เหลือเวลาอีกไม่นาน การประกาศรางวัล “ฟีฟ่า บัลลง ดอร์” จะทราบผลกันแล้ว โดยรางวัลประจำปี 2013 จะจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของฟีฟ่า กรุงซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วันที่ 13 มกราคม 2014
งานนี้มีซูเปอร์สตาร์ 23 ราย พาเหรดเข้ามาเป็นแคนดิเดท ตัวเต็งสำคัญคงจะหนีไม่พ้น ฟร้องค์ ริเบรี่ จอมทัพบาเยิร์น มิวนิค, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกเรอัล มาดริด และลิโอเนล เมสซี่ เพลย์เมคเกอร์บาร์เซโลน่า
โดยสองรายหลังกำลังเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก อันเนื่องมาจากเซปป์ แบล็ตเตอร์ ประมุขของฟีฟ่า ออกมาเหน็บแนม “CR7” แบบเสียหาย แถมอวย “LM10” แบบออกหน้าออกตา
ส่งผลให้อดีตแข้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกแนวไม่พอใจ ประกาศกร้าวจะไม่ร่วมกิจกรรมที่ฟีฟ่า จัดขึ้นทุกชนิด
เป็นใครก็ต้องเคืองกันบ้าง เนื่องจาก “ฟีฟ่า บัลลง ดอร์” 3 สมัยหลังสุด ตกเป็นของเมสซี่ ทั้งหมด (หากรวมชื่อเดิมอย่าง “บัลลง ดอร์” เข้าไปด้วย สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าไป 4 ครั้งติดต่อกันแล้ว)
นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น คราวนี้มาย้อนความหลัง ถึงเรื่องราวของ “บัลลง ดอร์” กันบ้าง หากไล่เรียงดูแล้ว ผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ในยุค’90 ต่างแขวนสตั๊ด และเลิกเล่นกันไปหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น โลธาร์ มัทเธอุส (1990), ฌอง ปิแอร์ ปาแปง (1991), มาร์โก ฟาน บาสเท่น (1992), โรแบร์โต้ บาจโจ้ (1993), ฮริสโต้ สตอยคอฟ (1994), จอร์จ เวอาห์ (1995), มัทเธียส ซามเมอร์ (1996), โรนัลโด้ (1997), ซิเนอดิน ซีดาน (1998), หลุยส์ ฟิโก้ (2000)
อย่างไรก็ตาม ยังมีอดีตแข้งยอดเยี่ยม ที่ยังโลดแล่นบนฟลอร์หญ้าอยู่ 1 คน นั่นคือ “ริวัลโด้” อดีตกองกลางทีมชาติบราซิล และเจ้าของ “บัลลง ดอร์” ในปี 1999 นั่นเอง
ริวัลโด้ ฟอร์มพีคสุดขีด ด้วยการพาบาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 2 สมัยซ้อน (1998 และ 1999) พ่วงด้วยแชมป์โกปา เดล เรย์ อีกสมัย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาได้รับการโหวตกว่า 219 เสียง เอาชนะเดวิด เบ็คแฮม ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (154) และอังเดร เชฟเชนโก้ ของเซี มิลาน (64) ไปอย่างขาดลอย
หลังจากนั้น 3 ปี ฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวถึงขั้นปรอทแตก พาบราซิล คว้าแชมป์โลก 2002 บนแผ่นดินเอเชีย ได้อย่างยิ่งใหญ่
ปีนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก “3R” ที่ช่วยกันผนึกกำลัง พาเซเลเซา คว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งโรนัลโด้, โรนัลดินโญ่ และตัวริวัลโด้ เอง
เอกลักษณ์สำคัญของเจ้าตัวคือลูกฟรีคิกที่แม่นราวจับวาง, การผ่านบอลคิลเลอร์พาสส์สวยๆ และลูกจักรยานอากาศแบบคลาสสิค
ปัจจุบัน ริวัลโด้ มีอายุอานามปาเข้าไป 41 ปีแล้ว แต่ยังรับบทเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกของ “เซา คาเอตาโน่” สโมสรจากเซา เปาโล ในลีกบราซิเอโร่ เซเรีย บี
เจ้าตัวรับเสื้อหมายเลข 10 เหมือนเช่นเคย แถมพ่วงด้วยอีกหนึ่งบทบาทคือ “กัปตันทีม” นั่นเอง แม้สภาพความฟิต, ฟอร์มการเล่น หรือตัวเลขการทำประตู จะลดน้อยลงตามกาลเวลา แต่เจ้าตัวยังสามารถรักษาร่างกาย และประคองดาวเตะรุ่นหลานได้อยู่ นั่นเป็นเพราะเขามีเลือดนักสู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
ริวัลโด้ เกิดในย่านเปาลิสต้า ส่วนหนึ่งของเมือง “แปร์นัมบูโก้” ทางตะวันออกของประเทศบราซิล เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องของหาดทราย และน้ำทะเล แต่เรื่องคุณภาพชีวิตของผู้คน ช่างสวนทางเสียเหลือเกิน
เหมือนเด็กบราซิลทั่วไป ริวัลโด้ เกิดในครอบครัวที่ยากจน ตอนเด็กเขาต้องประสบปัญหาขาดสารอาหาร และโครงสร้างทางร่างกายที่ผิดปกติ ดูจากขาที่โก่งงอผิดรูปร่าง
ในวัย 16 ขวบ เจ้าตัวเริ่มต้นเส้นทางการค้าแข้งกับสโมสร “เปาลิสตาโน่” โค้ชในตอนนั้นเชื่อว่า เขาไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้ เนื่องจากโครงสร้างร่างกายไม่เอื้ออำนวย
จากนั้นไม่นาน เขาสูญเสียคุณพ่อ จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ นั่นเป็นเหมือนจุดมืดบอดในชีวิต ที่หัวเลี้ยวหัวต่อในเส้นทางนักฟุตบอลของเขา
อย่างไรก็ตาม เขากัดฟันสู้กับโชคชะตา จนก้าวมาสร้างชื่อกับทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง โครินเธียนส์ และพัลไมรัส ตามลำดับ
ก่อนจะมาค้าแข้งในยุโรปกับเดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า และย้ายข้ามฟากมาสร้างตำนานกับบาร์ซ่า อย่างที่เรารู้กัน
นี่คือเรื่องราวคร่าวๆของนักเตะ “บัลลง ดอร์” ยุค’ 90 คนสุดท้าย ที่ยังโลดแล่นอยู่ในกีฬาที่ตัวเองหลงรัก อีกไม่นานเขาคงแขวนสตั๊ด แต่สิ่งที่อยู่กับเขาไปตลอดกาล คงจะหนีไม่พ้นคำว่า “ตำนาน”
เครดิต บังคุง
“บัลลง ดอร์” ยุค 90 .... ที่ยังหลงเหลือบนฟลอร์หญ้า
งานนี้มีซูเปอร์สตาร์ 23 ราย พาเหรดเข้ามาเป็นแคนดิเดท ตัวเต็งสำคัญคงจะหนีไม่พ้น ฟร้องค์ ริเบรี่ จอมทัพบาเยิร์น มิวนิค, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกเรอัล มาดริด และลิโอเนล เมสซี่ เพลย์เมคเกอร์บาร์เซโลน่า
โดยสองรายหลังกำลังเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก อันเนื่องมาจากเซปป์ แบล็ตเตอร์ ประมุขของฟีฟ่า ออกมาเหน็บแนม “CR7” แบบเสียหาย แถมอวย “LM10” แบบออกหน้าออกตา
ส่งผลให้อดีตแข้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกแนวไม่พอใจ ประกาศกร้าวจะไม่ร่วมกิจกรรมที่ฟีฟ่า จัดขึ้นทุกชนิด
เป็นใครก็ต้องเคืองกันบ้าง เนื่องจาก “ฟีฟ่า บัลลง ดอร์” 3 สมัยหลังสุด ตกเป็นของเมสซี่ ทั้งหมด (หากรวมชื่อเดิมอย่าง “บัลลง ดอร์” เข้าไปด้วย สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าไป 4 ครั้งติดต่อกันแล้ว)
นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น คราวนี้มาย้อนความหลัง ถึงเรื่องราวของ “บัลลง ดอร์” กันบ้าง หากไล่เรียงดูแล้ว ผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ในยุค’90 ต่างแขวนสตั๊ด และเลิกเล่นกันไปหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น โลธาร์ มัทเธอุส (1990), ฌอง ปิแอร์ ปาแปง (1991), มาร์โก ฟาน บาสเท่น (1992), โรแบร์โต้ บาจโจ้ (1993), ฮริสโต้ สตอยคอฟ (1994), จอร์จ เวอาห์ (1995), มัทเธียส ซามเมอร์ (1996), โรนัลโด้ (1997), ซิเนอดิน ซีดาน (1998), หลุยส์ ฟิโก้ (2000)
อย่างไรก็ตาม ยังมีอดีตแข้งยอดเยี่ยม ที่ยังโลดแล่นบนฟลอร์หญ้าอยู่ 1 คน นั่นคือ “ริวัลโด้” อดีตกองกลางทีมชาติบราซิล และเจ้าของ “บัลลง ดอร์” ในปี 1999 นั่นเอง
ริวัลโด้ ฟอร์มพีคสุดขีด ด้วยการพาบาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 2 สมัยซ้อน (1998 และ 1999) พ่วงด้วยแชมป์โกปา เดล เรย์ อีกสมัย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาได้รับการโหวตกว่า 219 เสียง เอาชนะเดวิด เบ็คแฮม ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (154) และอังเดร เชฟเชนโก้ ของเซี มิลาน (64) ไปอย่างขาดลอย
หลังจากนั้น 3 ปี ฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวถึงขั้นปรอทแตก พาบราซิล คว้าแชมป์โลก 2002 บนแผ่นดินเอเชีย ได้อย่างยิ่งใหญ่
ปีนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก “3R” ที่ช่วยกันผนึกกำลัง พาเซเลเซา คว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งโรนัลโด้, โรนัลดินโญ่ และตัวริวัลโด้ เอง
เอกลักษณ์สำคัญของเจ้าตัวคือลูกฟรีคิกที่แม่นราวจับวาง, การผ่านบอลคิลเลอร์พาสส์สวยๆ และลูกจักรยานอากาศแบบคลาสสิค
ปัจจุบัน ริวัลโด้ มีอายุอานามปาเข้าไป 41 ปีแล้ว แต่ยังรับบทเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกของ “เซา คาเอตาโน่” สโมสรจากเซา เปาโล ในลีกบราซิเอโร่ เซเรีย บี
เจ้าตัวรับเสื้อหมายเลข 10 เหมือนเช่นเคย แถมพ่วงด้วยอีกหนึ่งบทบาทคือ “กัปตันทีม” นั่นเอง แม้สภาพความฟิต, ฟอร์มการเล่น หรือตัวเลขการทำประตู จะลดน้อยลงตามกาลเวลา แต่เจ้าตัวยังสามารถรักษาร่างกาย และประคองดาวเตะรุ่นหลานได้อยู่ นั่นเป็นเพราะเขามีเลือดนักสู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
ริวัลโด้ เกิดในย่านเปาลิสต้า ส่วนหนึ่งของเมือง “แปร์นัมบูโก้” ทางตะวันออกของประเทศบราซิล เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องของหาดทราย และน้ำทะเล แต่เรื่องคุณภาพชีวิตของผู้คน ช่างสวนทางเสียเหลือเกิน
เหมือนเด็กบราซิลทั่วไป ริวัลโด้ เกิดในครอบครัวที่ยากจน ตอนเด็กเขาต้องประสบปัญหาขาดสารอาหาร และโครงสร้างทางร่างกายที่ผิดปกติ ดูจากขาที่โก่งงอผิดรูปร่าง
ในวัย 16 ขวบ เจ้าตัวเริ่มต้นเส้นทางการค้าแข้งกับสโมสร “เปาลิสตาโน่” โค้ชในตอนนั้นเชื่อว่า เขาไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้ เนื่องจากโครงสร้างร่างกายไม่เอื้ออำนวย
จากนั้นไม่นาน เขาสูญเสียคุณพ่อ จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ นั่นเป็นเหมือนจุดมืดบอดในชีวิต ที่หัวเลี้ยวหัวต่อในเส้นทางนักฟุตบอลของเขา
อย่างไรก็ตาม เขากัดฟันสู้กับโชคชะตา จนก้าวมาสร้างชื่อกับทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง โครินเธียนส์ และพัลไมรัส ตามลำดับ
ก่อนจะมาค้าแข้งในยุโรปกับเดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า และย้ายข้ามฟากมาสร้างตำนานกับบาร์ซ่า อย่างที่เรารู้กัน
นี่คือเรื่องราวคร่าวๆของนักเตะ “บัลลง ดอร์” ยุค’ 90 คนสุดท้าย ที่ยังโลดแล่นอยู่ในกีฬาที่ตัวเองหลงรัก อีกไม่นานเขาคงแขวนสตั๊ด แต่สิ่งที่อยู่กับเขาไปตลอดกาล คงจะหนีไม่พ้นคำว่า “ตำนาน”
เครดิต บังคุง