"วิกรม กรมดิษฐ์" บริษัทอมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เขียนคำอาลัยพ่อ...ทิฐิทำให้จากกันโดยไม่ได้ร่ำลา

กระทู้คำถาม
วิกรม กรมดิษฐ์ เขียนคำอาลัยพ่อ... ทิฐิทำให้จากกันโดยไม่ได้ร่ำลา

ถ้อยคำสุดอาลัย..ของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของ บริษัทอมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  ถึงการจากไปของพ่อ ทิฐิคือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้เขากับพ่อจากกันโดยไม่ได้ร่ำลา

          ใครที่เคยติดตามชีวิตของ "วิกรม กรมดิษฐ์" มหาเศรษฐี เจ้าของอาณาจักรนิคมอุตสาหกรรม บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คงทราบถึงเรื่องราวครอบครัวของคุณวิกรม ที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่งว่า ถึงแม้ชีวิตการงานของเขาจะประสบความสำเร็จ เป็นมหาเศรษฐี เป็นเจ้าของอาณาจักรนิคมฯ แต่ชีวิตด้านครอบครัวของเขากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เขากับพ่อมีปากเสียงกันครั้งใหญ่ จนทำให้เขาต้องออกจากบ้าน ไม่พบ ไม่เจอ ไม่พูดคุย กินระยะเวลาล่วงเลยมาถึง 12 ปี ซึ่งเมื่อวานนี้ (17 พฤศจิกายน 2556)  คุณวิกรมก็โพสต์สเตตัสผ่าน เฟซบุ๊ก Vikrom Kromadit  ว่าพ่อของเขาได้เสียชีวิตแล้ว.. พร้อมระบายความในใจอย่างสุดอาลัย ที่ทิฐิทำให้เขากับพ่อไม่ได้คุยกันแม้ช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต...

          "อาลัยพ่อ....

          ผมได้พบกับพ่อครั้งสุดท้ายในวันแต่งงานของวิวัฒน์ (น้องชาย) เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ต่อมาสมศรี (น้องสาว) ก็มาบอกว่าพ่ออยากจะพบเพื่อพูดคุยเรื่องขายที่ดินที่เมืองกาญจน์ แต่ผมก็ปฏิเสธที่จะพบพ่อหลายครั้งในการประชุมของครอบครัว น้อง ๆ มักจะเปรยว่าอยากให้ผมพบกับพ่อ แต่ข่าวคราวเรื่องอารมณ์ของพ่อที่ยังคงร้อนแรงเช่นก่อน ทำให้ผมบ่ายเบี่ยงที่จะไปพบ สาเหตุเพราะผมไม่อยากจะมีความทุกข์เหมือนในอดีตอีก

          ผมเคยบอกผ่าน คุณวสันต์ โพธิพิมพานนท์ แห่งเบนซ์ทองหล่อว่า หากพ่อไม่เอาเรื่องเงินมาเป็นเหตุของการพบปะ ไม่มีการใช้อารมณ์ และเราสามารถพูดคุยกันได้แบบพ่อลูกจริง ๆ ผมก็ยินดีที่จะไปกราบเท้าพ่อทันที พวกเราเชื่ออยู่เสมอว่าพ่อมีสุขภาพแข็งแรงกว่าคนทั่วไป จากการบอกเล่าของน้อง ๆ และพ่อก็แสดงออกถึงความเป็นคนไม่แก่ด้วยการมีภรรยาใหม่อยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้จะมีอายุกว่า 80 ปี แล้วก็ตาม พ่อมักจะพูดอวดถึงสรรพคุณของยาจีนที่สามารถหามาได้จากทุกหนแห่งไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ในใจลึก ๆ ผมเชื่อว่าวันที่ผมจะได้พบและพอจะพูดคุยกับพ่อได้นั้น คงเป็นวันที่พ่อหมดกำลังวังชาและไม่อารมณ์ร้อนอีกแล้ว ซึ่งคิดว่าคงอีกหลายปี

          ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ผมมักจะติดตามเรื่องของพ่อจากน้อง ๆ มากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะในการประชุมของครอบครัวเมื่อวันเสาร์ที่ 9 พ.ย. 2556 ที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งรู้ว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อได้รับฟังจากน้อง ๆ ทุกคนแล้ว ก็ต่างลงความเห็นว่าพ่อน่าจะมีอายุได้มากกว่า 90 ปี ในขณะเดียวกันนั้นใจผมกลับรู้สึกแปลก ๆ จึงกำชับน้อง ๆ ให้ช่วยกันดูแลพ่ออย่างใกล้ชิดกว่าเดิมวันที่ 13 พ.ย. 2556 ช่วงเช้า ก่อนผมจะไปขึ้นเวทีพูดที่โรงเรียนศรีวิกรม์ น้องก็แจ้งผมว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ผมตกใจมากเพราะเพิ่งผ่านไปเพียง 4 วัน ที่พวกเราพูดคุยกันเกี่ยวกับสุขภาพของพ่อ แล้วพ่อจะเสียชีวิตได้อย่างไร หลังจากพูดเสร็จผมรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช เห็นน้อง ๆ และหลานเกือบทุกคนยืนอยู่ใกล้ร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อ ผมได้เห็นหน้าพ่ออีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไป 12 ปี และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้พบพ่อ ผมรู้สึกผิดอย่างมากที่ถือทิฐิไม่ยอมไปพบพ่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  จนถึงตอนนี้ไม่เหลือเวลาอีกแล้วที่ผมจะได้พบพ่ออีก ผมเฝ้ามองหน้าพ่อ ซึ่งนอนอยู่บนเตียง มีสายยางสอดเข้าทางปาก ผมจับมือและใบหน้าของพ่อ พลันให้นึกถึงตอนผมเป็นเด็ก ผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เกาะหลังพ่อไว้แน่น นับเป็นช่วงที่ผมใกล้ชิดกับพ่อมากที่สุดในชีวิต ผมรู้สึกว่ามือและแขนของพ่อเริ่มแข็ง พ่อของผมได้จากพวกเราไปแล้วจริง ๆ ผมเสียใจมากที่ทุกอย่างต้องมาจบแบบนี้ ผมยืนคิดและเฝ้ามองหน้าของพ่อ รู้สึกเสียดายโอกาสที่หมดลงแล้ว นับเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญของชีวิตสำหรับพวกเรา

          ช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้มแข็งเช่นในอดีต ผมรู้สึกว่าตนองบอบบางมาก จนไม่อยากให้ใครเห็นถึงความอ่อนแอของผมทุกครั้งหากพูดถึงพ่อและแม่ผมจะน้ำตาไหลเสมอ นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ผมไม่อยากไปพบพ่อเพราะในใจรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมมักจะใช้การหลีกหนีความทุกข์ไปสู่ความสบายใจ คงเป็นเพราะอดีตที่ขมขื่นจึงทำให้ผมไม่อยากหวนกลับไปพบสิ่งเหล่านั้นอีก ผมยืนอยู่ข้างศพพ่อและบอกกับทุกคนในครอบครัวว่า ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ขอโทษจริง ๆ ที่ผมไม่ได้มาพบพ่อ ขอให้อโหสิกรรมให้กับอดีตทุกอย่าง วันนี้เราเหลือกันแต่พี่น้องของเราเท่านั้น ขอให้ทุกคนรักกันตลอดไป พวกเราจะต้องรักกันเพื่อให้พ่อกับแม่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีความสุขและภูมิใจในครอบครัวของเรา ผมจับมือพ่อที่แข็งแล้วและมีโอกาสได้กอดพ่อเป็นครั้งแรกหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 55 ปี และนับเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับชีวิตผม เราต้องจากกันตลอดไปแล้วผมเสียใจจริง ๆ กับความผิดพลาดในโอกาสสุดท้ายของชีวิตระหว่างผมกับพ่อ

          ผมอยากให้ทุกคนที่ยังมีพ่อและแม่นั้น เข้าใจถึงโอกาสของชีวิตที่เมื่อหมดไปแล้ว ไม่ว่าเราจะเสียใจหรืออยากจะทำอะไรอีกก็ไม่สามารถเรียกคืนมาได้อีกแล้ว ขอให้ทุกคนอย่าได้ทำผิดพลาดเช่นผมอีกเลย ขอให้ทุกคนในโลกนี้ที่ยังมีโอกาสดีกว่าผม อย่าได้ปล่อยให้โอกาสที่ยังมีอยู่นั้นผ่านไป ขอให้ระลึกเสมอว่าทุกชีวิตล้วนมาจากศูนย์และกำลังเดินทางไปสู่ศูนย์...

          วิกรม กรมดิษฐ์
          13 พฤศจิกายน 2556"

ขอบคุณที่มาจาก : http://hilight.kapook.com/view/93685

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทำผิดพลาดในชีวิตอย่างใหญ่หลวง ทำแต่งานหวังว่าจะนำมา
เลี้ยงดูพ่อแม่ยามชราภาพ กลับไปบ้านน้อยมาก จนเกือบนับได้ว่าเหมือนไม่ได้
กลับไป ผลัดวันประกันพรุ่งเพราะคิดว่าพ่อแม่คงไม่จากไปเร็ววันแน่ แต่โลกนี้
ไม่มีอะไรแน่นอน ผมเสียพ่อกับแม่ไปในขณะที่ผมขับรถอยู่ไซต์งานต่างจังหวัด
ไม่มีโอกาสที่จะรับฟังคำพูดใด ๆ จากพ่อแม่ และไม่มีโอกาสตลอดไป จะเสียใจ
เท่าไรก็ไม่มีผล....

ผมเจอใครที่พ่อแม่ยังมีชิวิตอยู่ ผมมักจะบอกว่าขอให้ทำความดีตอบแทนท่าน
เสียแต่บัดนี้โดยทันที ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีกเลย...
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เจ้าของธุรกิจ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่