ถ้าใครที่ติดตามมาจะเห็นได้ว่าความสด และความดิบ ของหนังจะค่อยๆจางหายไปหลังจากหนังองค์บากประสบความสำเร็จ
"องค์บาก"
หนังที่กลมกล่อมและลงตัวที่สุดในบรรดาหนังแอ๊คชั่นของ"จา"และผู้กำกับ มีจุดผิดพลาดอยู่บ้าง แต่หนังสามารถกลบจุดด้อย ทำให้กลายเป็นหนังที่น่าจดจำ จากหนุ่มบ้านนอกซื่อๆทำเพื่อหมู่บ้านในการตามหาเศียรพระที่หาย ตัวหนังค่อยๆพาให้คนที่ชมก้าวไปพร้อมๆกับหนัง
และค่อยๆเพิ่มความดิบในการต่อสู้และพาไปจนกระทั่งหนังจบทำให้คนที่ชมรู้สึกสงสาร กับฉากที่อ้ายhumแหล่ต้องมาตายในการปกป้องเศียรพระเพื่อหมู่บ้านเป็นครั้งสุดท้าย นี่ต้องบอกว่าเป็นผลงานที่สุดยอดของผู้กำกับด้วยความสด สดทุกอย่าง ทั้งบทหนัง ทั้งนักแสดง
ดิบด้วยคอนเซ็ปไม่ใช้ตัวแสดงแทน ไม่ใช้สลิง และไม่มีซีจี จึงได้เห็นอะไรที่ตื่นตากับความสดใหม่ดิบ กับการที่หนังไม่ได้ถูกคาดหวังตั้งแต่แรก ด้วยความ สด ดิบ ใหม่ จึงทำให้หนังเรื่องนี้ไปได้ไกลด้วยความสด ดิบ ใหม่ ของตัวหนังเอง
แต่ข้อด้อยของหนังคือบทพูดของนักแสดง โดยเฉพาะพระเอกที่ต้องบอกว่าน้อยจริงๆ จนคนดูหนังออกมาวิจาร์ณ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีด้วยเพราะหนังโดนใจหลายๆคน
"ต้มยำกุ้ง"
หนังที่แบกความคาดหวังโจทย์ที่ท้าทายของผู้กำกับ หนังที่เต็มไปด้วยความกดดัน จึงทำให้บางอย่างได้ขาดหายไป "ความสด"แน่นอนนักแสดงกลายเป็นที่รู้จักความสดของนักแสดงได้หายไปพอสมควร แต่สิ่งที่หายไปคือความสดของตัวหนัง
ด้วยพล๊อตเรื่องที่ต้องเรียกว่าซ้ำกับองค์บาก เพียงแต่เปลี่ยนจากเศียรพระกลายเป็นช้าง และการที่คิดให้ไปตามหากันถึงซิดนีย์เพื่อฉีกหนีภาพซ้ำๆ แน่นอนย้ายสถานที่ก็เหมือนกับได้เห็นอะไรใหม่ๆ และด้วยงบที่สูงขึ้นผู้กำกับจึงได้ใส่ความดิบ ซึ่งต้องบอกว่าหนักกว่าในองค์บาก
แต่ด้วยที่ใส่ฉากแอ๊คชั่น ใส่ความดิบเข้าไปเยอะ ทำให้มองข้ามความสดของหนังที่ได้หายไป ความสดของบทที่ต้องบอกว่าไม่ใหม่เพราะคนดูเริ่มจับทางได้ ความสดของการแสดงี่ต้องบอกว่าเริ่มมีการนำ CG มาใส่ในตัวหนัง จากที่องค์บากผู้กำกับแค่ทำเหมือนลายเซ็นต์เล็กๆ
แต่เรื่องต้มยำกุ้งเริ่มมีการนำมาใส่ในตัวภาพยนตร์ดังที่เห็นในฉากท้ายเครดิต ที่"จา"กกระโดดเข่าลอยใส่ผู้ร้ายที่เกาะอยู่กับเฮลิคอปเตอร์ ถ้าใครชมเบื้องหลังก็จะเห็นว่าฉากนี้ใส่ CG แต่ก็เป็น CG ที่บางคนอาจจับผิดไม่ได้ในขนาดที่ชม หนังเรื่องนี้จึงไปได้ไกลด้วยความดิบของตัวหนังที่ใส่มาไม่ยั้ง โดยเฉพาะฉากแอ๊คชั่นลองเทคความยาวกว่าสิบนาที
หนังจึงประสบความสำเร็จด้วยแรงหนุนจากองค์บากในภาคแรกและความดิบที่ใส่เข้าไป พร้อมกับการจดจำประโยคทองของแฟนหนัง"ช้างกรุอยู่ไหน"ซึ่งเป็นจุดด้อยที่ผู้กำกับไม่ยอมแก้ไข
"ต้มยำกุ้ง 2"
เมื่อทั้งความสด ความดิบ หายไปจากตัวหนัง หนังที่คนชมอยากเห็นอะไรใหม่ๆอีกครั้ง แต่...ผู้กำกับเลือกที่จะนำเสนอของเก่า
ตั้งแต่วันแรกที่ทีเซอร์หนังได้ปล่อยออกมาพร้อมประโยคทองของนักแสดง"นี่ช้างหายอีกแล้วเหรอ" ทำให้หนังเรื่องนี้โดนค่อนขอดทันที
พร้อมกับการคาดเดาว่าสงสัยจะเหมือนเดิม แต่ก็มีอีกหลายส่วนที่ยังมีความหวังว่ายังไงผู้กำกับคงไม่ติดกับภาพเดิมๆ แต่ผลสุดท้ายเมื่อหนังออกมาก็เป็นอย่างที่หลายๆคนได้คาดการณ์ เมื่อหนังที่ขาดทั้งความสด ความดิบ ความใหม่ จากหลายๆเสียงที่รอคอยจึงถูกตีกลับด้วยเสียงตำหนิหมดมุข ไม่พัฒนา ไม่ไปไหน
บทหนังเดิมๆที่คนชมจับได้ตั้งแต่ภาคที่แล้ว ความดิบที่ไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นตาตื่นใจ ความใหม่ที่ไม่มีให้เห็น
หนังพยายามเพิ่มความดิบ แต่มันคือสัจธรรมอะไรที่มันมากเกินมันก็ดูจนล้นออกมา ความดิบที่ใส่เข้าไปมันล้น จนคนชมสำลัก
เมื่อทุกอย่างไม่มีอะไรใหม่ทำให้หนังดูแย่พอตัว ความคาดหวังของคนชมหายไปพร้อมกับพล๊อตเรื่องเดิมๆ ที่นำกลับมาอุ่นใหม่ใส่เครื่องปรุงเข้าไปโดยคิดว่ารสชาติมันจะดีขึ้น แต่ของเก่าต่อให้อุ่นยังไงรสชาติมันก็ไม่เหมือนเดิม ยิ่งเติมเครื่องปรุงใหม่ๆเข้าไป จากรสที่แย่เลยทำให้แย่เข้าไปอีก
และลายเซ็นต์เล็กๆน้อยๆที่เคยใส่ในตัวหนังพอเป็นน้ำจิ้มคนชมไม่ได้สนใจ แต่ภาคนี้ผู้กำกับเลือกที่จะทำลายเซ็นต์ขนาดใหญ่อะไรที่มันใหญ่ ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเยอะ ปกติเป็นแค่น้ำจิ้มพอพลาดคนชมก็มองข้ามผ่านไปได้เหมือนภาคที่แล้ว แม้จะมีลายเซ็นต์แต่ก็ไม่ใหญ่จนเกินไป
ผิดกับภาคนี้ที่ใหญ่จนคนเห็นความผิดพลาดของลายเซ็นต์ หนาเกิน ไม่สวย กลายเป็นจุดด้อยของหนังไปในทันที
จากต้มยำกุ้งที่น่าจะอร่อย ก็กลายเป็นต้มยำกุ้งที่ไร้รสชาติไปโดยปริยาย
สิ่งที่พลาดของผู้กำกับคือการไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอย่างแท้จริง ทั้งเรื่องของบท เรื่องของความใหม่
ผู้กำกับเลือกที่จะใช้ความกล้าในการนำเสนอบทเดิมๆ เรื่องเดิมๆ ทั้งๆที่มีของดีอยู่ในมือ "จา พนม" ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าความสามารถรอบตัว
ในองค์บาก2,3
แต่ผู้กำกับมองข้ามความสามารถตรงจุดนี้ไป ลองเปลี่ยนจากมวยโบราณมาเป็นนักดาบโบราณดูสิ มันจะตื่นตา ตื่นใจขนาดไหนสู้ด้วยอาวุธไทยๆหลากหลายชนิดให้ชาวโลกได้เห็นความสามารถที่แท้จริง แต่ผู้กำกับไม่หยิบมาใช้ ความดิบจากอาวุธที่ดูสดกว่า ดิบกว่า ใหม่กว่า
น่าเสียดายที่คนไทย อดเห็น"จา"แสดงความสามารถที่หลากหลายกว่านี้ มากกว่าหมัดๆมวยๆ
ที่คนดูหนังก็เหมือนกินอาหารอะไรที่มันกินบ่อยๆมันก็เบื่อ มันก็ต้องหาอะไรใหม่ๆอร่อยๆกิน
แล้วจึงจะกลับมาลิ้มรสชาติเดิมเพื่อให้มีอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ
ความสด ดิบ ใหม่ สิ่งที่หายไปในหนังของ"จา พนม"และผู้กำกับ ปรัชญา ปิ่นแก้ว
"องค์บาก"
หนังที่กลมกล่อมและลงตัวที่สุดในบรรดาหนังแอ๊คชั่นของ"จา"และผู้กำกับ มีจุดผิดพลาดอยู่บ้าง แต่หนังสามารถกลบจุดด้อย ทำให้กลายเป็นหนังที่น่าจดจำ จากหนุ่มบ้านนอกซื่อๆทำเพื่อหมู่บ้านในการตามหาเศียรพระที่หาย ตัวหนังค่อยๆพาให้คนที่ชมก้าวไปพร้อมๆกับหนัง
และค่อยๆเพิ่มความดิบในการต่อสู้และพาไปจนกระทั่งหนังจบทำให้คนที่ชมรู้สึกสงสาร กับฉากที่อ้ายhumแหล่ต้องมาตายในการปกป้องเศียรพระเพื่อหมู่บ้านเป็นครั้งสุดท้าย นี่ต้องบอกว่าเป็นผลงานที่สุดยอดของผู้กำกับด้วยความสด สดทุกอย่าง ทั้งบทหนัง ทั้งนักแสดง
ดิบด้วยคอนเซ็ปไม่ใช้ตัวแสดงแทน ไม่ใช้สลิง และไม่มีซีจี จึงได้เห็นอะไรที่ตื่นตากับความสดใหม่ดิบ กับการที่หนังไม่ได้ถูกคาดหวังตั้งแต่แรก ด้วยความ สด ดิบ ใหม่ จึงทำให้หนังเรื่องนี้ไปได้ไกลด้วยความสด ดิบ ใหม่ ของตัวหนังเอง
แต่ข้อด้อยของหนังคือบทพูดของนักแสดง โดยเฉพาะพระเอกที่ต้องบอกว่าน้อยจริงๆ จนคนดูหนังออกมาวิจาร์ณ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีด้วยเพราะหนังโดนใจหลายๆคน
"ต้มยำกุ้ง"
หนังที่แบกความคาดหวังโจทย์ที่ท้าทายของผู้กำกับ หนังที่เต็มไปด้วยความกดดัน จึงทำให้บางอย่างได้ขาดหายไป "ความสด"แน่นอนนักแสดงกลายเป็นที่รู้จักความสดของนักแสดงได้หายไปพอสมควร แต่สิ่งที่หายไปคือความสดของตัวหนัง
ด้วยพล๊อตเรื่องที่ต้องเรียกว่าซ้ำกับองค์บาก เพียงแต่เปลี่ยนจากเศียรพระกลายเป็นช้าง และการที่คิดให้ไปตามหากันถึงซิดนีย์เพื่อฉีกหนีภาพซ้ำๆ แน่นอนย้ายสถานที่ก็เหมือนกับได้เห็นอะไรใหม่ๆ และด้วยงบที่สูงขึ้นผู้กำกับจึงได้ใส่ความดิบ ซึ่งต้องบอกว่าหนักกว่าในองค์บาก
แต่ด้วยที่ใส่ฉากแอ๊คชั่น ใส่ความดิบเข้าไปเยอะ ทำให้มองข้ามความสดของหนังที่ได้หายไป ความสดของบทที่ต้องบอกว่าไม่ใหม่เพราะคนดูเริ่มจับทางได้ ความสดของการแสดงี่ต้องบอกว่าเริ่มมีการนำ CG มาใส่ในตัวหนัง จากที่องค์บากผู้กำกับแค่ทำเหมือนลายเซ็นต์เล็กๆ
แต่เรื่องต้มยำกุ้งเริ่มมีการนำมาใส่ในตัวภาพยนตร์ดังที่เห็นในฉากท้ายเครดิต ที่"จา"กกระโดดเข่าลอยใส่ผู้ร้ายที่เกาะอยู่กับเฮลิคอปเตอร์ ถ้าใครชมเบื้องหลังก็จะเห็นว่าฉากนี้ใส่ CG แต่ก็เป็น CG ที่บางคนอาจจับผิดไม่ได้ในขนาดที่ชม หนังเรื่องนี้จึงไปได้ไกลด้วยความดิบของตัวหนังที่ใส่มาไม่ยั้ง โดยเฉพาะฉากแอ๊คชั่นลองเทคความยาวกว่าสิบนาที
หนังจึงประสบความสำเร็จด้วยแรงหนุนจากองค์บากในภาคแรกและความดิบที่ใส่เข้าไป พร้อมกับการจดจำประโยคทองของแฟนหนัง"ช้างกรุอยู่ไหน"ซึ่งเป็นจุดด้อยที่ผู้กำกับไม่ยอมแก้ไข
"ต้มยำกุ้ง 2"
เมื่อทั้งความสด ความดิบ หายไปจากตัวหนัง หนังที่คนชมอยากเห็นอะไรใหม่ๆอีกครั้ง แต่...ผู้กำกับเลือกที่จะนำเสนอของเก่า
ตั้งแต่วันแรกที่ทีเซอร์หนังได้ปล่อยออกมาพร้อมประโยคทองของนักแสดง"นี่ช้างหายอีกแล้วเหรอ" ทำให้หนังเรื่องนี้โดนค่อนขอดทันที
พร้อมกับการคาดเดาว่าสงสัยจะเหมือนเดิม แต่ก็มีอีกหลายส่วนที่ยังมีความหวังว่ายังไงผู้กำกับคงไม่ติดกับภาพเดิมๆ แต่ผลสุดท้ายเมื่อหนังออกมาก็เป็นอย่างที่หลายๆคนได้คาดการณ์ เมื่อหนังที่ขาดทั้งความสด ความดิบ ความใหม่ จากหลายๆเสียงที่รอคอยจึงถูกตีกลับด้วยเสียงตำหนิหมดมุข ไม่พัฒนา ไม่ไปไหน
บทหนังเดิมๆที่คนชมจับได้ตั้งแต่ภาคที่แล้ว ความดิบที่ไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นตาตื่นใจ ความใหม่ที่ไม่มีให้เห็น
หนังพยายามเพิ่มความดิบ แต่มันคือสัจธรรมอะไรที่มันมากเกินมันก็ดูจนล้นออกมา ความดิบที่ใส่เข้าไปมันล้น จนคนชมสำลัก
เมื่อทุกอย่างไม่มีอะไรใหม่ทำให้หนังดูแย่พอตัว ความคาดหวังของคนชมหายไปพร้อมกับพล๊อตเรื่องเดิมๆ ที่นำกลับมาอุ่นใหม่ใส่เครื่องปรุงเข้าไปโดยคิดว่ารสชาติมันจะดีขึ้น แต่ของเก่าต่อให้อุ่นยังไงรสชาติมันก็ไม่เหมือนเดิม ยิ่งเติมเครื่องปรุงใหม่ๆเข้าไป จากรสที่แย่เลยทำให้แย่เข้าไปอีก
และลายเซ็นต์เล็กๆน้อยๆที่เคยใส่ในตัวหนังพอเป็นน้ำจิ้มคนชมไม่ได้สนใจ แต่ภาคนี้ผู้กำกับเลือกที่จะทำลายเซ็นต์ขนาดใหญ่อะไรที่มันใหญ่ ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเยอะ ปกติเป็นแค่น้ำจิ้มพอพลาดคนชมก็มองข้ามผ่านไปได้เหมือนภาคที่แล้ว แม้จะมีลายเซ็นต์แต่ก็ไม่ใหญ่จนเกินไป
ผิดกับภาคนี้ที่ใหญ่จนคนเห็นความผิดพลาดของลายเซ็นต์ หนาเกิน ไม่สวย กลายเป็นจุดด้อยของหนังไปในทันที
จากต้มยำกุ้งที่น่าจะอร่อย ก็กลายเป็นต้มยำกุ้งที่ไร้รสชาติไปโดยปริยาย
สิ่งที่พลาดของผู้กำกับคือการไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอย่างแท้จริง ทั้งเรื่องของบท เรื่องของความใหม่
ผู้กำกับเลือกที่จะใช้ความกล้าในการนำเสนอบทเดิมๆ เรื่องเดิมๆ ทั้งๆที่มีของดีอยู่ในมือ "จา พนม" ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าความสามารถรอบตัว
ในองค์บาก2,3
แต่ผู้กำกับมองข้ามความสามารถตรงจุดนี้ไป ลองเปลี่ยนจากมวยโบราณมาเป็นนักดาบโบราณดูสิ มันจะตื่นตา ตื่นใจขนาดไหนสู้ด้วยอาวุธไทยๆหลากหลายชนิดให้ชาวโลกได้เห็นความสามารถที่แท้จริง แต่ผู้กำกับไม่หยิบมาใช้ ความดิบจากอาวุธที่ดูสดกว่า ดิบกว่า ใหม่กว่า
น่าเสียดายที่คนไทย อดเห็น"จา"แสดงความสามารถที่หลากหลายกว่านี้ มากกว่าหมัดๆมวยๆ
ที่คนดูหนังก็เหมือนกินอาหารอะไรที่มันกินบ่อยๆมันก็เบื่อ มันก็ต้องหาอะไรใหม่ๆอร่อยๆกิน
แล้วจึงจะกลับมาลิ้มรสชาติเดิมเพื่อให้มีอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ