เรื่องสั้น (เรื่องแรก ของนายหมู)
ถ้าวันนี้ นนท์หมุนเวลาย้อนกลับได้ นนท์จะย้อนเวลากลับไปสักยี่สิบสี่ชั่วโมง นนท์จะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ นนท์จะไม่หวัง ไม่ฝันอะไรที่เป็นไปข้างเดียวถึงเพียงนี้นนท์เคยคิดว่าสิ่งที่นนท์ทำไปคือสะพานที่พาดผ่านกำแพงของความเป็นเพื่อน ที่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของนนท์(และวิ) แต่… มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด มันกลับเป็นคมมีดที่เฉือนความเป็นเพื่อนให้ขาดสะบั้นลงในชั่ววันเดียว วันนี้โลกของนนท์ดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย นนท์อยากจะย้อนเวลา แล้วนนท์จะได้ไม่มีวันนี้ วันที่นนท์ได้เสียเพื่อน เสียความรู้สึกที่ดีไปด้วยความ เผลอใจคิดเข้าข้างตัวเองไป
ที่จริงวิก็ไม่ได้สวยเท่าไรหรอกนะ ตอนปีหนึ่งนนท์ยังคิดว่าผู้หญิงคนนี้ดูเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียด้วยเรื่องลอกการบ้านเพื่อนนี่เป็นที่หนึ่งเลย พูดจาก็เหน่อ พอเพื่อนผู้ชายเค้าจับกลุ่มไปเที่ยวกันก็จะเสนอตัวเข้ามาเป็นสมาชิกไปกับเขาเสียทุกงาน แต่ก็ไม่เป็นไร อนุโลม ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในห้อง เพื่อนคนไหนแอบจีบสาวแผนกพานิชย์ วิจะเป็นคนรู้ก่อน และประกาศข่าวให้เด็กช่างอีเล็กทรอนิกส์รู้ไปทั้งแผนก บางรายวิถึงกับรับปากเป็นแม่สื่อให้ อาศัยที่ว่าวิมีเพื่อนเป็นเด็กพานิชย์มาก พอขึ้นปีสองนนท์กับวิก็บังเอิญต้องมานั่งเรียนวิชา ทฤษฎีวิเคราห์วงจรติดกัน ตอนแรกนนท์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมานั่งติดกับเพื่อนผู้หญิงที่มีอยู่คนเดียวในห้อง วิชอบเล่าเรื่องอะไรที่นนท์คิดว่าไม่เป็นเรื่องให้นนท์ฟังเป็นประจำ
“นนท์ เธอชอบเพลงของ อินโนเซนต์มั้ย เพลงที่ขึ้นต้นว่า ด้วยรักอยากฝากไว้ ในหัวใจที่หมายมั่น… นนท์รู้มั้ย คนแต่งเค้าจบจากที่นี่ด้วยน่ะ” แล้ววิก็เล่าประวัติที่มาของเพลงนี้เสียยืดยาวราวกับว่าไปสัมภาษคนแต่งมาเอง จากความเป็นเพื่อนร่วมห้องธรรมดาคนหนึ่งนนท์ก็ถูกเลื่อนขั้นมาเป็นเพื่อนซี้ของวิโดยไม่รู้ตัว
“นนท์ เธอรอเราอยู่หน้าห้องน้ำนี่น่ะ เราฝากหนังสือไว้ก่อน ไปเดี๋ยวห้องน้ำมา ห้ามไปไหนน่ะ ” วิกำชับก่อนเข้าห้องน้ำ
เทอมสุดท้ายในปีสอง ทางแผนกจัดให้มาดูนิทรรศการที่กรุงเทพ ฯ เราเหมารถไปกันทั้งห้อง นนท์นั่งที่นั่งติดกับวิอีกตามเคย สองชั่วโมงกว่าจากตัวจังหวัดมากรุงเทพ ฯ นนท์สังเกตุเห็นวิมีสีหน้าไม่ค่อยสบายมาตลอดทาง ถึงที่หมายทุกคนลงจากรถหมดแล้ว เหลือแต่วิคนเดียวที่ยังไม่ยอมลุก
“นนท์ เธออยู่เป็นเพื่อนเราก่อนนะ” วิพูดท่าทางเหมือนกับจะร้องไห้
แล้ววิก็ลุกขึ้น ร้องไห้ ที่นั่งของวิเต็มไปด้วยคราบเลือด นนท์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“วิ ไม่ต้องตกใจหรอก เดี๋ยวเราจะลงไปบอก เพื่อน ให้มันไปกันก่อน วิรออยู่นี่นะเดี๋ยว เรามา”
นนท์เดินลงไปบอก เพื่อน ๆ ที่ยังรอกันอยู่นอกรถ ให้ไม่ต้องรอ แล้วกลับมาหาวิอีกครั้ง
“นี่ เสื้อกันหนาวของเราใส่คลุมไว้ อยู่บนรถนี้นะเราจะไปซื้อกระดาษทิชชู่มาให้”
ไม่นานนนท์ก็มาพร้อมกับกระดาษทิชชู่
“ทำความสะอาดเบาะรถก่อนก็แล้วกัน “
“เดินไหวมั้ย ตรงข้ามที่จอดรถมีห้างอยู่ เดี๋ยวเราจะพาไปซึ้อผ้าอนามัย” วิพยักหน้า
นนท์ เดินพาวิไปที่ห้าง หาซึ้อสิ่งที่ต้องการ จัดการกับทุกอย่างเรียบร้อย จึงเดินกลับไปหาเพื่อน
“ไปไหนกันมาว่ะ” เพื่อนถาม
“ไม่มีอะไรหรอก แวะไปเที่ยวห้าง มาน่ะ”
“แน่ะ แน่ … เดียวนี้ ไอ้นนท์ มันไปเที่ยวห้างกันสองคน กับวิ โว้ย พวกเรา”
“มีการให้เสื้อกันหนาวกันใส่อีกต่างหาก” เพื่อนอีกคนแซว
จากวันนั้นมาวิก็มักจะเดินไปไหนกับนนท์ประจำ เพื่อนทุกคนรู้ได้จากการแสดงออกของทั้งสองว่าวิกับนนท์เป็นเพื่อนกัน โดยไม่ต้องสงสัย ใช่ ก็ทั้งสองเป็นเพื่อนกันจริง ๆ
ขึ้นปีสามแล้ว จากที่วิเคยเป็นแม่สื่อให้ใครต่อใครจนสำเร็จมาหลายคู่ วันนี้วิกลับโดนหนุ่ม ๆ ต่างแผนกมาจีบเสียเอง มีทั้งรายที่สวมบทใจกล้า เดินมาจีบด้วยตัวเอง มีทั้งชนิดที่เข้ามาตีสนิทกับเพื่อนห้องเดียวกับวิ ให้เพื่อนเป็นสะพานให้ ก็วิเป็นสาวแล้วนี่ คำพูดที่ฟังดูเหน่อ ๆ ในวันนั้น กลับฟังดูเป็นน้ำเสียงที่ ใส ๆ มีสเน่ห็ น่าฟัง นนท์ยังคือเพื่อนซี้ของวิเหมือนเดิม แต่หลายครั้งนนท์ยังแอบชมความน่ารักของเพื่อนคนนี้ วิชอบชวนนนท์มานั่งทำการบ้านที่ม้าหินอ่อนหน้าคณะ บ่อยครั้งขณะที่ต่างคนต่างทำการบ้าน นนท์เผลอแอบมองไรผมบาง ๆ ของวิที่พริ้วไหวรับลมหนาว ในขนะที่เจ้าของกำลังก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน บางครั้งนนท์เผลอมองเลยไปที่แก้มสีชมพูของวิ จนวิหันหน้าขึ้นมามองแล้วยิ้มให้อย่างงง ๆ
“มีอะไรหรือนนท์ ไม่เข้าใจการบ้านข้อไหนหรือ ”
“เปล่า”
“วิชอบไว้ผมม้าหรือ ” นนท์ถาม
“ฮื่อ… เราชอบ น่ารักมั้ย” วิถามกลับ
“ไม่ตอบ เดี๋ยวเหลิง”
แล้วทั้งนนท์และวิก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
นนท์อาศัยอยู่ในตัวจังหวัด ห่างจากวิทยาลัยประมาณสองกิโล นนท์ชอบเดินกลับวัดเองหลังเลิกเรียน อย่างน้อยก็ทำให้นนท์ประหยัดเงินได้สามบาท แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ นนท์ชอบที่จะเดินต่างหาก ชอบเดินมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้ว เส้นทางที่ผ่านร้านดอกไม้ ร้านขายตู้ปลา ร้านขายของขวัญที่ชื่อ รางชาง นนท์เดินผ่านจนคนขายของในร้านจำหน้าได้แล้วกระมัง
“นนท์เดินกลับวัดหรือ เราเดินกลับด้วยคนนะ ท่ารถบ้านเราอยู่ทางเดียวกับที่นนท์เดินกลับวัดพอดี”
และปีสามนี้ นนท์ ก็ได้เพื่อนร่วมเดิน ครั้งแรกนนท์ยังนึกเขิน สายตาข้างทางที่มอง เค้าคงนึกว่าทั้งสองเป็นแฟนกันมั้ง วิมักจะเอาจดหมายของคนที่มาจีบให้นนท์อ่านประจำ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ก็นนท์เป็นเพื่อนซึ้ วินี่”
“นนท์ไม่กินข้าวกลางวันหรือ ตอนพักเที่ยง เราเห็นนนท์เดินไปห้องสมุดทุกวันเลย เราไปด้วยคนนะ นนท์ชอบอ่านหนังสืออะไรล่ะ ”
“ สตรีสาร เราชอบอ่านคอลัมน์ วัยหนุ่มสาว เรากะว่าจะเขียนเรื่องส่งไปลงบ้าง เลยต้องอ่านเก็บประสพการณ์ไว้เยอะ ๆ” นนท์ตอบ
“อะไรกัน เป็นเด็กช่าง อ่าน สตรีสาร “ วิหัวเราะ
วิกับนนท์เดินกลับบ้านผ่านเส้นทางเดิมที่ทั้งสองเดินเป็นประจำ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่นนท์จะต้องเดินไปส่งวิที่ป้ายรถเมล์ ทุกเย็น
“วิ เราเดินด้วยกันอย่างนี้ประจำ วิไม่กลัวว่าเพื่อน ๆ จะเข้าใจผิดหรือ” นนท์เคยรวบรวมความกล้า ถามวิ
“แล้ว นนท์ล่ะ” วิ ถามกลับพร้อมกับหันหน้ามามองนนท์เหมือนกับจะค้นหาความจริงบางอย่าง จนนนท์ต้องหลบตา
“ถ้านนท์ไม่กลัว เราก็ไม่กลัว ”วิตอบ
“เราไม่กลัวเพื่อนเข้าใจผิดหรอก เรากลัวเพื่อน ๆ มันจะเข้าใจถูกต่างหากล่ะ” ไม่หรอก นนท์ไม่ได้ตอบไปแบบนั้น แต่ในใจของนนท์กำลังคิดแบบนั้น ใจของนนท์มันกำลังคิดไม่ซื่อกับวิแล้วล่ะ หลายครั้งแล้วด้วย ที่ใจของนนท์มันแอบคิดแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดกระมัง นนท์ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนในชีวิตที่ให้ความสนิทสนมกับมันถึงขนาดนี้ คำพูดใส ๆ ที่มาจากวิ นนท์ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน นนท์จำได้ครั้งหนึ่งที่เดินผ่านร้านดอกไม้ วิเคยพูดว่า
“นนท์ เราใกล้จะจบปีสามกันแล้วนะ วันที่เราจบ นนท์ต้องซื้อดอกไม้ให้เรานะ “ เพียงคำพูดไม่กี่คำ นนท์ยังเก็บเอาไปคิดเสียมากมาย ยิ้มได้ทั้งวัน นนท์ไม่กล้าคิดว่านี่คือความรัก เพราะนนท์ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไปในวันที่วิไม่มาเรียน มีความสุขที่ได้คุย ได้อยู่ใกล้ ได้มองดวงตาคู่ที่สดใสคู่นั้น ได้ยิ้มให้กัน นนท์ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นมานานเท่าไร รู้แต่ว่ามันค่อยก่อเกิดจนนนท์ไม่รู้ตัว หรือว่าทั้งหมดนี้เค้าเรียกว่าความรัก ถ้าเป็นเช่นนั้น ความรักของนนท์ ก็คงจะยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าหนุ่มสาวคู่ใดในโลกหรอก ผิดแต่ว่าในยามนี้ นนท์ไม่ได้บอกให้ใครรู้ แม้แต่วิ แค่นั้นเอง
ปีใหม่แล้ว เสื้อกันหนาวหลากสีสันมีให้เห็นหนาตาในหมู่สาวพานิชย์ หนุ่มช่าง ประสมกับความร่าเริงในวัยหนุ่มสาว ทำให้บรรยากาศในวิทยาลัยแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา ม้านั่งที่วางเรียงรายอยู่หลังอาคารเรียนรวม ถูกจับจองใช้เป็นที่ทำการบ้าน อ่านหนังสือ แซวสาว ๆ หรือไม่ก็ จับกลุ่มคุยกันตามประสา ต้นสนที่ปลูกเรียงแนวเดียวกับม้านั่งเพื่อทำหน้าที่ให้ร่มเงาทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ เสียงแว่วหวิว ๆ ของใบสนที่ถูกลมหนาวพัดมาสัมผัสยังดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ นนท์กับวินั่งทำการบ้านอยู่ที่นั่น ที่ที่นนท์และวินั่งเป็นประจำ
“วิ ปีใหม่นี้เราอยากจะซื้อของขวัญให้เพื่อนเราคนหนึ่ง วิไปช่วยเราเลือกหน่อยนะ” นนท์พูดทำลายความเงียบ
“ได้ซิ เออ… ว่าแต่ว่าเพื่อนน่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ”
“ผู้หญิงน่ะ เราไม่รู้ว่าผู้หญิงเค้าชอบอะไร เลยอยากให้วิไปช่วยเลือกหน่อย”
“ เอ… เป็นผู้หญิง เป็นเพื่อน หรือเพื่อนใจกันแน่จ๊ะ ว่าง ๆ พามาให้รู้จักบ้างซิ” วิพูดพรางมองหน้าส่งค้อนให้นนท์
“เปล่า แค่เพื่อน” ประโยคนี้นนท์พูดเบา จนฟังราวกับเป็นเสียงกระซิบกับตัวเอง
เย็นนี้นนท์เดินกลับบ้านพร้อมวิเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา แต่วันนี้นนท์จะต้องแวะซื้อของขวัญ ที่ร้าน
รางชาง ให้เพื่อน โดยที่มีวิเป็นคนเลือกให้ ตลอดเวลาระหว่างทาง นนท์รู้ดีว่าเพื่อนของนนท์คนนั้นเป็นใคร
“วิ เป็นคนเลือกของขวัญนะ เดี๋ยวเราถือหนังสือให้” แล้วนนท์ก็ขอหนังสือในมือวิมาถือ ปล่อยให้วิเดินเลือกของขวัญ โดยมีนนท์เป็นผู้เดินตาม อยู่ใกล้ ๆ วิเลือกเสร็จแล้ว นนท์จ่ายเงินที่เค้าเตอร์ ทั้งคู่เดินออกจากร้านโดยที่วิยังเป็นผู้ถือกล่องของขวัญใบนั้น ก่อนนั้นวิยื่นของขวัญให้นนท์แต่นนท์ทำเป็นไม่เห็น หลังจากข้ามถนนไปไม่นาน วิก็ส่งกล่องของขวัญให้นนท์อีกครั้ง นนท์พยายามรวบรวมความกล้า แล้วพูดประโยคที่ยากที่สุด
“วิ ของขวัญชิ้นนี้ เราตั้งใจซื้อให้วิ วิรับไปเถอะนะ”
“นนท์นี่ ร้ายจริง”
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่เป็นสื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน นนท์อยากจะให้เส้นทางจาก ร้าน รางชาง ถึง ท่ารถเมล็ยืดออกไป ให้ยาวกว่าทุกวันที่ผ่านมา วิจะคิดอย่างไรกับของขวัญชิ้นนี้ วิจะเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า วิจะยินดีรับมันหรือเปล่า แล้ววิจะเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของคนให้คนนี้หรือเปล่า ความรู้สึกที่นนท์พยายามจะบอกวิในวันนี้ ผ่านของขวัญชิ้นนี้ คำถามต่าง ๆ ประดังเข้ามาในใจนนท์ โดยที่ไม่มีคำตอบ ความเงียบยังคงดำเนินไป ระหว่างทาง จนถึงท่ารถเมล์
“ขอบใจมากนะ นนท์” วิเพิ่งจะพูดก่อนจะขึ้นรถเมล็
วันนี้นนท์และวิเรียนวิชา คอมพิวเตอร์ ด้วยกันเหมือนทุก ๆ ครั้ง วิยังตั้งหน้าตั้งตาฟังอาจารย็สอน แต่นนท์ซิ กลับปล่อยความคิด ความสับสน ให้เข้ามารบกวนจนฟังอาจารย์ไม่เรื่องทั้งชั่วโมง
“วิ เย็นนี้เรายืมหนังสือไปอ่านหน่อยนะพรุ่งนี้เราจะเอามาคืน วิชานี้เราไม่ได้ซื้อหนังสือ” นนท์เอ่ยปากยืมหนังสือ วิชาภาษาเบสิก จากวิ ระหว่างเดินกลับบ้านด้วยกัน
แล้วคืนนี้นนท์ก็เขียนจดหมายฉบับที่ยาวที่สุดในชีวิต นนท์เริ่มต้นเขียนมันตั้งแต่กี่ทุ่ม นนท์จำไม่ได้ แต่กว่ามันจะถูกพับไส่ซอง นนท์อ่านแล้วอ่านอีก พยายามทบทวน หาถ้อยคำที่สวยงามที่สุด กระดาษจดหมายหลายแผ่นใช้งานไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องถูกนนท์ขยำทิ้ง เพราะเพียงแค่ นนท์คิดว่าถ้อยคำที่เขียนลงไปนั้น อ่านแล้ว ดูไม่ดี อ่านแล้วดูเชย กว่าจะเขียนจบก็ตีสามกว่า นนท์ค่อนข้างที่จะแน่ใจแล้วละว่าทุกอย่างที่นนท์อยากจะบอกวิ ได้ถูกถ่ายทอดลงสู่กระดาษทั้งห้าแผ่นนี้หมดแล้ว ไม่หรอกมันยังไม่หมด ทุกอย่างที่อยู่ในใจของนนท์ ทุกอย่างที่อยากจะบอกให้วิรู้ นนท์จะเก็บเอาไว้บอกวิกับปากของนนท์เอง นนท์จะเก็บเอาไว้หลังจากวิอ่านจดหมายฉบับนี้ เวลานั้นกำแพงของความเป็นเพื่อน ที่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของนนท์(และวิ) ก็จะถูกทะลายลง เวลานั้น โลกทั้งโลกก็จะเป็นสีชมพู ดอกไม้ทุกดอกก็จะดูสวยงาม ต้อนรับความรักครั้งแรกของนนท์และวิ นนท์แนบจดหมายฉบับนี้ไว้ในหนังสือของวิแล้วละ แล้วพรุ่งนี้นนท์จะเอาไปคืนวิตอนไปส่งวิกลับบ้าน แล้วนนท์จะบอกวิอย่างไรดีล่ะ วิเค้าจะเห็นจดหมายตอนไหน บอกเค้าก่อนที่เค้าจะขึ้นรถ คงจะดีที่สุด เค้าจะได้เอากลับไปอ่านที่บ้าน
นนท์นั่งตัวชา พูดอะไรไม่ออก หัวใจนนท์เด้นแรง ทุกอย่างมันดูสับสนไปหมด เมื่อวิเดินเข้ามาในห้องเรียน วิวางจดหมายของวิไว้หน้าโต๊ะ
นนท์ วิเดินออกไปแล้ว ทิ้งความสับสนไว้ให้นนท์พร้อมกับจดหมายฉบับนั้น
หนาวแล้วนะครับ ผมเขียนเรื่องนี้ตอนอากาศประมาณนี้ แต่นานมาแล้ว เอาออกมาปัดฝุ่นแชร์กัน ...ลองอ่านดูครับ
ถ้าวันนี้ นนท์หมุนเวลาย้อนกลับได้ นนท์จะย้อนเวลากลับไปสักยี่สิบสี่ชั่วโมง นนท์จะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ นนท์จะไม่หวัง ไม่ฝันอะไรที่เป็นไปข้างเดียวถึงเพียงนี้นนท์เคยคิดว่าสิ่งที่นนท์ทำไปคือสะพานที่พาดผ่านกำแพงของความเป็นเพื่อน ที่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของนนท์(และวิ) แต่… มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด มันกลับเป็นคมมีดที่เฉือนความเป็นเพื่อนให้ขาดสะบั้นลงในชั่ววันเดียว วันนี้โลกของนนท์ดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย นนท์อยากจะย้อนเวลา แล้วนนท์จะได้ไม่มีวันนี้ วันที่นนท์ได้เสียเพื่อน เสียความรู้สึกที่ดีไปด้วยความ เผลอใจคิดเข้าข้างตัวเองไป
ที่จริงวิก็ไม่ได้สวยเท่าไรหรอกนะ ตอนปีหนึ่งนนท์ยังคิดว่าผู้หญิงคนนี้ดูเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียด้วยเรื่องลอกการบ้านเพื่อนนี่เป็นที่หนึ่งเลย พูดจาก็เหน่อ พอเพื่อนผู้ชายเค้าจับกลุ่มไปเที่ยวกันก็จะเสนอตัวเข้ามาเป็นสมาชิกไปกับเขาเสียทุกงาน แต่ก็ไม่เป็นไร อนุโลม ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในห้อง เพื่อนคนไหนแอบจีบสาวแผนกพานิชย์ วิจะเป็นคนรู้ก่อน และประกาศข่าวให้เด็กช่างอีเล็กทรอนิกส์รู้ไปทั้งแผนก บางรายวิถึงกับรับปากเป็นแม่สื่อให้ อาศัยที่ว่าวิมีเพื่อนเป็นเด็กพานิชย์มาก พอขึ้นปีสองนนท์กับวิก็บังเอิญต้องมานั่งเรียนวิชา ทฤษฎีวิเคราห์วงจรติดกัน ตอนแรกนนท์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมานั่งติดกับเพื่อนผู้หญิงที่มีอยู่คนเดียวในห้อง วิชอบเล่าเรื่องอะไรที่นนท์คิดว่าไม่เป็นเรื่องให้นนท์ฟังเป็นประจำ
“นนท์ เธอชอบเพลงของ อินโนเซนต์มั้ย เพลงที่ขึ้นต้นว่า ด้วยรักอยากฝากไว้ ในหัวใจที่หมายมั่น… นนท์รู้มั้ย คนแต่งเค้าจบจากที่นี่ด้วยน่ะ” แล้ววิก็เล่าประวัติที่มาของเพลงนี้เสียยืดยาวราวกับว่าไปสัมภาษคนแต่งมาเอง จากความเป็นเพื่อนร่วมห้องธรรมดาคนหนึ่งนนท์ก็ถูกเลื่อนขั้นมาเป็นเพื่อนซี้ของวิโดยไม่รู้ตัว
“นนท์ เธอรอเราอยู่หน้าห้องน้ำนี่น่ะ เราฝากหนังสือไว้ก่อน ไปเดี๋ยวห้องน้ำมา ห้ามไปไหนน่ะ ” วิกำชับก่อนเข้าห้องน้ำ
เทอมสุดท้ายในปีสอง ทางแผนกจัดให้มาดูนิทรรศการที่กรุงเทพ ฯ เราเหมารถไปกันทั้งห้อง นนท์นั่งที่นั่งติดกับวิอีกตามเคย สองชั่วโมงกว่าจากตัวจังหวัดมากรุงเทพ ฯ นนท์สังเกตุเห็นวิมีสีหน้าไม่ค่อยสบายมาตลอดทาง ถึงที่หมายทุกคนลงจากรถหมดแล้ว เหลือแต่วิคนเดียวที่ยังไม่ยอมลุก
“นนท์ เธออยู่เป็นเพื่อนเราก่อนนะ” วิพูดท่าทางเหมือนกับจะร้องไห้
แล้ววิก็ลุกขึ้น ร้องไห้ ที่นั่งของวิเต็มไปด้วยคราบเลือด นนท์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“วิ ไม่ต้องตกใจหรอก เดี๋ยวเราจะลงไปบอก เพื่อน ให้มันไปกันก่อน วิรออยู่นี่นะเดี๋ยว เรามา”
นนท์เดินลงไปบอก เพื่อน ๆ ที่ยังรอกันอยู่นอกรถ ให้ไม่ต้องรอ แล้วกลับมาหาวิอีกครั้ง
“นี่ เสื้อกันหนาวของเราใส่คลุมไว้ อยู่บนรถนี้นะเราจะไปซื้อกระดาษทิชชู่มาให้”
ไม่นานนนท์ก็มาพร้อมกับกระดาษทิชชู่
“ทำความสะอาดเบาะรถก่อนก็แล้วกัน “
“เดินไหวมั้ย ตรงข้ามที่จอดรถมีห้างอยู่ เดี๋ยวเราจะพาไปซึ้อผ้าอนามัย” วิพยักหน้า
นนท์ เดินพาวิไปที่ห้าง หาซึ้อสิ่งที่ต้องการ จัดการกับทุกอย่างเรียบร้อย จึงเดินกลับไปหาเพื่อน
“ไปไหนกันมาว่ะ” เพื่อนถาม
“ไม่มีอะไรหรอก แวะไปเที่ยวห้าง มาน่ะ”
“แน่ะ แน่ … เดียวนี้ ไอ้นนท์ มันไปเที่ยวห้างกันสองคน กับวิ โว้ย พวกเรา”
“มีการให้เสื้อกันหนาวกันใส่อีกต่างหาก” เพื่อนอีกคนแซว
จากวันนั้นมาวิก็มักจะเดินไปไหนกับนนท์ประจำ เพื่อนทุกคนรู้ได้จากการแสดงออกของทั้งสองว่าวิกับนนท์เป็นเพื่อนกัน โดยไม่ต้องสงสัย ใช่ ก็ทั้งสองเป็นเพื่อนกันจริง ๆ
ขึ้นปีสามแล้ว จากที่วิเคยเป็นแม่สื่อให้ใครต่อใครจนสำเร็จมาหลายคู่ วันนี้วิกลับโดนหนุ่ม ๆ ต่างแผนกมาจีบเสียเอง มีทั้งรายที่สวมบทใจกล้า เดินมาจีบด้วยตัวเอง มีทั้งชนิดที่เข้ามาตีสนิทกับเพื่อนห้องเดียวกับวิ ให้เพื่อนเป็นสะพานให้ ก็วิเป็นสาวแล้วนี่ คำพูดที่ฟังดูเหน่อ ๆ ในวันนั้น กลับฟังดูเป็นน้ำเสียงที่ ใส ๆ มีสเน่ห็ น่าฟัง นนท์ยังคือเพื่อนซี้ของวิเหมือนเดิม แต่หลายครั้งนนท์ยังแอบชมความน่ารักของเพื่อนคนนี้ วิชอบชวนนนท์มานั่งทำการบ้านที่ม้าหินอ่อนหน้าคณะ บ่อยครั้งขณะที่ต่างคนต่างทำการบ้าน นนท์เผลอแอบมองไรผมบาง ๆ ของวิที่พริ้วไหวรับลมหนาว ในขนะที่เจ้าของกำลังก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน บางครั้งนนท์เผลอมองเลยไปที่แก้มสีชมพูของวิ จนวิหันหน้าขึ้นมามองแล้วยิ้มให้อย่างงง ๆ
“มีอะไรหรือนนท์ ไม่เข้าใจการบ้านข้อไหนหรือ ”
“เปล่า”
“วิชอบไว้ผมม้าหรือ ” นนท์ถาม
“ฮื่อ… เราชอบ น่ารักมั้ย” วิถามกลับ
“ไม่ตอบ เดี๋ยวเหลิง”
แล้วทั้งนนท์และวิก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
นนท์อาศัยอยู่ในตัวจังหวัด ห่างจากวิทยาลัยประมาณสองกิโล นนท์ชอบเดินกลับวัดเองหลังเลิกเรียน อย่างน้อยก็ทำให้นนท์ประหยัดเงินได้สามบาท แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ นนท์ชอบที่จะเดินต่างหาก ชอบเดินมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้ว เส้นทางที่ผ่านร้านดอกไม้ ร้านขายตู้ปลา ร้านขายของขวัญที่ชื่อ รางชาง นนท์เดินผ่านจนคนขายของในร้านจำหน้าได้แล้วกระมัง
“นนท์เดินกลับวัดหรือ เราเดินกลับด้วยคนนะ ท่ารถบ้านเราอยู่ทางเดียวกับที่นนท์เดินกลับวัดพอดี”
และปีสามนี้ นนท์ ก็ได้เพื่อนร่วมเดิน ครั้งแรกนนท์ยังนึกเขิน สายตาข้างทางที่มอง เค้าคงนึกว่าทั้งสองเป็นแฟนกันมั้ง วิมักจะเอาจดหมายของคนที่มาจีบให้นนท์อ่านประจำ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ก็นนท์เป็นเพื่อนซึ้ วินี่”
“นนท์ไม่กินข้าวกลางวันหรือ ตอนพักเที่ยง เราเห็นนนท์เดินไปห้องสมุดทุกวันเลย เราไปด้วยคนนะ นนท์ชอบอ่านหนังสืออะไรล่ะ ”
“ สตรีสาร เราชอบอ่านคอลัมน์ วัยหนุ่มสาว เรากะว่าจะเขียนเรื่องส่งไปลงบ้าง เลยต้องอ่านเก็บประสพการณ์ไว้เยอะ ๆ” นนท์ตอบ
“อะไรกัน เป็นเด็กช่าง อ่าน สตรีสาร “ วิหัวเราะ
วิกับนนท์เดินกลับบ้านผ่านเส้นทางเดิมที่ทั้งสองเดินเป็นประจำ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่นนท์จะต้องเดินไปส่งวิที่ป้ายรถเมล์ ทุกเย็น
“วิ เราเดินด้วยกันอย่างนี้ประจำ วิไม่กลัวว่าเพื่อน ๆ จะเข้าใจผิดหรือ” นนท์เคยรวบรวมความกล้า ถามวิ
“แล้ว นนท์ล่ะ” วิ ถามกลับพร้อมกับหันหน้ามามองนนท์เหมือนกับจะค้นหาความจริงบางอย่าง จนนนท์ต้องหลบตา
“ถ้านนท์ไม่กลัว เราก็ไม่กลัว ”วิตอบ
“เราไม่กลัวเพื่อนเข้าใจผิดหรอก เรากลัวเพื่อน ๆ มันจะเข้าใจถูกต่างหากล่ะ” ไม่หรอก นนท์ไม่ได้ตอบไปแบบนั้น แต่ในใจของนนท์กำลังคิดแบบนั้น ใจของนนท์มันกำลังคิดไม่ซื่อกับวิแล้วล่ะ หลายครั้งแล้วด้วย ที่ใจของนนท์มันแอบคิดแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดกระมัง นนท์ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนในชีวิตที่ให้ความสนิทสนมกับมันถึงขนาดนี้ คำพูดใส ๆ ที่มาจากวิ นนท์ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน นนท์จำได้ครั้งหนึ่งที่เดินผ่านร้านดอกไม้ วิเคยพูดว่า
“นนท์ เราใกล้จะจบปีสามกันแล้วนะ วันที่เราจบ นนท์ต้องซื้อดอกไม้ให้เรานะ “ เพียงคำพูดไม่กี่คำ นนท์ยังเก็บเอาไปคิดเสียมากมาย ยิ้มได้ทั้งวัน นนท์ไม่กล้าคิดว่านี่คือความรัก เพราะนนท์ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไปในวันที่วิไม่มาเรียน มีความสุขที่ได้คุย ได้อยู่ใกล้ ได้มองดวงตาคู่ที่สดใสคู่นั้น ได้ยิ้มให้กัน นนท์ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นมานานเท่าไร รู้แต่ว่ามันค่อยก่อเกิดจนนนท์ไม่รู้ตัว หรือว่าทั้งหมดนี้เค้าเรียกว่าความรัก ถ้าเป็นเช่นนั้น ความรักของนนท์ ก็คงจะยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าหนุ่มสาวคู่ใดในโลกหรอก ผิดแต่ว่าในยามนี้ นนท์ไม่ได้บอกให้ใครรู้ แม้แต่วิ แค่นั้นเอง
ปีใหม่แล้ว เสื้อกันหนาวหลากสีสันมีให้เห็นหนาตาในหมู่สาวพานิชย์ หนุ่มช่าง ประสมกับความร่าเริงในวัยหนุ่มสาว ทำให้บรรยากาศในวิทยาลัยแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา ม้านั่งที่วางเรียงรายอยู่หลังอาคารเรียนรวม ถูกจับจองใช้เป็นที่ทำการบ้าน อ่านหนังสือ แซวสาว ๆ หรือไม่ก็ จับกลุ่มคุยกันตามประสา ต้นสนที่ปลูกเรียงแนวเดียวกับม้านั่งเพื่อทำหน้าที่ให้ร่มเงาทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ เสียงแว่วหวิว ๆ ของใบสนที่ถูกลมหนาวพัดมาสัมผัสยังดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ นนท์กับวินั่งทำการบ้านอยู่ที่นั่น ที่ที่นนท์และวินั่งเป็นประจำ
“วิ ปีใหม่นี้เราอยากจะซื้อของขวัญให้เพื่อนเราคนหนึ่ง วิไปช่วยเราเลือกหน่อยนะ” นนท์พูดทำลายความเงียบ
“ได้ซิ เออ… ว่าแต่ว่าเพื่อนน่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ”
“ผู้หญิงน่ะ เราไม่รู้ว่าผู้หญิงเค้าชอบอะไร เลยอยากให้วิไปช่วยเลือกหน่อย”
“ เอ… เป็นผู้หญิง เป็นเพื่อน หรือเพื่อนใจกันแน่จ๊ะ ว่าง ๆ พามาให้รู้จักบ้างซิ” วิพูดพรางมองหน้าส่งค้อนให้นนท์
“เปล่า แค่เพื่อน” ประโยคนี้นนท์พูดเบา จนฟังราวกับเป็นเสียงกระซิบกับตัวเอง
เย็นนี้นนท์เดินกลับบ้านพร้อมวิเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา แต่วันนี้นนท์จะต้องแวะซื้อของขวัญ ที่ร้าน
รางชาง ให้เพื่อน โดยที่มีวิเป็นคนเลือกให้ ตลอดเวลาระหว่างทาง นนท์รู้ดีว่าเพื่อนของนนท์คนนั้นเป็นใคร
“วิ เป็นคนเลือกของขวัญนะ เดี๋ยวเราถือหนังสือให้” แล้วนนท์ก็ขอหนังสือในมือวิมาถือ ปล่อยให้วิเดินเลือกของขวัญ โดยมีนนท์เป็นผู้เดินตาม อยู่ใกล้ ๆ วิเลือกเสร็จแล้ว นนท์จ่ายเงินที่เค้าเตอร์ ทั้งคู่เดินออกจากร้านโดยที่วิยังเป็นผู้ถือกล่องของขวัญใบนั้น ก่อนนั้นวิยื่นของขวัญให้นนท์แต่นนท์ทำเป็นไม่เห็น หลังจากข้ามถนนไปไม่นาน วิก็ส่งกล่องของขวัญให้นนท์อีกครั้ง นนท์พยายามรวบรวมความกล้า แล้วพูดประโยคที่ยากที่สุด
“วิ ของขวัญชิ้นนี้ เราตั้งใจซื้อให้วิ วิรับไปเถอะนะ”
“นนท์นี่ ร้ายจริง”
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่เป็นสื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน นนท์อยากจะให้เส้นทางจาก ร้าน รางชาง ถึง ท่ารถเมล็ยืดออกไป ให้ยาวกว่าทุกวันที่ผ่านมา วิจะคิดอย่างไรกับของขวัญชิ้นนี้ วิจะเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า วิจะยินดีรับมันหรือเปล่า แล้ววิจะเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของคนให้คนนี้หรือเปล่า ความรู้สึกที่นนท์พยายามจะบอกวิในวันนี้ ผ่านของขวัญชิ้นนี้ คำถามต่าง ๆ ประดังเข้ามาในใจนนท์ โดยที่ไม่มีคำตอบ ความเงียบยังคงดำเนินไป ระหว่างทาง จนถึงท่ารถเมล์
“ขอบใจมากนะ นนท์” วิเพิ่งจะพูดก่อนจะขึ้นรถเมล็
วันนี้นนท์และวิเรียนวิชา คอมพิวเตอร์ ด้วยกันเหมือนทุก ๆ ครั้ง วิยังตั้งหน้าตั้งตาฟังอาจารย็สอน แต่นนท์ซิ กลับปล่อยความคิด ความสับสน ให้เข้ามารบกวนจนฟังอาจารย์ไม่เรื่องทั้งชั่วโมง
“วิ เย็นนี้เรายืมหนังสือไปอ่านหน่อยนะพรุ่งนี้เราจะเอามาคืน วิชานี้เราไม่ได้ซื้อหนังสือ” นนท์เอ่ยปากยืมหนังสือ วิชาภาษาเบสิก จากวิ ระหว่างเดินกลับบ้านด้วยกัน
แล้วคืนนี้นนท์ก็เขียนจดหมายฉบับที่ยาวที่สุดในชีวิต นนท์เริ่มต้นเขียนมันตั้งแต่กี่ทุ่ม นนท์จำไม่ได้ แต่กว่ามันจะถูกพับไส่ซอง นนท์อ่านแล้วอ่านอีก พยายามทบทวน หาถ้อยคำที่สวยงามที่สุด กระดาษจดหมายหลายแผ่นใช้งานไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องถูกนนท์ขยำทิ้ง เพราะเพียงแค่ นนท์คิดว่าถ้อยคำที่เขียนลงไปนั้น อ่านแล้ว ดูไม่ดี อ่านแล้วดูเชย กว่าจะเขียนจบก็ตีสามกว่า นนท์ค่อนข้างที่จะแน่ใจแล้วละว่าทุกอย่างที่นนท์อยากจะบอกวิ ได้ถูกถ่ายทอดลงสู่กระดาษทั้งห้าแผ่นนี้หมดแล้ว ไม่หรอกมันยังไม่หมด ทุกอย่างที่อยู่ในใจของนนท์ ทุกอย่างที่อยากจะบอกให้วิรู้ นนท์จะเก็บเอาไว้บอกวิกับปากของนนท์เอง นนท์จะเก็บเอาไว้หลังจากวิอ่านจดหมายฉบับนี้ เวลานั้นกำแพงของความเป็นเพื่อน ที่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของนนท์(และวิ) ก็จะถูกทะลายลง เวลานั้น โลกทั้งโลกก็จะเป็นสีชมพู ดอกไม้ทุกดอกก็จะดูสวยงาม ต้อนรับความรักครั้งแรกของนนท์และวิ นนท์แนบจดหมายฉบับนี้ไว้ในหนังสือของวิแล้วละ แล้วพรุ่งนี้นนท์จะเอาไปคืนวิตอนไปส่งวิกลับบ้าน แล้วนนท์จะบอกวิอย่างไรดีล่ะ วิเค้าจะเห็นจดหมายตอนไหน บอกเค้าก่อนที่เค้าจะขึ้นรถ คงจะดีที่สุด เค้าจะได้เอากลับไปอ่านที่บ้าน
นนท์นั่งตัวชา พูดอะไรไม่ออก หัวใจนนท์เด้นแรง ทุกอย่างมันดูสับสนไปหมด เมื่อวิเดินเข้ามาในห้องเรียน วิวางจดหมายของวิไว้หน้าโต๊ะ
นนท์ วิเดินออกไปแล้ว ทิ้งความสับสนไว้ให้นนท์พร้อมกับจดหมายฉบับนั้น