รวยหุ้นด้วย "Let Profit Run" "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม"

กระทู้สนทนา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



อยากลงทุนได้ “กำไร” 12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี “แพท-ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” เซียนหุ้นชื่อดัง แนะเปลี่ยนวิธีคิด “ตลาดหุ้น-ทองคำ-อสังหาริมทรัพย์”

"หมดยุ เพราะเงินฝาก”

ความเชื่อเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดครั้งแล้วครั้งเหล่า ผ่านปาก “แพท-ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” ที่ปรึกษาการลงทุน บล.บัวหลวง และในฐานะผู้ก่อตั้ง บริษัท สต็อคทูมอร์โรว์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านเว็บไซต์การลงทุน จัดสัมมนา และผลิตหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน

ย้อนประวัติ "แพท-ภาววิทย์” เป็น "หลานปู่" อดีตนักการเมืองใหญ่ “ทวิช กลิ่นประทุม” ผู้ก่อตั้ง บริษัท เทรลเลอร์ ทรานสปอร์ต จำกัด เจ้าของกิจการชิพปิ้งและท่าเรือรายใหญ่ของไทยในยุคสมัยหนึ่ง และเป็น "หลายตา" “วีระ รมยะรูป” ผู้จัดการสาขาคนแรกของธนาคารกรุงเทพ และเป็นมือขวา “เจ้าสัวชิน โสภณพนิช”

นอกจาก “เซียนหุ้นหนุ่ม” จะนั่งทำงานประจำ ณ บล.บัวหลวง เขายังสวมบทบาทนักลงทุนแนว VI ประจำเวปไซด์ Stock2Morrow แถมยังยึดอาชีพนักเขียน ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการลงทุน “ความฮอต” ของ “แพท” ทำให้หนังสือเรื่อง “แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน” ขายดีติดระดับ “Best Seller” มียอดขายถล่มทลายทั้ง 2 ตอน

“นักลงทุนรายใหญ่” พูดกลางเวที “มหกรรมครอบครัวบัวหลวง" ที่มี “แฟนคลับ” กว่า 2,000 คน แห่มานั่งฟัง ณ ห้อง บางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ว่า สมัยก่อนผู้ใหญ่มักบอกลูกหลานว่า หากมีเงินเยอะๆให้นำไปฝากธนาคารเก็บเงินดอกเบี้ยไว้ใช้จ่ายยามชีวิตเข้าสู่วัยเกษียณ

ใครจะไม่อยากนำเงินไปเก็บไว้ในแบงก์ละ “ดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 12 เปอร์เซ็นต์” สมมุติ คุณนำเงินไปฝากไว้ 1 ล้านบาท แล้วปล่อยให้ดอกเบี้ยทบต้นไปเรื่อยๆ เหมือนปล่อยให้เงินทำงาน เมื่อคุณอายุ 60 บาท จะมีเงินออมมากถึง 1,000 ล้านบาท เขายกตัวอย่าง

วันนี้เราคงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว!! ทำไมนะหรอ ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากต่ำแค่ 0.75 เปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่างเหมือนเมื่อกี้ หากคุณนำเงินไปฝากแบงก์ 1 ล้านบาท โดยไม่ถอนเงินออกมาใช้เลย เพราะต้องการปล่อยดอกเบี้ยให้ทบต้นไปเรื่อยๆ เมื่ออายุ 60 ปี เงินฝากจะเพิ่มมูลค่าเป็นแค่ 1 ล้านบาทกว่าๆเท่านั้น น่าตกใจมั้ย..

ในเมื่อวันนี้ดอกเบี้ยเงินฝากน้อยนิด เราคงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการปล่อยเงินให้ทำงานใหม่ ด้วยการโยกเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น รับรองผลตอบแทนดีกว่านำเงินไปฝากแบงก์เยอะ (ยิ้ม) ขออย่างเดียวคุณต้องมี “วินัยในการลงทุน” รับรองโอกาสโกยกำไรปีละ 12 เปอร์เซ็นต์ มีชัวร์ เขาพูดการันตี

“หากเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ เมื่ออายุ 60 ปี พอร์ตลงทุนมีโอกาสขยับเป็น “หลักพันล้านบาท”

หลายคนอาจกลัวตลาดหุ้น จากสถิติพบว่า นักลงทุนมือใหม่ 80 เปอร์เซ็นต์ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต้องพบกับการ "ขาดทุน” นั่นเป็นอะไรรู้มั้ย เขาย้อนถาม ก่อนตอบเองว่าเป็นเพราะเขาเหล่านั้น พกพา “ความโลภ” มาเต็มกระเป๋า ออกแนวอยากรวยแต่ใจร้อน ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสมีเงินมากคงยาก..

ฉะนั้นหากใครอยากพบเจอ “ความรวย” ทำได้ไม่อยาก เพียงแต่ต้องมี “ความตั้งใจ” ปฎิเสธไม่ได้ว่า ทุกคนอยาก “รวย” เมื่อคุณไร้วินัยจะรวยได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้หลายคนยังไม่รวยเกิดจากต้องการทำตามความต้องการของตัวเองมากเกินไป พูดง่ายๆ

“สร้างหนี้ในอนาคตมากเกินตัวนั่นเอง”

“ผมคลุกคลีในวงการหุ้นมานานเห็นแล้วว่า นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่ต้องการเพียง 2 อย่าง นั่นคือ “รวย” และ “เร็ว” คนประเภทนี้ ขอทำนายเลยว่า “หุ้นเก็งกำไร” จะเป็นหุ้นตัวแรกๆที่เขาเหล่านั้นเลือกลงทุน หรือไม่ก็สอยหุ้นที่มีราคาไม่แพงมากจนเกินไป”

สาเหตุที่นักลงทุนรายย่อยติดหุ้นว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการเข้ามารับหุ้น หลังเห็นราคาหุ้นปรับตัวลดลง เพราะมองว่า มีราคาถูกและมีสตอรี่ เมื่อเข้ามาซื้อแล้วราคาหุ้นดันลงอี และเกิดอาการดื้อไม่ยอม “ตัดขายขาดทุน” หรือ Cut Loss บางคนถือหุ้นเต็มพอร์ตไม่ทยอยปล่อยออก (ยิ้ม)

ผมจะแชร์ประสบการณ์ดีๆจากลูกค้าบล.บัวหลวงให้ฟังว่า มีคุณป้าคนหนึ่งซื้อหุ้น ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC จำนวน 1 ล้านบาท ราคาไอพีโอ 1 บาท ปัจจุบันราคาหุ้น SCC ยืน 420 บาท คิดเป็นมูลค่า 420 ล้านบาท

ถามว่า คุณป้า “เล่นแล้วรวย” หรือ “รวยแล้วเล่น” คำตอบ คือ “คุณป้ารวยแล้วเล่น” เพราะคุณป้าได้แยกเงิน 1 ล้านบาท ออกจากชีวิตไปแล้วตั้งแต่วันแรก ส่งผลให้เกิด “การปล่อยให้ผลกำไรวิ่งต่อไปเรื่อย” หรือ “Let Profit Run” เมื่อคุณป้าลืมจึงทำให้คุณป้ามีกำไรสูงสุด วิธีนี้ดีมาก ลงทุนในตลาดหุ้นต้องใช้หลักการนี้

“การให้เงินทำงาน” คือ การใส่เงินไว้แล้วให้เงินเติบโตไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องสนใจว่า ราคาหุ้นในกระดานจะมากหรือน้อยกว่าต้นทุนที่ได้มา ขอเพียงว่า หุ้นตัวนั้นที่คุณต้องการให้มีดอกผลงอกเงยต้องเป็นหุ้นที่สร้างมูลค่าเพิ่มทุกๆปี
หลักการเลือกหุ้น ง่ายๆดังนี้ 1.ดูกำไร 2.ดูกิจการต้องเติบโตสม่ำเสมอ สุดท้าย คือ ดูเงินปันผล เดินด้วยแนวคิดนี้รับรองอีก 10 ปี คุณจะ “คืนทุน” ด้วยการโกย “เงินปันผล” จากหุ้นดีๆทุกปี

เขา เล่าต่อว่า ยุคหลังจะเริ่มเห็น “คนรุ่นใหม่” หันมาสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะอยาก “รวยเร็ว” เมื่ออารมณ์ว่องไวเกิดขึ้น เขาจึงหันไปลงทุน “หุ้นปั่น” ที่มีความเสี่ยงสูง หากลงทุนแบบนี้คงพบ “อิสรภาพทางการเงินยาก”

“อ่านข้อมูลและงบการเงินมากๆ ที่สำคัญ “จงรู้จักรอ” หากกลัวให้ไปเริ่มซื้อกองทุนพื้นฐานดีๆ แล้วถือไปเลยยาวๆ”
เมื่อก่อนคุณมีเงินสด 10 ล้านบาท ไว้ใช้จ่ายวัยเกษียณ ถือว่า “เพียงพอ” แต่สมัยนี้เงินสดแค่ 10 ล้านบาทคงไม่พอใช้ แต่หากคุณมีเงิน 10 ล้านบาท ออมอยู่ในรูปของสินทรัพย์ประเภท “หุ้น-ทองคำ-อสังหาริมทรัพย์” พอแน่นอน เขาแนะนำนักลงทุน

เมืองไทยมีเศรษฐีเกิดใหม่จำนวนมาก คนเหล่านี้เป็นใครรู้หรือไม่ ส่วนใหญ่เป็น “เศรษฐีที่ดิน” ที่มีต้นทุน “หลักหมื่นต่อไร่” เมื่อเห็นว่า เมืองไทยกำลังก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC เขาถือโอกาสนำที่ดินผืนนั้นออกมาขาย “ราคาพุ่งพรวดเป็นไร่ละหลายล้านบาท”

“แพท” ย้ำว่า หากคุณมี “วินัยลงทุน” ภายใน 10 ปีข้างหน้า คุณจะพบ “อิสระทางการเงิน” เราจะมีรายได้เข้ากระเป๋า โดยที่ไม่ต้องออกแรงทำงาน ถามว่าจะมีสักกี่วิธี บอกเลยมีหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นออมเงินในรูปแบบของการ “ซื้อกองทุน-พันธบัตร-หุ้นปันผล” บางคนถนัดที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำมาปล่อยเก็บกินค่าเช่า คุณเห็นหรือไม่ว่า ทางเลือกมากมายแค่ไหน

ปัญหาของคนรุ่นใหม่ คือ “จังหวะ” ทุกคนเข้ามาลงทุน “ผิดจังหวะ” กันหมด ยกตัวอย่าง ปัจจุบันคนแห่ซื้อคอนโดมิเนียมปล่อยเช่า ถามว่า จะปล่อยเช่าได้อย่างไรในเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่เช่าแล้วแต่เน้นซื้อแทน ตลาดคอนโดมิเนียมคง “บูม” แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่