อาจไม่สามารถเรียกว่า ปรากฏการณ์ได้เต็มปากเต็มคำนัก แต่อัลบั้ม THE HIEST ของเขาก็สร้างสถิติหลายอย่างที่น่าสนใจอยู่พอดู
หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อของ MACKLEMORE นักจนกระทั่งเพลงของเขาสามารถขึ้น ชาร์ต Billboard ได้เป็นผลสำเร็จ
ก่อนหน้านี้เขาใช้ชื่อในวงการว่า Professor Macklemore
ที่น่าตกใจคือ เพลงของเขา 3 เพลงสามารถขึ้นไปสู่อันดับ 1 ของ Billboard ชาร์ตได้ในหลายประเทศ
เก็บยอดแพลตตินั่มถล่มทลาย ในช่วงระยะที่แต่ละเพลงปล่อยออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ในฐานะที่มันเป็นเพลง HIPHOP
ในฐานะที่ MACKLEMORE เป็นศิลปิน "อิสระ"
แค่ด้วยเงื่อนไข 2 ข้อนี้ MACKLEMORE ก็สร้างความมหัศจรรย์ได้มากพอดูแล้วกับการขึ้นไปสู่อันดับ 1
MACKLEORE ยังเป็นศิลปินอิสระคนแรกในรอบ 20 ปี (ครั้งสุดท้ายคือปี 1994) ที่สามารถพาผลงานตัวเองเข้าสู่ Bilbord chart ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแอนแสนดุเดือดของบรรดาศิลปินเบอร์ใหญ่จากมากมายหลายค่าย
อัลบั้ม THE HEIST ที่อัดแน่นไปด้วยเพลงดีๆ(และแปลกๆ)หลายเพลง ทั้งยังมี 3 เพลงที่ขึ้นชาร์ตแพลตตินั่มและ PEAK #1 ทั้ง Thrift shop,Can't hold us,Same love และตอนนี้อีก 1 เพลงกำลังเข้าชาร์ตไต่ระดับมาอย่างช้าๆกับบีทสึดเปรี้ยวใน White wall
MACKLE MORE มีชื่อจริงว่า เบน แฮกเกอร์ตี้ อัลบั้มเต็มครั้งแรกของเขาออกในปี 2005 นั่นคือ The Language of My World แม้จะไม่ประสบความสำเร็จอะไรนัก แต่เบนก็มุ่งมั่นกับงานของตัวเองต่อไป เขาออกมิกซ์เทปอีกหลายเพลง จนกระทั่งในปี 2006 เขาได้ "Be friend" กับชายคนหนึ่งบนเว็ปไซต์ My space ชายคนนั้นชื่อ Ryan lewis ดีเจคนหนึ่งในซีแอตเทิล เมืองเดียวกับที่เขาอยู่ ในช่วงแรก ไรอันทำงานร่วมกับเบนในฐานะช่างภาพ ก่อนทั้งคู่จะตัดสินใจรวมตัวกับในที่สุด และในปีต่อมาพวกเขาได้ออกมิกซ์เทป THE VS. ที่โด่งดังพอสมควรในแวดวงคนทำเพลง แต่ชื่อของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากไปกว่า ดูโออินดี้จากซีแอทเทิ่ล
ปี 2012 พวกเขากลับมาอีกครั้งกับ THE HEIST อัลบั้มที่เปลี่ยน "ดูโออินดี้จากซีแอทเทิ่ล" ให้กลายเป็น "ดูโอฮิปฮอปที่น่าจับตามองแห่งยุค"
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยได้รับการติดต่อจากค่ายใหญ่ ก่อนหน้านี้ เบนและไรอันได้ปฏิเสธข้อเสนอจาก Jimmy Iovine (ที่เป็นชื่อเพลงหนึ่งของเขาในอัลบั้มด้วย) โปรดิวเซอร์และห้วหน้าค่าย Interscope ผู้ดูแลศิลปินแร็พผิวขาวหลายคน ในเพลง Jimmy Iovine MACKLEMORE เล่าถึงเหตุการณ์การไปพูดคุยเพื่อเซนต์สัญญากับค่ายใหญ่ของเขา และเขาพบว่ามันไม่น่าประทับใจเอาซะเลย ตอนเขาไปถึง แม้แต่ชื่อของวง พวกเขา (Jimmy Iovine) ยังจำไม่ได้ และเขายังบอกเงื่อนไขต่างๆหากได้สังกัดค่ายใหญ่ ที่เบนรู้สึกว่า มันช่างกีดกั้นอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร
ท่อนหนึ่งในเพลงที่อธิบายความรู้สึกของเขากับการสังกัดค่ายใหญ่ได้เป็นอย่างดีคงเป็น
If I could get signed my life is destined
My future depends on ink
ถ้าฉันได้เซนต์สัญญา ชีวิตฉันคงถูกกำหนดชะตาไว้แล้ว
อนาคตของฉันขึ้นอยู่กับน้ำหมึกสินะ
เบน และ ไรอันปฏิเสธ จิมมี่ และค่ายใหญ่ทุกค่ายที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาหาเขาในตอนนี้ เขาบอกว่า ทุกค่ายล้วนเหมือนกัน สำหรับเขาแล้วตอนนี้ การเซนต์สัญญากับค่ายใหญ่จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เขายังอยากทำอะไรแบบที่ตัวเองอยากทำ อยากทำเพลงแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องรอกำหนดออกอัลบั้ม รอผู้บริหารเห็นชอบ หรือแนวเพลงที่ค่ายต้องการ เรื่องแบบนั้น ไม่ใช่ที่สิ่งที่เขาต้องการ
"ผมกระหายอยากเป็นศิลปินมากกว่า อยากประสบความสำเร็จ"
Thrift shop
ซิงเกิ้ลที่ 5 ของพวกเขาที่เล่าเรื่องไลฟ์สไตล์ในชีวิตส่วนตัว มันเกิดจากการที่ เบนชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองจาก Thrift shop (ร้านเสื้อผ้ามือสอง หรือเพื่อการบริจาค) ซึ่งใช้คำว่า ALL KILL คงไม่ผิดนัก มีเพียง ชาร์ตเดียวที่ Thrift shop รั้งอยู่แค่อันดับ 2 คือที่นิวซีแลนด์ นอกนั้นพวกเขากวาดอันดับ 1 ทั้งหมด ซึ่งเพลงนี้เองที่ทำให้ MACKLEMORE เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ความโด่งดังของ Thritf shop ได้ทำให้เพลงอื่นๆของ MACKLEMORE ทยอยกลับมาขึ้นชาิร์ตบน BILLBOARD ด้วย ทั้ง Can't hold us และ Same love --- ขอบคุณคุณ a-zz ที่เข้ามาช่วยแก้ไขค่ะ
อะไรทำให้ Thrift shop เหมือนพายุบ้าคลั่งบนชาร์ตบิลบอร์ด?
อันดับแรกคงเป็นเนื้อเพลง ที่ ... คงถูกใจอเมริกันชนอย่างมาก หรือแม้แต่ใครๆก็ตามที่มีหัวใจเป็นแฟชั่นนิสต้าแต่กระเป๋าแฟบเหลือเกิน Thrift shop เล่าถึงรสนิยมการซื้อเสื้อผ้ามือสองและนำมามิกซ์กับสไตล์ของตัวเองจนรู้สึกว่า มันเจ๋งเหลือเกินกับการได้เสื้อผ้าเจ๋งๆมาในราคาที่โคตรถูก ขณะที่เบนเล่าเรื่องไลฟ์สไตล์การใส่เสื้อผ้ามือสองที่อาจดูแย่ในสายตาใครๆ แต่สำหรับเขากลับมองว่า มันก็เท่ได้เหมือนกัน
ซึ่งในเพลงยังได้มีการจิกกัดไปพึงบรรดาแฟชั่นนิสต้าหรือผู้คนทั้งหลายที่บ้าแบรนด์และเสพย์ติดลิมิเต็ดอิดิชั่นเข้าใส้ ขณะที่พวกเขายอมเสียเงิน 50 ดอลลาร์ให้กับเสื้อ 1 ตัวเพียงเพื่อจะพบว่า ในผับเดียวกันมีคนใส่เสื้อแบบเดียวกันอีกเยอะแยะ ขณะที่คนใส่เสื้อเท่ๆในราคา 99 เซนต์กลับเป็นคนเดียวที่มีเสื้อตัวนี้
ใครเจ๋งกว่าล่ะ แบบนี้?
ด้วยเนื้อหาเพลงที่โดนใจประกอบกับการพึ่งกระแส word of mouth
ทำให้เพลงนี้โด่งดังและแพร่หลายในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
โซเชียลเน็ตเวิร์คยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เพลงนี้ขึ้นชาร์ตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
# 5 Thrift shop : ตุลาคม 2012
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด พฤศจิกายน 2012
- ขึ้นอันดับ 1 เดือน กุมภาพันธ์ 2013
- เผยแพร่ MV สิงหาคม 2012
ด้วยกระแสความโด่งดังจาก Thrift shop ทำให้เพลงอื่นๆของ MACKLEMORE ที่เดบิวต์ไปก่อนหน้ากลับมาขึ้นชาร์ตบนบิลบอร์ดไปด้วย
Can't hold us
เป็นซิงเกิ้ลโปรโมตเพลงที่ 3 ในอัลบั้มหลังจาก my Oh my และ Wings ไม่ค่อยประสบความสำเร็จบนชาร์ตเท่าไรนัก และ Can't hold us สามารถเดบิวต์บนบิลบอร์ดได้เป็นครั้งแรกที่อันดับ 97 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 และมันใช้เวลาเพียง 4 เดือนในการขึ้นไปสู่อันดับ 1 (ในตอนนั้นมีเพลงที่กำลังทำกระแสช่วงชิงอันดับ 1 กันอยู่อีก 2 เพลงคือ Harlem shake ของ Baauer และ Blurred lines ของ Robin Thicke ด้วยกระแสของทั้ง 2 เพลงคิดดูว่าจะสู้กันยิบตาขนาดไหน)
# 3 Can't Hold us : สิงหาคม 2011
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด กุมภาพันธ์ 2013
- ขึ้นอันดับ 1 เดือน มิถุนายน 2013
- เผยแพร่ MV เมษายน 2013
Same love
ซิงเกิ้ลที่ 4 ของพวกเขาสร้างกระแสอย่างถล่มทลาย แม้ไม่ใช่ในแง่ของรายได้ แต่ MACKLEMORE กลายเป็นขวัญใจของมหาชนด้วยเพลงนี้ ไม่ใช่แค่ศิลปินฮิปฮอปธรรมดา แต่เขายังแสดงด้านความเป็น "เพื่อนมนุษย์" ใน SAME LOVE เพลงที่พูดถึง "ความรัก" ที่ไม่มีขอบเขต และพูดถึงรักร่วมเพศที่หลายคนต่อต้าน แต่ MACKLEMORE กลับมองว่า "รักยังไงก็คือความรัก" ซึ่งตัว MACKLEMORE นั้นสนับสนุน LGBT rights อยู่แล้ว (กฏหมายว่าด้วยเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้ที่หลายประเทศและหลายรัฐให้การสนับสนุนในทั่วโลก)
และเพลงนี้เองได้ทำให้เกิดการพูดถึงอย่างมากมาย ในเรื่อง "รักร่วมเพศในวงการเพลงและวงการฮิปฮอป" ที่ศิลปินบางคนเริ่มเปิดตัวว่าตัวเองเป็นรักร่วมเพศ และแม้แต่ในวงการบันเทิง และกับคนทั่วไป โดย MACKLEMORE สนับสนุนให้ผ็คนแสดงความรักต่อกัน อย่าปิดกั้นมันไว้ด้วยเพลง Same love
Perform Same love ที่ได้ 2 พี่น้องฝาแฝด Tegan and Sara มาร้องสดด้วย
# 4 Same Love : กรกฏาคม 2012
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด กุมภาพันธ์ 2013
- พีคที่อันดับ 11 กันยายน 2013
- เผยแพร่ MV ตุลาคม 2012
White wall
ซิงเกิ้ลที่ 6 จากอัลบั้มที่ขณะนี้ได้เข้ามาอยู่ในบิลบอร์ดชาร์ตเรียบร้อย หลังจากที่เบนพึ่งไป perform ในรายการของ Jay leno มา ก็ดูเหมือนอันดับจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย
คอนเสิร์ต WOLRD TOUR ของพวกเขาจัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน ซีแอทเทิล และยังเป็น Secret show เสียด้วย (พวกเขาบอกว่าเป็นก้าวแรกของ world tour) โดย secret show นี้เปิดให้เข้าชมฟรีและยังจำกัดคนที่ 600 คนเท่านั้น สถานที่คือ ดาดฟ้าของร้าน Neumos ใน Capitol Hill, Seattle
ยังไม่สายที่จะทำความรู้จักกับพวกเขาตอนนี้
เพราะเส้นทางของ 2 หนุ่มพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
นี่คือ
MACKLEMORE
EDIT-
:: กลับมาเพิ่มข้อมูลให้นิดหน่อยเผื่อมีคนงง และสลับไทม์ไลน์เพลงให้เรียบร้อยแล้วค่ะ
::
http://poprockonblog.blogspot.com/2013/11/macklemore-20-billboard-chart.html
ปรากฏการณ์ของ MACKLEMORE ศิลปินอิสระคนแรกในรอบ 20 ปีบน BILLBOARD CHART
อาจไม่สามารถเรียกว่า ปรากฏการณ์ได้เต็มปากเต็มคำนัก แต่อัลบั้ม THE HIEST ของเขาก็สร้างสถิติหลายอย่างที่น่าสนใจอยู่พอดู
หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อของ MACKLEMORE นักจนกระทั่งเพลงของเขาสามารถขึ้น ชาร์ต Billboard ได้เป็นผลสำเร็จ
ก่อนหน้านี้เขาใช้ชื่อในวงการว่า Professor Macklemore
ที่น่าตกใจคือ เพลงของเขา 3 เพลงสามารถขึ้นไปสู่อันดับ 1 ของ Billboard ชาร์ตได้ในหลายประเทศ
เก็บยอดแพลตตินั่มถล่มทลาย ในช่วงระยะที่แต่ละเพลงปล่อยออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ในฐานะที่มันเป็นเพลง HIPHOP
ในฐานะที่ MACKLEMORE เป็นศิลปิน "อิสระ"
แค่ด้วยเงื่อนไข 2 ข้อนี้ MACKLEMORE ก็สร้างความมหัศจรรย์ได้มากพอดูแล้วกับการขึ้นไปสู่อันดับ 1
MACKLEORE ยังเป็นศิลปินอิสระคนแรกในรอบ 20 ปี (ครั้งสุดท้ายคือปี 1994) ที่สามารถพาผลงานตัวเองเข้าสู่ Bilbord chart ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแอนแสนดุเดือดของบรรดาศิลปินเบอร์ใหญ่จากมากมายหลายค่าย
อัลบั้ม THE HEIST ที่อัดแน่นไปด้วยเพลงดีๆ(และแปลกๆ)หลายเพลง ทั้งยังมี 3 เพลงที่ขึ้นชาร์ตแพลตตินั่มและ PEAK #1 ทั้ง Thrift shop,Can't hold us,Same love และตอนนี้อีก 1 เพลงกำลังเข้าชาร์ตไต่ระดับมาอย่างช้าๆกับบีทสึดเปรี้ยวใน White wall
MACKLE MORE มีชื่อจริงว่า เบน แฮกเกอร์ตี้ อัลบั้มเต็มครั้งแรกของเขาออกในปี 2005 นั่นคือ The Language of My World แม้จะไม่ประสบความสำเร็จอะไรนัก แต่เบนก็มุ่งมั่นกับงานของตัวเองต่อไป เขาออกมิกซ์เทปอีกหลายเพลง จนกระทั่งในปี 2006 เขาได้ "Be friend" กับชายคนหนึ่งบนเว็ปไซต์ My space ชายคนนั้นชื่อ Ryan lewis ดีเจคนหนึ่งในซีแอตเทิล เมืองเดียวกับที่เขาอยู่ ในช่วงแรก ไรอันทำงานร่วมกับเบนในฐานะช่างภาพ ก่อนทั้งคู่จะตัดสินใจรวมตัวกับในที่สุด และในปีต่อมาพวกเขาได้ออกมิกซ์เทป THE VS. ที่โด่งดังพอสมควรในแวดวงคนทำเพลง แต่ชื่อของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากไปกว่า ดูโออินดี้จากซีแอทเทิ่ล
ปี 2012 พวกเขากลับมาอีกครั้งกับ THE HEIST อัลบั้มที่เปลี่ยน "ดูโออินดี้จากซีแอทเทิ่ล" ให้กลายเป็น "ดูโอฮิปฮอปที่น่าจับตามองแห่งยุค"
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยได้รับการติดต่อจากค่ายใหญ่ ก่อนหน้านี้ เบนและไรอันได้ปฏิเสธข้อเสนอจาก Jimmy Iovine (ที่เป็นชื่อเพลงหนึ่งของเขาในอัลบั้มด้วย) โปรดิวเซอร์และห้วหน้าค่าย Interscope ผู้ดูแลศิลปินแร็พผิวขาวหลายคน ในเพลง Jimmy Iovine MACKLEMORE เล่าถึงเหตุการณ์การไปพูดคุยเพื่อเซนต์สัญญากับค่ายใหญ่ของเขา และเขาพบว่ามันไม่น่าประทับใจเอาซะเลย ตอนเขาไปถึง แม้แต่ชื่อของวง พวกเขา (Jimmy Iovine) ยังจำไม่ได้ และเขายังบอกเงื่อนไขต่างๆหากได้สังกัดค่ายใหญ่ ที่เบนรู้สึกว่า มันช่างกีดกั้นอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร
ท่อนหนึ่งในเพลงที่อธิบายความรู้สึกของเขากับการสังกัดค่ายใหญ่ได้เป็นอย่างดีคงเป็น
If I could get signed my life is destined
My future depends on ink
ถ้าฉันได้เซนต์สัญญา ชีวิตฉันคงถูกกำหนดชะตาไว้แล้ว
อนาคตของฉันขึ้นอยู่กับน้ำหมึกสินะ
เบน และ ไรอันปฏิเสธ จิมมี่ และค่ายใหญ่ทุกค่ายที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาหาเขาในตอนนี้ เขาบอกว่า ทุกค่ายล้วนเหมือนกัน สำหรับเขาแล้วตอนนี้ การเซนต์สัญญากับค่ายใหญ่จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เขายังอยากทำอะไรแบบที่ตัวเองอยากทำ อยากทำเพลงแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องรอกำหนดออกอัลบั้ม รอผู้บริหารเห็นชอบ หรือแนวเพลงที่ค่ายต้องการ เรื่องแบบนั้น ไม่ใช่ที่สิ่งที่เขาต้องการ
"ผมกระหายอยากเป็นศิลปินมากกว่า อยากประสบความสำเร็จ"
Thrift shop
ซิงเกิ้ลที่ 5 ของพวกเขาที่เล่าเรื่องไลฟ์สไตล์ในชีวิตส่วนตัว มันเกิดจากการที่ เบนชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองจาก Thrift shop (ร้านเสื้อผ้ามือสอง หรือเพื่อการบริจาค) ซึ่งใช้คำว่า ALL KILL คงไม่ผิดนัก มีเพียง ชาร์ตเดียวที่ Thrift shop รั้งอยู่แค่อันดับ 2 คือที่นิวซีแลนด์ นอกนั้นพวกเขากวาดอันดับ 1 ทั้งหมด ซึ่งเพลงนี้เองที่ทำให้ MACKLEMORE เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ความโด่งดังของ Thritf shop ได้ทำให้เพลงอื่นๆของ MACKLEMORE ทยอยกลับมาขึ้นชาิร์ตบน BILLBOARD ด้วย ทั้ง Can't hold us และ Same love --- ขอบคุณคุณ a-zz ที่เข้ามาช่วยแก้ไขค่ะ
อะไรทำให้ Thrift shop เหมือนพายุบ้าคลั่งบนชาร์ตบิลบอร์ด?
อันดับแรกคงเป็นเนื้อเพลง ที่ ... คงถูกใจอเมริกันชนอย่างมาก หรือแม้แต่ใครๆก็ตามที่มีหัวใจเป็นแฟชั่นนิสต้าแต่กระเป๋าแฟบเหลือเกิน Thrift shop เล่าถึงรสนิยมการซื้อเสื้อผ้ามือสองและนำมามิกซ์กับสไตล์ของตัวเองจนรู้สึกว่า มันเจ๋งเหลือเกินกับการได้เสื้อผ้าเจ๋งๆมาในราคาที่โคตรถูก ขณะที่เบนเล่าเรื่องไลฟ์สไตล์การใส่เสื้อผ้ามือสองที่อาจดูแย่ในสายตาใครๆ แต่สำหรับเขากลับมองว่า มันก็เท่ได้เหมือนกัน
ซึ่งในเพลงยังได้มีการจิกกัดไปพึงบรรดาแฟชั่นนิสต้าหรือผู้คนทั้งหลายที่บ้าแบรนด์และเสพย์ติดลิมิเต็ดอิดิชั่นเข้าใส้ ขณะที่พวกเขายอมเสียเงิน 50 ดอลลาร์ให้กับเสื้อ 1 ตัวเพียงเพื่อจะพบว่า ในผับเดียวกันมีคนใส่เสื้อแบบเดียวกันอีกเยอะแยะ ขณะที่คนใส่เสื้อเท่ๆในราคา 99 เซนต์กลับเป็นคนเดียวที่มีเสื้อตัวนี้
ด้วยเนื้อหาเพลงที่โดนใจประกอบกับการพึ่งกระแส word of mouth
ทำให้เพลงนี้โด่งดังและแพร่หลายในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
โซเชียลเน็ตเวิร์คยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เพลงนี้ขึ้นชาร์ตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
# 5 Thrift shop : ตุลาคม 2012
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด พฤศจิกายน 2012
- ขึ้นอันดับ 1 เดือน กุมภาพันธ์ 2013
- เผยแพร่ MV สิงหาคม 2012
ด้วยกระแสความโด่งดังจาก Thrift shop ทำให้เพลงอื่นๆของ MACKLEMORE ที่เดบิวต์ไปก่อนหน้ากลับมาขึ้นชาร์ตบนบิลบอร์ดไปด้วย
Can't hold us
เป็นซิงเกิ้ลโปรโมตเพลงที่ 3 ในอัลบั้มหลังจาก my Oh my และ Wings ไม่ค่อยประสบความสำเร็จบนชาร์ตเท่าไรนัก และ Can't hold us สามารถเดบิวต์บนบิลบอร์ดได้เป็นครั้งแรกที่อันดับ 97 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 และมันใช้เวลาเพียง 4 เดือนในการขึ้นไปสู่อันดับ 1 (ในตอนนั้นมีเพลงที่กำลังทำกระแสช่วงชิงอันดับ 1 กันอยู่อีก 2 เพลงคือ Harlem shake ของ Baauer และ Blurred lines ของ Robin Thicke ด้วยกระแสของทั้ง 2 เพลงคิดดูว่าจะสู้กันยิบตาขนาดไหน)
# 3 Can't Hold us : สิงหาคม 2011
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด กุมภาพันธ์ 2013
- ขึ้นอันดับ 1 เดือน มิถุนายน 2013
- เผยแพร่ MV เมษายน 2013
Same love
ซิงเกิ้ลที่ 4 ของพวกเขาสร้างกระแสอย่างถล่มทลาย แม้ไม่ใช่ในแง่ของรายได้ แต่ MACKLEMORE กลายเป็นขวัญใจของมหาชนด้วยเพลงนี้ ไม่ใช่แค่ศิลปินฮิปฮอปธรรมดา แต่เขายังแสดงด้านความเป็น "เพื่อนมนุษย์" ใน SAME LOVE เพลงที่พูดถึง "ความรัก" ที่ไม่มีขอบเขต และพูดถึงรักร่วมเพศที่หลายคนต่อต้าน แต่ MACKLEMORE กลับมองว่า "รักยังไงก็คือความรัก" ซึ่งตัว MACKLEMORE นั้นสนับสนุน LGBT rights อยู่แล้ว (กฏหมายว่าด้วยเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้ที่หลายประเทศและหลายรัฐให้การสนับสนุนในทั่วโลก)
และเพลงนี้เองได้ทำให้เกิดการพูดถึงอย่างมากมาย ในเรื่อง "รักร่วมเพศในวงการเพลงและวงการฮิปฮอป" ที่ศิลปินบางคนเริ่มเปิดตัวว่าตัวเองเป็นรักร่วมเพศ และแม้แต่ในวงการบันเทิง และกับคนทั่วไป โดย MACKLEMORE สนับสนุนให้ผ็คนแสดงความรักต่อกัน อย่าปิดกั้นมันไว้ด้วยเพลง Same love
Perform Same love ที่ได้ 2 พี่น้องฝาแฝด Tegan and Sara มาร้องสดด้วย
# 4 Same Love : กรกฏาคม 2012
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด กุมภาพันธ์ 2013
- พีคที่อันดับ 11 กันยายน 2013
- เผยแพร่ MV ตุลาคม 2012
White wall
ซิงเกิ้ลที่ 6 จากอัลบั้มที่ขณะนี้ได้เข้ามาอยู่ในบิลบอร์ดชาร์ตเรียบร้อย หลังจากที่เบนพึ่งไป perform ในรายการของ Jay leno มา ก็ดูเหมือนอันดับจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย
คอนเสิร์ต WOLRD TOUR ของพวกเขาจัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน ซีแอทเทิล และยังเป็น Secret show เสียด้วย (พวกเขาบอกว่าเป็นก้าวแรกของ world tour) โดย secret show นี้เปิดให้เข้าชมฟรีและยังจำกัดคนที่ 600 คนเท่านั้น สถานที่คือ ดาดฟ้าของร้าน Neumos ใน Capitol Hill, Seattle
เพราะเส้นทางของ 2 หนุ่มพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
นี่คือ
MACKLEMORE
EDIT-
:: กลับมาเพิ่มข้อมูลให้นิดหน่อยเผื่อมีคนงง และสลับไทม์ไลน์เพลงให้เรียบร้อยแล้วค่ะ
:: http://poprockonblog.blogspot.com/2013/11/macklemore-20-billboard-chart.html