http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1364184513
กลุ่มเครื่องปรับอากาศฯ 13 โรงงานขานรับกรมโรงงานฯที่เตรียมเทงบฯ 700 ล้านให้ปรับเครื่องจักรให้สามารถผลิตแอร์รองรับการใช้น้ำยาแอร์ใหม่ R32 เพื่อลดสาร CFC ยอมรับกระทบราคาขายแอร์ 5-10% วางเป้าหมายเลิกการนำเข้าน้ำยาแอร์ตัวเก่า R22 เป็นศูนย์ในปี 2573
นางจินตนา ศิริสันธนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เตรียมปรับเปลี่ยนการใช้น้ำยาสำหรับเครื่องปรับอากาศในขนาดต่ำกว่า 24,000 บีทียู จากเดิมที่เป็นน้ำยา R22 ที่มีสารเอชซีเอฟซี (HCFCs) เปลี่ยนมาเป็นน้ำยา R32 แทน เพื่อลดการปล่อยสาร CFC ที่จะทำลายชั้นบรรยากาศ ตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้สารดังกล่าวแบบขั้นบันไดจนกระทั่งเป็นศูนย์ในปี 2573 ตามที่ไทยได้ลงนามสนธิสัญญาตามพิธีสารมอนทรีออล ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องยกเลิกใช้สารดังกล่าว
ทั้งนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ของบประมาณจากองค์การระหว่างประเทศ 700 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาในการปรับเปลี่ยนการใช้น้ำยาเครื่องปรับอากาศจาก R22 เป็น R32 แทน โดยขณะนี้มีโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศไทยที่ต้องการเข้าร่วมโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนการใช้น้ำยาดังกล่าวประมาณ 13 โรงงาน และยังมีโรงงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 10 โรงงานที่ต้องการเข้าร่วม เช่น โรงงานฉีดโฟมในตู้เย็น สำหรับงบประมาณนี้ไม่ได้สนับสนุนในรูปแบบของเงิน แต่จะสนับสนุนในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สามารถผลิตเครื่องปรับอากาศที่รองรับการใช้น้ำยา R32 แทน
"ไทยปรับไปใช้น้ำยา R32 แทนที่จะใช้น้ำยา R410A ที่มีการใช้ในยุโรปและสหรัฐ เพราะน้ำยา R410A มีข้อเสีย คือมีค่า GWP (Global warming potential)
สูงมาก ซึ่งค่านี้เกิดจากความร้อนที่คายออกมาจากสารต่าง ๆ ทำให้โลกร้อน ฉะนั้นหากไทยจะเลิกใช้ R22 มาเป็น R410A จึงไม่มีประโยชน์ รวมถึงการหารือของประเทศชั้นนำต่างเห็นว่า R32 เป็นน้ำยาแอร์ที่ดีที่สุดในขณะนี้"
นางจินตนากล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้คาดว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า โรงงานในประเทศจะเริ่มทยอยผลิตเครื่องปรับอากาศที่รองรับการใช้น้ำยาดังกล่าว และจะเริ่มนำเข้าน้ำยา R32 มาใช้เช่นกัน ซึ่งคาดว่าต้นทุนอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และส่งผลต่อราคาจำหน่ายเครื่องปรับอากาศประมาณในช่วงเริ่มต้นแค่ร้อยละ 5-10 แต่เชื่อมั่นว่าหากกลุ่มผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศมีการนำเข้าที่มากขึ้นในอนาคตจะทำให้ราคาลดลงได้
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่องแนวทางการอนุญาตนำเข้าสารเอชซีเอฟซีเพื่อใช้ในประเทศ พ.ศ. 2555 กำหนดว่า น้ำยาเครื่องปรับอากาศ R22 ได้เริ่มถูกควบคุมการนำเข้าตั้งแต่ปี 2556-2557 พร้อมถูกจำกัดการนำเข้าอยู่ที่ 927 โอดีพีตัน ถัดมาในปี 2558-2562 ลดการนำเข้าเหลือ 834 โอดีพีตัน ปี 2563-2567 นำเข้าเหลือ 602 โอดีพีตัน ปี 2568-2572 นำเข้าเหลือ 301 โอดีพีตัน และในปี 2573 งดการนำเข้า อย่างไรก็ตาม กรมโรงงานฯขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงปริมาณการนำเข้าสารดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม
สำหรับวันที่ 1 มกราคม 2560 จะเริ่มผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R32 และห้ามผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R22 สำหรับโรงงานทั้ง 13 โรงที่เข้าร่วม แต่ยังสามารถขายได้จนถึงเดือนธันวาคม และในวันที่ 1 มกราคม 2561 ห้ามขายเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R22 ทั่วประเทศ แต่สำหรับผู้ที่ยังต้องใช้เครื่องปรับอากาศที่ต้องใช้น้ำยา R22 อยู่ยังสามารถใช้ได้ เพราะก็ยังมีการนำเข้าน้ำยาตัวนี้บางส่วน
อย่างไรก็ตาม น้ำยาเครื่องปรับอากาศ R32 มีข้อเสีย คือติดไฟเล็กน้อย ต่างจากน้ำยาตัวเดิมและตัวอื่น ๆ ที่ไม่ติดไฟ แต่หากใช้น้ำยาปริมาณน้อย ก็จะติดไฟน้อย เบื้องต้นจึงใช้น้ำยาดังกล่าวในเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กก่อน ที่ต่ำกว่า 24,000 บีทียู
น้ำยาแอร์บ้าน r410 มาไม่นาน r32 ก็จะตามมาติดๆ ต่อนี้ไป ล้างแอร์ทีต้องพก 3 ถัง โดย ช่างบอส
กลุ่มเครื่องปรับอากาศฯ 13 โรงงานขานรับกรมโรงงานฯที่เตรียมเทงบฯ 700 ล้านให้ปรับเครื่องจักรให้สามารถผลิตแอร์รองรับการใช้น้ำยาแอร์ใหม่ R32 เพื่อลดสาร CFC ยอมรับกระทบราคาขายแอร์ 5-10% วางเป้าหมายเลิกการนำเข้าน้ำยาแอร์ตัวเก่า R22 เป็นศูนย์ในปี 2573
นางจินตนา ศิริสันธนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เตรียมปรับเปลี่ยนการใช้น้ำยาสำหรับเครื่องปรับอากาศในขนาดต่ำกว่า 24,000 บีทียู จากเดิมที่เป็นน้ำยา R22 ที่มีสารเอชซีเอฟซี (HCFCs) เปลี่ยนมาเป็นน้ำยา R32 แทน เพื่อลดการปล่อยสาร CFC ที่จะทำลายชั้นบรรยากาศ ตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้สารดังกล่าวแบบขั้นบันไดจนกระทั่งเป็นศูนย์ในปี 2573 ตามที่ไทยได้ลงนามสนธิสัญญาตามพิธีสารมอนทรีออล ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องยกเลิกใช้สารดังกล่าว
ทั้งนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ของบประมาณจากองค์การระหว่างประเทศ 700 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาในการปรับเปลี่ยนการใช้น้ำยาเครื่องปรับอากาศจาก R22 เป็น R32 แทน โดยขณะนี้มีโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศไทยที่ต้องการเข้าร่วมโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนการใช้น้ำยาดังกล่าวประมาณ 13 โรงงาน และยังมีโรงงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 10 โรงงานที่ต้องการเข้าร่วม เช่น โรงงานฉีดโฟมในตู้เย็น สำหรับงบประมาณนี้ไม่ได้สนับสนุนในรูปแบบของเงิน แต่จะสนับสนุนในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สามารถผลิตเครื่องปรับอากาศที่รองรับการใช้น้ำยา R32 แทน
"ไทยปรับไปใช้น้ำยา R32 แทนที่จะใช้น้ำยา R410A ที่มีการใช้ในยุโรปและสหรัฐ เพราะน้ำยา R410A มีข้อเสีย คือมีค่า GWP (Global warming potential)
สูงมาก ซึ่งค่านี้เกิดจากความร้อนที่คายออกมาจากสารต่าง ๆ ทำให้โลกร้อน ฉะนั้นหากไทยจะเลิกใช้ R22 มาเป็น R410A จึงไม่มีประโยชน์ รวมถึงการหารือของประเทศชั้นนำต่างเห็นว่า R32 เป็นน้ำยาแอร์ที่ดีที่สุดในขณะนี้"
นางจินตนากล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้คาดว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า โรงงานในประเทศจะเริ่มทยอยผลิตเครื่องปรับอากาศที่รองรับการใช้น้ำยาดังกล่าว และจะเริ่มนำเข้าน้ำยา R32 มาใช้เช่นกัน ซึ่งคาดว่าต้นทุนอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และส่งผลต่อราคาจำหน่ายเครื่องปรับอากาศประมาณในช่วงเริ่มต้นแค่ร้อยละ 5-10 แต่เชื่อมั่นว่าหากกลุ่มผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศมีการนำเข้าที่มากขึ้นในอนาคตจะทำให้ราคาลดลงได้
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่องแนวทางการอนุญาตนำเข้าสารเอชซีเอฟซีเพื่อใช้ในประเทศ พ.ศ. 2555 กำหนดว่า น้ำยาเครื่องปรับอากาศ R22 ได้เริ่มถูกควบคุมการนำเข้าตั้งแต่ปี 2556-2557 พร้อมถูกจำกัดการนำเข้าอยู่ที่ 927 โอดีพีตัน ถัดมาในปี 2558-2562 ลดการนำเข้าเหลือ 834 โอดีพีตัน ปี 2563-2567 นำเข้าเหลือ 602 โอดีพีตัน ปี 2568-2572 นำเข้าเหลือ 301 โอดีพีตัน และในปี 2573 งดการนำเข้า อย่างไรก็ตาม กรมโรงงานฯขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงปริมาณการนำเข้าสารดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม
สำหรับวันที่ 1 มกราคม 2560 จะเริ่มผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R32 และห้ามผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R22 สำหรับโรงงานทั้ง 13 โรงที่เข้าร่วม แต่ยังสามารถขายได้จนถึงเดือนธันวาคม และในวันที่ 1 มกราคม 2561 ห้ามขายเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยา R22 ทั่วประเทศ แต่สำหรับผู้ที่ยังต้องใช้เครื่องปรับอากาศที่ต้องใช้น้ำยา R22 อยู่ยังสามารถใช้ได้ เพราะก็ยังมีการนำเข้าน้ำยาตัวนี้บางส่วน
อย่างไรก็ตาม น้ำยาเครื่องปรับอากาศ R32 มีข้อเสีย คือติดไฟเล็กน้อย ต่างจากน้ำยาตัวเดิมและตัวอื่น ๆ ที่ไม่ติดไฟ แต่หากใช้น้ำยาปริมาณน้อย ก็จะติดไฟน้อย เบื้องต้นจึงใช้น้ำยาดังกล่าวในเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กก่อน ที่ต่ำกว่า 24,000 บีทียู