ดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ลดเหลื่อมล้ำ
updated: 29 ต.ค. 2556 เวลา 10:40:56 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
จะเดินหน้าจนสุดซอยเหมือนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ หรือเงียบหายไปกับสายลมเหมือนทุกครั้งยังคาดเดาลำบาก แต่การจุดกระแสว่ารองนายกฯและ รมว.คลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง มีนโยบายจะผลักดันประกาศบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...โดยนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ก่อให้เกิดคำถามตามมาถึงสถานะในปัจจุบันของร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งที่ผ่านมาแม้มีเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่นักการเมืองและรัฐบาลหลายยุคสมัยกลับไม่เห็นว่ามีความสลักสำคัญ
อย่างสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้แสดงทีท่าว่าจะสนับสนุนให้ร่างกฎหมายฉบับนี้แจ้งเกิด โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาจนเสร็จเรียบร้อย จ่อคิวบรรจุเข้าวาระการพิจารณาในที่ประชุมสภา แต่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองมีการยุบสภา ส่งผลให้ร่างกฎหมายถูกเก็บเข้าลิ้นชัก
เข้าสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง หลังเวลาผ่านพ้นไป 2 ปีเศษ แต่หากมีเจตนารมณ์แน่วแน่จะผลักดันอย่างจริงจังในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ก็น่าจะดำเนินการได้ทัน และจะเป็นผลงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนรุ่นลูกหลานในอนาคต
วัตถุประสงค์หลักในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ก็เพื่อประกาศบังคับใช้แทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และ พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ซึ่งล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงสร้างอัตราภาษี ฐานภาษี ตลอดจนวิธีการจัดเก็บ ซึ่งไม่เป็นธรรมในการกระจายรายได้ และการถือครองที่ดิน
ขณะเดียวกัน อัตราภาษีที่จัดเก็บซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำ นอกจากไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงแล้ว ยังทำให้หน่วยงานท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้จัดเก็บภาษีดังกล่าวมีรายได้ค่อนข้างต่ำ
ส่งผลต่อเนื่องทำให้การพัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการทำได้จำกัด ขณะที่การถือครองที่ดินก็กระจุกตัวอยู่ในมือของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ แทนที่จะมีการกระจายการถือครอง เกิดปัญหาทางสังคมและความเหลื่อมล้ำตามมา
ข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันที่ดินระบุถึงลักษณะการถือครองที่ดินในประเทศไทยว่า
ผู้ถือครองที่ดินขนาดเนื้อที่น้อยกว่า 1 ไร่ มีสัดส่วนสูงถึง 50.64%
ส่วนที่ถือครองที่ดินตั้งแต่ 1-4 ไร่ มีสัดส่วน 29.55%
เทียบกับจำนวนผู้ถือครองที่ดินขนาดตั้งแต่ 50 ไร่ขึ้นไป มีสัดส่วนเพียง 0.25%
ชี้ให้เห็นว่าที่ดินจำนวนมากอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่ม ขณะที่คนส่วนใหญ่ถือครองที่ดินอยู่ในมือน้อยมาก ทำให้ที่ดินบางส่วนถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งหมดนี้หลายฝ่ายคาดหวังว่า หากผลักดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ บังคับใช้สำเร็จจะช่วยตอบโจทย์ได้ ทำให้การจัดเก็บภาษีที่ดินมีความเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สร้างรายได้ให้หน่วยงานท้องถิ่นเพิ่ม และเกิดการ กระจายการถือครองที่ดิน ช่วยแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำให้ลดน้อยลง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1383017594
ดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ลดเหลื่อมล้ำ
updated: 29 ต.ค. 2556 เวลา 10:40:56 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
จะเดินหน้าจนสุดซอยเหมือนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ หรือเงียบหายไปกับสายลมเหมือนทุกครั้งยังคาดเดาลำบาก แต่การจุดกระแสว่ารองนายกฯและ รมว.คลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง มีนโยบายจะผลักดันประกาศบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...โดยนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ก่อให้เกิดคำถามตามมาถึงสถานะในปัจจุบันของร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งที่ผ่านมาแม้มีเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่นักการเมืองและรัฐบาลหลายยุคสมัยกลับไม่เห็นว่ามีความสลักสำคัญ
อย่างสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้แสดงทีท่าว่าจะสนับสนุนให้ร่างกฎหมายฉบับนี้แจ้งเกิด โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาจนเสร็จเรียบร้อย จ่อคิวบรรจุเข้าวาระการพิจารณาในที่ประชุมสภา แต่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองมีการยุบสภา ส่งผลให้ร่างกฎหมายถูกเก็บเข้าลิ้นชัก
เข้าสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง หลังเวลาผ่านพ้นไป 2 ปีเศษ แต่หากมีเจตนารมณ์แน่วแน่จะผลักดันอย่างจริงจังในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ก็น่าจะดำเนินการได้ทัน และจะเป็นผลงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนรุ่นลูกหลานในอนาคต
วัตถุประสงค์หลักในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ก็เพื่อประกาศบังคับใช้แทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และ พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ซึ่งล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงสร้างอัตราภาษี ฐานภาษี ตลอดจนวิธีการจัดเก็บ ซึ่งไม่เป็นธรรมในการกระจายรายได้ และการถือครองที่ดิน
ขณะเดียวกัน อัตราภาษีที่จัดเก็บซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำ นอกจากไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงแล้ว ยังทำให้หน่วยงานท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้จัดเก็บภาษีดังกล่าวมีรายได้ค่อนข้างต่ำ
ส่งผลต่อเนื่องทำให้การพัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการทำได้จำกัด ขณะที่การถือครองที่ดินก็กระจุกตัวอยู่ในมือของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ แทนที่จะมีการกระจายการถือครอง เกิดปัญหาทางสังคมและความเหลื่อมล้ำตามมา
ข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันที่ดินระบุถึงลักษณะการถือครองที่ดินในประเทศไทยว่า
ผู้ถือครองที่ดินขนาดเนื้อที่น้อยกว่า 1 ไร่ มีสัดส่วนสูงถึง 50.64%
ส่วนที่ถือครองที่ดินตั้งแต่ 1-4 ไร่ มีสัดส่วน 29.55%
เทียบกับจำนวนผู้ถือครองที่ดินขนาดตั้งแต่ 50 ไร่ขึ้นไป มีสัดส่วนเพียง 0.25%
ชี้ให้เห็นว่าที่ดินจำนวนมากอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่ม ขณะที่คนส่วนใหญ่ถือครองที่ดินอยู่ในมือน้อยมาก ทำให้ที่ดินบางส่วนถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งหมดนี้หลายฝ่ายคาดหวังว่า หากผลักดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ บังคับใช้สำเร็จจะช่วยตอบโจทย์ได้ ทำให้การจัดเก็บภาษีที่ดินมีความเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สร้างรายได้ให้หน่วยงานท้องถิ่นเพิ่ม และเกิดการ กระจายการถือครองที่ดิน ช่วยแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำให้ลดน้อยลง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1383017594