อยากให้กระทู้มีสาระ(ตอนใหม่2)

กระทู้สนทนา
ซัวสะได....หล่า

ช่วงนี้ผมกำลังจะหาทางเอากระทู้ไปเขียนในบล็อค.....กะว่าจะให้มันอยู่เป็นหมวดหมู่ของคนชอบคุยเรื่องรถโดยเฉพาะ....เวลาใครมีปัญหาเรื่องเทคนิคก็สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้.....ประมาณว่ารับประกันผลงานของคำตอบที่มีแต่เรื่องจริงๆ.......เพราะนั่งอ่านกระทู้อื่นๆที่มีคนเข้าไปถาม....มักจะมีผู้รู้ครึ่งๆกลางๆ.........ประเภทขอให้ได้เขียนแสดงภูมิรู้ของตนเองออกไปเสียหน่อย........พาเข้าไปพาเข้ารกเข้าพงถี่ขึ้นทุกวัน.......ตรงนี้ผมเห็นว่าเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยากรู้จริงๆแล้วเผลอหลงประเด็นตามไปด้วย

องค์ความรู้ของคนไทยเราก็จะเขวไปกันยกใหญ่......มีใครจะแนะนำผมบ้างก็เชิญเขียนเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้นะครับ

วกกลับมาคุยเรื่องของเราใหม่.....เมื่อวานผมพาน้องๆไปเที่ยวเขาพระวิหารกันแล้ว.....เพื่อยืนยันว่า.....สิ่งที่เราหลับตาจินตนาการกันไปโดยไม่ได้เห็นของจริงนั้น เป็นอันตราย......หรือเป็นเรื่องของการตีตนไปก่อนไข้..ประเภทรักชาติจนไม่พิจารณาจากของจริงๆแล้ว ทั้งคิดและทั้งแสดงตัวตนออกไปอย่างไร้ขอบเขต(อย่างที่เราเห็นจากสื่ออยู่ทุกวันนี้).......ดูไปแล้วเราจะเสียประสาทเอาง่ายๆ....

เขาพระวิหารนี่-ผมเคยไปครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา......ตอนนั้นขับรถไปดูงานแสดงช้างที่สุรินทร์.....แล้วเลยไปเที่ยวชายแดนที่ช่องอานม้า.....ตลาดชายแดนช่องอานม้านั่นของขายทางฝั่งเขมรเยอะดีจริงๆ...ส่วนมากจะเป็นพวกเฟอร์นิเจอร์ประเภทไม้เนื้อแข็ง เช่นไม้มะค่า-ไม่เต็ง(และราคาไม่แพง)......คนเขมรขนเอาโรงงานแปรไม้เอามาตั้งอยู่ตรงชายแดนในฝั่งของเขา คนไทยเราอยากได้เฟอร์นิเจอร์แบบไหนก็สามารถสั่งเอาได้เลย(แต่ฝีมือไม่ละเอียดนักหรอก....แต่ได้ไม้เนื้อดี-ใช้ไปยันลูกหลานนู่น)

ส่วนมากผมเห็นเป็นโซฟาบ้าง-แหย่ง(กูบวางหลังช้างที่กว้างกว่าปกติหน่อย).....เมื่อสั่งของเสร็จ...คนซื้อของก็จะเดินเที่ยวในตลาดทางฝั่งเขมรฆ่าเวลาไปก่อน....ผมชอบเดินดูเครื่องมือจากรัสเซียหรือของจีนแดงครับ...มันมีอะไรแปลกๆให้เราจินตนาการได้มากมาย.....ตลาดที่ช่องอานม้านี้กว้างและของเยอะพอๆกับตลาดโรงเกลือของเราเลยนะครับ....

ตอนขากลับออกมาจากฝั่งเขมรนั่นเองที่ผมได้ยินเสียงเพลงกันตรึมของ ยอดรัก โคกนาสาม (โดยไม่รู้ว่านี่คือคนไทย).......ก็เลยแวะซื้อเทปติดมือกลับมาม้วนหนึ่ง.....(เมื่อก่อนนั้นได้แต่ซื้อ-ขอให้เป็นเพลงกันตรึมแบบของเก่านะครับ-ไม่ใช่ร็อคกันตรึม).....ฟังกลับไปกลับมาจนมันหมดอายุไป.....

ตอนที่ผมไปเขาพระวิหารในครั้งหลังนี้......ทางการไม่ยอมให้เราขับรถเข้าไปจนถึงเชิงเขามออีแดง(ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว-ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่ไหนในโลกหรอกครับ-ที่ยอมให้ผู้ชมขับรถเข้าไปจนถึงปากทางเข้า..มีประเทศไทยเรานี่แหละ-ตัวนำเลย)......เราต้องเอารถจอดเอาไว้ตรงจุดจอดรถ แล้วนั่งรถชัตเติ้ลบัส(รถอีแต๋นมีที่นั่ง4-5แถว)....เข้าไปลงที่เชิงเขา.......เดินขึ้นเขาไปสัก 50 เมตรก็จะถึงประตูรั้วตาข่ายที่ล้อมเขาพระวิหารเอาไว้......

.ฝั่งด้านซ้ายตรงเชิงเขาพระวิหารนี่แหละที่มีชุมชนชาวเขมรเข้ามาจับจอง(กึ่งตั้งรกราก).....ที่ไทยเราจะต้องเข้าไปแสดงกรรมสิทธิ์แจ้งให้พวกเขารื้อถอนออกไป.......และสิ่งที่ทางการไทยจะต้องทำให้เห็นประจักษ์ก็คือ.......เราจะต้องเขียนป้ายขนาดใหญ่-แสดงแผนที่และจุดที่ประเทศไทยเรามีอธิปไตยอยู่.....ติดเอาไ้ว้ตรงตีนเขาฝั่งขวา(ซึ่งมีแม่ค้าฝ่ายไทยตั้งเป็นร้านขายอาหารอยู่)....เพื่อให้คนไทยทุกคน-รวมทั้งแม่ค้าแม่ขายแถวๆนั้นทราบกันเอาไว้ว่า...........อาณาเขตของเราอยู่ตรงไหน.......หากมีรายการล้ำแดนเข้ามา-คนไทยจะได้โวยวายกันแบบต่อหน้าต่อตาไปเลย

นี่เราไม่รู้ไงครับว่าตรงไหนคือพื้นที่ของไทย-และตรงไหนเป็นของเขมร....(ผมเองก็ยังนึกว่า-บริเวณเขาพระวิหารทั้งหมดเป็นของเขมร)....จนมาได้ฟังคำตันสินของศาลโลกเมื่อวานนี้เอง....ถึงได้รู้ว่าส่วนที่เป็นอธิปไตยของเขมร-อยู่หลังแนวรั้ว-ส่วนเกินออกมา-เป็นพื้นที่ของไทยเราทั้งสิ้น.....ตรงนี้ผมคิดเอาเองว่า-นี่คงเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนผืนแผ่นดินไทยเรามีจริงนั่นแหละ.......ท่านจึงดลใจให้เจ้าหน้าที่เขมร-เอาเรื่องไปฟ้องร้องศาลโลก.....เพื่อให้ได้เนื้อที่ไป4.6ตร.กม. อย่างที่ทราบกันอยู่

สาเหตุต่างๆเหล่านี้ เราอาศัยความอลุ่มอล่วยอยู่กันไปวันๆเท่านั้นเอง-แต่น้องเขมรแกเอาจริง...อาศัยให้ชาวบ้านตีลูกซึมขยับบ้านออกมาเรื่อยๆ แล้วก็ออกมาโวยวายว่าไทยเรายกกองทหารไปประจัญหน้ากับชาวเขมร.......ซึ่งตามจริงแล้ว....ทหารไทยเราก็ตั้งอยู่ที่เดิมแหละ-แต่คนเขมรแกเขยิบเข้ามาหาฝั่งไทยเอง......ช่วงนั้นเรายังเกือบจะเสียปราสาทตาเมือนธม....ตาเมือนโต๊ดไปด้วยการตีลูกซึมอย่างนี้แหละ....จำกันได้ไหมล่ะ



ข้างบนนี้คือตลาดชายแดนฝั่งไทยเรา-ก่อนที่จะข้ามไปฝังเขมรที่ช่องอานม้านะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่