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่หนัง action แต่เป็นหนัง Drama-Adventure เข้าไปดูโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรโดยเฉพาะaction แต่เห็นว่าได้รีวิวดีที่อเมริกา เลยลองเข้าไปดูซะหน่อย ดูจบแล้วประทับใจมาก
ต้องบอกว่าหนังดึงอารมณ์คนดูเข้าไปอินกับหนังดีมาก (ลุ้นตลอดเลยว่า Peeta เป็นคนดีจริงหรือเปล่า ลุ้นตั้งแต่ต้นจนเกมส์จบ ลุ้นว่าจะหักมุมไหม หรือลุ้นว่าตัวนู้นตัวนี้จะรอดหรือเปล่า) อันนี้ต้องชมผู้กำกับ Gary Ross ที่นำเสนอได้ดี (ชอบ ผกก คนนี้ตั้งแต่เรื่อง Pleasantville) อีกทั้งการเลือกแนวทางของ production design ในโลกอนาคตที่แปลก และการถ่ายหนังด้วย handheld (ไม่ใช้ขาตั้งกล้อง) ให้อารมณ์ของ reality TV show ซึ่งมีประโยชน์ในเชิงสื่ออารมณ์กดดันของตัวละครให้เข้าถึงคนดู
และต้องขอชมการคัดนักแสดงที่เฉียบขาดมากทั้งตัวละครของ Peeta Haymitch President Snow และโดยเฉพาะ Katniss ภาคแรกถ้าไม่มี Jennifer Lawrence ถือว่าจะเป็นหนังดีเรื่องหนึ่งแต่อาจจะไม่สามารถดึงคนดูให้ รู้สึกสัมผัสถึงตัวละครตัวนี้ได้
Catching Fire ทำออกมาได้ดี หนัง 2 ½ ชม. ดูแล้วเหมือน ชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้ว่า 20 นาทีแรกจะดูน่าเบื่อไปหน่อย แต่หลังจาก 20 นาทีแรกความสนุกเริ่มมา หนังเริ่มน่าติดตาม ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ผมคาดหวังว่าหนังจะสามารถดึงผมเข้าไปอยู่ในหนังได้เหมือนในภาคแรก หรือลุ้นว่าตัวละครนี้อยู่ฝั่งไหนกันแน่ แต่ต้องบอกว่าที่คาดหวังไว้ผิดหวังครับ หนังไม่ได้เน้นตรงนี้ ผมเริ่มเดาได้ว่าคนไหนน่าจะรอด หรือคนไหนอยู่ฝ่ายไหน (เป็นฝ่ายดีหรือเปล่า) จากการแคสนักแสดง (เห็นนักแสดงคนนี้เล่นบทคล้ายกันในหลายๆเรื่อง และการนำเสนอตัวละคร)
นี้อาจจะเป็นเพราะ ผกก Francis Lawrence ที่ถนัดหนัง Action Thriller มากำกับภาคนี้ เพราะหนัง action ส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องถูกเล่าผ่านพล็อตหนังมากกว่าผ่านตัวละคร (จะสลับกันในภาคแรกเพราะ Gary Roos ถนัดหนัง Drama)
Francis Lawrence เลือกที่จะถ่าย steady camera (กล้องมีฐานตั้ง) ในฉากไล่ล่า ไม่รู้ว่าทำไมไม่ถ่ายแบบ handheld เหมือนภาคแรก อาจเป็น เพราะว่าไม่ชอบสไตล์นั้นหรือเพราะว่าถูกบังคับให้ถ่ายด้วยกล้อง IMAX แต่อย่างไรก็ดี มีหลายๆคนชอบแบบนี้มากกว่าเพราะดูแล้วไม่เวียนหัวเหมือนภาคแรก
โดยรวมถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่ดีเรื่องหนึ่งครับ ( Highlight ของภาคนี้สำหรับผมคือ 15 นาทีสุดท้าย)
เน้นนะครับให้ซื้อหนังสือ Mockingjay รอไว้เลยก่อนไปดู Catching Fire ในโรง (สำหรับคนที่ไม่อยากรอดูภาค 3 ที่แบ่งเป็น 2 part ฉายในเดือน พ.ย.ปีหน้าและ พ.ย. ปี 2015 โดย ผกก จากภาค 2 คนเดิม)
ไม่งั้นคุณจะรู้สึกค้างคา เหมือนตอนที่ผมดู Star Wars: Empire Strike Back จบแล้วต้องรีบไปเช่า Return of the Jedi หลังเลิกเรียนในวันต่อมา
แต่สำหรับ Mockingjay คุณต้องรอถึงปีหน้า!!! แบ่งเป็น 2 part ด้วย!! หนังสือหนาเท่า 2 ภาคแรกแต่แบ่งครึ่งเพื่อโกยเงินตามสูตร (ดีนะไม่แบ่งเป็น 3 part เหมือน The Hobbit ที่ยืดซะยานเลย)
ถ้า (เน้นเสียง ถ้า ) เรื่องนี้ไม่ใช่หนังภาคต่อ (หรือไม่ได้ดูภาคแรกหรือรู้เรื่องในภาคแรก) ผมว่าเรื่องนี้แค่ OK ที่มีดีตรง Jennifer Lawrence
Jennifer Lawrence แสดงได้ดีหรืออาจจะดีกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ (ต้องไปดูภาคแรกอีกครั้ง จำหลายๆฉากไม่ค่อยได้) สมควรแล้วที่เธอได้เข้าชิงออสการ์ถึง 2 ครั้งและคว้าไปหนึ่งในปีนี้ (อายุแค่ 22 เองตอนรับรางวัล)
Shot สุดท้าย close up หน้าเธอ ตัวนิ่งๆ แต่สายตาของเธอสามารถสื่อถึงอารมณ์ทุกอย่างของตัวละครในขณะนั้นได้ดี สับสน เศร้า และ โกรธ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวครั้งแรกของผมใน Pantip ครับ
ป.ล. ขออภัยถ้าภาษาไทยบกพร่องครับ
[CR] คำเตือนก่อนไปดู The Hunger Games: Catching Fire + รีวิวเล็กๆ
2. ภาคนี้เน้นการดำเนินเรื่องมากกว่าการดึงอารมณ์ร่วมของคนดู ใครที่ชอบการนำเสนอของ ผกก ในภาคแรก ภาคนี้มีให้น้อยกว่ามากนะครับ และ ผกก ภาคนี้คนละคนกับภาคแรก
3. ซื้อหนังสือภาค 3 Mockingjay ไว้รอก่อนเข้าไปดูหนังได้เลย เพราะถ้าออกจากโรงหนังหลัง 3 ทุ่ม ร้านหนังสือจะปิดซะก่อน ไม่งั้นคุณจะ.... (อธิบายเพิ่มเติมข้างล่าง)
4. หนัง 2 ½ ชม. เตรียมเสื้อหนาวและเข้าห้องน้ำให้พร้อม
ผมขอรีวิวหนังนิดหน่อย ไม่ Spoil
ต้องบอกก่อนว่าไม่เคยอ่านหนังสือชุดนี้ และเคยดูภาคแรกในโรงครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อปีที่แล้ว ( ซื้อ DVD ภาคแรกเก็บไว้แต่ยังไม่ได้ดูเลย)
จำภาคแรกได้แต่ไม่หมด จำได้ว่าภาคแรกดีมาก ก่อนเข้าไปดูก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่หนัง action แต่เป็นหนัง Drama-Adventure เข้าไปดูโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรโดยเฉพาะaction แต่เห็นว่าได้รีวิวดีที่อเมริกา เลยลองเข้าไปดูซะหน่อย ดูจบแล้วประทับใจมาก
ต้องบอกว่าหนังดึงอารมณ์คนดูเข้าไปอินกับหนังดีมาก (ลุ้นตลอดเลยว่า Peeta เป็นคนดีจริงหรือเปล่า ลุ้นตั้งแต่ต้นจนเกมส์จบ ลุ้นว่าจะหักมุมไหม หรือลุ้นว่าตัวนู้นตัวนี้จะรอดหรือเปล่า) อันนี้ต้องชมผู้กำกับ Gary Ross ที่นำเสนอได้ดี (ชอบ ผกก คนนี้ตั้งแต่เรื่อง Pleasantville) อีกทั้งการเลือกแนวทางของ production design ในโลกอนาคตที่แปลก และการถ่ายหนังด้วย handheld (ไม่ใช้ขาตั้งกล้อง) ให้อารมณ์ของ reality TV show ซึ่งมีประโยชน์ในเชิงสื่ออารมณ์กดดันของตัวละครให้เข้าถึงคนดู
และต้องขอชมการคัดนักแสดงที่เฉียบขาดมากทั้งตัวละครของ Peeta Haymitch President Snow และโดยเฉพาะ Katniss ภาคแรกถ้าไม่มี Jennifer Lawrence ถือว่าจะเป็นหนังดีเรื่องหนึ่งแต่อาจจะไม่สามารถดึงคนดูให้ รู้สึกสัมผัสถึงตัวละครตัวนี้ได้
Catching Fire ทำออกมาได้ดี หนัง 2 ½ ชม. ดูแล้วเหมือน ชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้ว่า 20 นาทีแรกจะดูน่าเบื่อไปหน่อย แต่หลังจาก 20 นาทีแรกความสนุกเริ่มมา หนังเริ่มน่าติดตาม ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ผมคาดหวังว่าหนังจะสามารถดึงผมเข้าไปอยู่ในหนังได้เหมือนในภาคแรก หรือลุ้นว่าตัวละครนี้อยู่ฝั่งไหนกันแน่ แต่ต้องบอกว่าที่คาดหวังไว้ผิดหวังครับ หนังไม่ได้เน้นตรงนี้ ผมเริ่มเดาได้ว่าคนไหนน่าจะรอด หรือคนไหนอยู่ฝ่ายไหน (เป็นฝ่ายดีหรือเปล่า) จากการแคสนักแสดง (เห็นนักแสดงคนนี้เล่นบทคล้ายกันในหลายๆเรื่อง และการนำเสนอตัวละคร)
นี้อาจจะเป็นเพราะ ผกก Francis Lawrence ที่ถนัดหนัง Action Thriller มากำกับภาคนี้ เพราะหนัง action ส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องถูกเล่าผ่านพล็อตหนังมากกว่าผ่านตัวละคร (จะสลับกันในภาคแรกเพราะ Gary Roos ถนัดหนัง Drama)
Francis Lawrence เลือกที่จะถ่าย steady camera (กล้องมีฐานตั้ง) ในฉากไล่ล่า ไม่รู้ว่าทำไมไม่ถ่ายแบบ handheld เหมือนภาคแรก อาจเป็น เพราะว่าไม่ชอบสไตล์นั้นหรือเพราะว่าถูกบังคับให้ถ่ายด้วยกล้อง IMAX แต่อย่างไรก็ดี มีหลายๆคนชอบแบบนี้มากกว่าเพราะดูแล้วไม่เวียนหัวเหมือนภาคแรก
โดยรวมถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่ดีเรื่องหนึ่งครับ ( Highlight ของภาคนี้สำหรับผมคือ 15 นาทีสุดท้าย)
เน้นนะครับให้ซื้อหนังสือ Mockingjay รอไว้เลยก่อนไปดู Catching Fire ในโรง (สำหรับคนที่ไม่อยากรอดูภาค 3 ที่แบ่งเป็น 2 part ฉายในเดือน พ.ย.ปีหน้าและ พ.ย. ปี 2015 โดย ผกก จากภาค 2 คนเดิม)
ไม่งั้นคุณจะรู้สึกค้างคา เหมือนตอนที่ผมดู Star Wars: Empire Strike Back จบแล้วต้องรีบไปเช่า Return of the Jedi หลังเลิกเรียนในวันต่อมา
แต่สำหรับ Mockingjay คุณต้องรอถึงปีหน้า!!! แบ่งเป็น 2 part ด้วย!! หนังสือหนาเท่า 2 ภาคแรกแต่แบ่งครึ่งเพื่อโกยเงินตามสูตร (ดีนะไม่แบ่งเป็น 3 part เหมือน The Hobbit ที่ยืดซะยานเลย)
ถ้า (เน้นเสียง ถ้า ) เรื่องนี้ไม่ใช่หนังภาคต่อ (หรือไม่ได้ดูภาคแรกหรือรู้เรื่องในภาคแรก) ผมว่าเรื่องนี้แค่ OK ที่มีดีตรง Jennifer Lawrence
Jennifer Lawrence แสดงได้ดีหรืออาจจะดีกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ (ต้องไปดูภาคแรกอีกครั้ง จำหลายๆฉากไม่ค่อยได้) สมควรแล้วที่เธอได้เข้าชิงออสการ์ถึง 2 ครั้งและคว้าไปหนึ่งในปีนี้ (อายุแค่ 22 เองตอนรับรางวัล)
Shot สุดท้าย close up หน้าเธอ ตัวนิ่งๆ แต่สายตาของเธอสามารถสื่อถึงอารมณ์ทุกอย่างของตัวละครในขณะนั้นได้ดี สับสน เศร้า และ โกรธ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวครั้งแรกของผมใน Pantip ครับ
ป.ล. ขออภัยถ้าภาษาไทยบกพร่องครับ