"หลับให้สบายนะลูก ถ้าหนูเป็นลูกแม่กลับมาเกิดกับแม่อีกนะ"
ที่มาจากคุณแม่ท่านนึง ที่เพิ่งสูญเสียลูกน้อยไป
http://ppantip.com/topic/31164601
ได้อ่านประโยคนี้แล้วนึกถึงตัวเองเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วค่ะ
เราเคยมีประสบการณ์คล้ายๆกับคุณแม่ท่านนี้ต้องเสียลูกคนโตไป
คือรับไม่ได้เลย หมอบอกให้
เอาน้องออกทั้งที่เค้ายังมีชีวิต ทั้งๆที่เค้ายังหายใจและดิ้นอยู่
รู้ทั้งรู้ว่าเค้ายังไม่ตายและเรารู้สึกทุกอย่างจนเค้าแน่นิ่งไป
และรอจนเค้าเสียชีวิตแล้วคลอดเค้าออกมา เสียใจอยู่จนทุกวันนี้
กรณีของเรา "คือน้องเป็นโรคน้ำในสมองค่ะ"
เราอยากเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้คุณแม่มือใหม่ทุกท่านได้ศึกษาไว้ค่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน
เราก็เพิ่งจะอายุราวๆ 18 ปี
ตอนตั้งท้องก็ไม่ร็ด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นตั้งท้อง
เพราะเราไม่มีอาการอาเจียนใดๆ เพียงแค่รู้สึกว่าอยากกินของเปรี้ยวๆ
และต้องการนอนมากๆ คืออ่อนเพลียอยากพักผ่อนตลอดเวลา
จนประจำเดือนไม่มา เราก็จำไม่ได้ว่ามันหมดไปเมื่อไหร่
จนได้ไปตรวจการตั้งครรภ์ที่คลินิกปรากฏว่าตั้งครรภ์ 4 เดือนแล้ว และได้ฝากครรภ์ที่รพ.ประจำอำเภอแห่งหนึ่ง
ในแต่ละเดือนที่ฝากครรภ์นั้น ผลการตรวจออกมาก็ปกติดีทุกอย่าง (คุณหมอบอก คุณหมอเป็นแพทย์จบใหม่)
แต่ในแต่ละเดือนที่เราฝากนั้นมีอาการอย่างนี้ค่ะ
ตั้งครรภ์เดือนที่ 4 (เพิ่งเริ่มฝากครรภ์) ตรวจฉี่ เจาะเลือด ตามกระบวนการการฝากครรภ์ทุกอย่าง และก็เข้าห้องตรวจ ตรวจเสียงหัวใจเด็กนานมากๆกว่าจะได้ยินเสียง ต้องวนหาน้องกันพักใหญ่ ส่งหาหมอใหญ่ เค้าก็ซาวด์ดู แต่นั่งดูหน้าจออยู่นานพอสมควร คงจะเห็นความผิดปกติของเด็กแต่ไม่แน่ใจ คงจะรอให้ถึงเดือนที่5 ก่อนละมั้ง เพราะน้องยังตัวเล็ก แต่แล้วหมอก็บอกเด็กปกติดี แล้วก็ให้ยาบำรุงมากิน
อีก2สัปดาห์ต่อมา เราลื่นล้มในตอนเช้า แต่เอาเข่าลง มีเลือดออกนิดหน่อยตอนเข้าห้องน้ำ
เดินทางไปรพ.อีกครั้ง เข้าพบแพทย์คนเดิม ตรวจปากมดลูกไม่เปิด
แล้วก็ซาวด์ดูน้องอีกครั้ง คราวนี้ก็นั่งดูอยู่นานอีกเช่นเคย เราก็เลยถามหมอว่า
เรา:หมอค่ะ อยากรู้ว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผุ้ชายจะรู้ได้ไหม
หมอ:เครื่องของเราดูได้แค่ความผิดปกติหน่ะคะ ถ้าอยากรู้เพศต้องไปตรวจกับหมอในเมืองตามคลีนิคอะค่ะ
จะทราบได้หมดเลยค่ะ วันนี้น้องปกติดีนะคะกลับบ้านได้ค่ะ
อีก3วันเราก็ไปตรวจกับคลินิกในเมือง ซึ่งหมอที่คลินิกก็เป็นหมอประจำที่รพ.ในเมืองเหมือนกัน
ผลการซาวด์ หมอบอกเราว่า น้องมีปัญหามีน้ำในสมองต้องเอาน้องออก ตอนนั้นใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลย
หมอก็เลยนัดวันและทำเรื่องส่งตัวให้ ไม่เคยนึกกับตัวเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
เสียใจอย่างมาก รู้ทั้งรู้ว่าเค้ายังมีชีวิต แต่เราก็ต้องเอาเค้าออก ตอนคลอดเราไม่ได้เห็นน้องเลยค่ะ
คุณหมอขอศพน้องไปเป็นกรณีศึกษาค่ะ เราก็เซ็นต์มอบให้กับทางรพ.ไป
กลับจากรพ.ก็ทำบุญให้ บอกกล่าวให้รู้ "แม่รักหนูมาก ถ้ามีบุญร่วมกันหนูมาเกิดเป็นลูกแม่นะคะ"
เรากลัวเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีกจนไม่ปล่อยให้ตั้งท้องเป็นเวลา5-6 ปี ค่ะ
แต่แฟนเค้าอยากได้ลูกเราก็เลยตั้งท้องอีกครั้ง ท้องคราวนี้เราตั้งใจมากค่ะ
จำวันที่ประเดือนมาวันสุดท้ายได้เป็นอย่างดี
ท้องนี้เราบำรุงอย่างดี ฝากกับหมอที่เชื่อถือได้
ทานยาบำรุง กินทุกอย่างแบบไม่กลัวอ้วน (ปกติเป็นคนเครียดมากเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักตัวเพิ่ม)
และรับประทานโฟลิค ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
ดื่มนมดื่มน้ำเต้าหู้อย่างน้อยวันละ 2-3 กล่อง
ทานน้ำมะพร้าววันละ 2-3 ลูก (เพราะเรามีต้นเอง)
ตอนแรกที่ตั้งครรภ์เราก็กลัวเหมือนกันว่าน้องจะออกมาไม่สมบูรณ์อีก
แต่แล้วสวรรค์ก็เห็นใจเราค่ะ ส่งเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆมาให้เราได้เชยชม
เธอนั้นเป็นเด็กที่อารมณ์ดีค่ะ ยิ้มง่าย พัฒนาการเธอนั้นเร็วมากๆเมื่อเทียบกับ
เด็กวัยเดียวกัน ตอนนี้เธอเกือบจะ 5 เดือนแล้วค่ะ
จึงอยากฝากว่าที่แม่ๆทุกท่านนะคะ ว่าให้ฝากครรภ์กับคุณหมอที่เชื่อถือได้ ดูแลตัวเองให้ดี
เราคิดว่าที่ลูกเป็นโรคน้ำในสมองคงเพราะ
-เราไม่ได้ทานโฟลิค ทำให้เด็กนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกไขสันหลัง
มีผลทำให้มีน้ำในสมอง (เราคิดเอาเอง)
-คงเพราะเราฝากครรภ์ตั้ง4 เดือนแล้วทำให้เราได้ทานยาบำรุงนั้นช้าไป
เราไม่อยากนึกเลยว่าถ้าวันนั้นเราไม่ไปตรวจที่คลีนิกในเมืองจะเป็นอย่างไร
-ไหนจะแพทย์จบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์
-ไหนจะเครื่องมือแพทย์ในอำเภอที่เราอยู่ไม่ทันสมัย
เราไม่อยากโทษใคร เราคิดว่าเราและลูกคงทำบุญด้วยกันมาแค่นี้จริงๆ และคิดว่าเค้าคงกลับมาเกิดเป็นลูกเราอีกครั้งค่ะ
และจะสัญญาว่า "แม่คนนี้จะดูแลหนูให้ดีที่สุด" เราบอกกับลูกสาวทุกวันตั้งแต่เราตั้งครรภ์ และทุกวันนี้เราก็ยังบอกกับเธอแบบนี้ค่ะ
โรคน้ำในสมองเด็ก
ที่มาจากคุณแม่ท่านนึง ที่เพิ่งสูญเสียลูกน้อยไป
http://ppantip.com/topic/31164601
ได้อ่านประโยคนี้แล้วนึกถึงตัวเองเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วค่ะ
เราเคยมีประสบการณ์คล้ายๆกับคุณแม่ท่านนี้ต้องเสียลูกคนโตไป
คือรับไม่ได้เลย หมอบอกให้
เอาน้องออกทั้งที่เค้ายังมีชีวิต ทั้งๆที่เค้ายังหายใจและดิ้นอยู่
รู้ทั้งรู้ว่าเค้ายังไม่ตายและเรารู้สึกทุกอย่างจนเค้าแน่นิ่งไป
และรอจนเค้าเสียชีวิตแล้วคลอดเค้าออกมา เสียใจอยู่จนทุกวันนี้
กรณีของเรา "คือน้องเป็นโรคน้ำในสมองค่ะ"
เราอยากเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้คุณแม่มือใหม่ทุกท่านได้ศึกษาไว้ค่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน
เราก็เพิ่งจะอายุราวๆ 18 ปี
ตอนตั้งท้องก็ไม่ร็ด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นตั้งท้อง
เพราะเราไม่มีอาการอาเจียนใดๆ เพียงแค่รู้สึกว่าอยากกินของเปรี้ยวๆ
และต้องการนอนมากๆ คืออ่อนเพลียอยากพักผ่อนตลอดเวลา
จนประจำเดือนไม่มา เราก็จำไม่ได้ว่ามันหมดไปเมื่อไหร่
จนได้ไปตรวจการตั้งครรภ์ที่คลินิกปรากฏว่าตั้งครรภ์ 4 เดือนแล้ว และได้ฝากครรภ์ที่รพ.ประจำอำเภอแห่งหนึ่ง
ในแต่ละเดือนที่ฝากครรภ์นั้น ผลการตรวจออกมาก็ปกติดีทุกอย่าง (คุณหมอบอก คุณหมอเป็นแพทย์จบใหม่)
แต่ในแต่ละเดือนที่เราฝากนั้นมีอาการอย่างนี้ค่ะ
ตั้งครรภ์เดือนที่ 4 (เพิ่งเริ่มฝากครรภ์) ตรวจฉี่ เจาะเลือด ตามกระบวนการการฝากครรภ์ทุกอย่าง และก็เข้าห้องตรวจ ตรวจเสียงหัวใจเด็กนานมากๆกว่าจะได้ยินเสียง ต้องวนหาน้องกันพักใหญ่ ส่งหาหมอใหญ่ เค้าก็ซาวด์ดู แต่นั่งดูหน้าจออยู่นานพอสมควร คงจะเห็นความผิดปกติของเด็กแต่ไม่แน่ใจ คงจะรอให้ถึงเดือนที่5 ก่อนละมั้ง เพราะน้องยังตัวเล็ก แต่แล้วหมอก็บอกเด็กปกติดี แล้วก็ให้ยาบำรุงมากิน
อีก2สัปดาห์ต่อมา เราลื่นล้มในตอนเช้า แต่เอาเข่าลง มีเลือดออกนิดหน่อยตอนเข้าห้องน้ำ
เดินทางไปรพ.อีกครั้ง เข้าพบแพทย์คนเดิม ตรวจปากมดลูกไม่เปิด
แล้วก็ซาวด์ดูน้องอีกครั้ง คราวนี้ก็นั่งดูอยู่นานอีกเช่นเคย เราก็เลยถามหมอว่า
เรา:หมอค่ะ อยากรู้ว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผุ้ชายจะรู้ได้ไหม
หมอ:เครื่องของเราดูได้แค่ความผิดปกติหน่ะคะ ถ้าอยากรู้เพศต้องไปตรวจกับหมอในเมืองตามคลีนิคอะค่ะ
จะทราบได้หมดเลยค่ะ วันนี้น้องปกติดีนะคะกลับบ้านได้ค่ะ
อีก3วันเราก็ไปตรวจกับคลินิกในเมือง ซึ่งหมอที่คลินิกก็เป็นหมอประจำที่รพ.ในเมืองเหมือนกัน
ผลการซาวด์ หมอบอกเราว่า น้องมีปัญหามีน้ำในสมองต้องเอาน้องออก ตอนนั้นใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลย
หมอก็เลยนัดวันและทำเรื่องส่งตัวให้ ไม่เคยนึกกับตัวเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
เสียใจอย่างมาก รู้ทั้งรู้ว่าเค้ายังมีชีวิต แต่เราก็ต้องเอาเค้าออก ตอนคลอดเราไม่ได้เห็นน้องเลยค่ะ
คุณหมอขอศพน้องไปเป็นกรณีศึกษาค่ะ เราก็เซ็นต์มอบให้กับทางรพ.ไป
กลับจากรพ.ก็ทำบุญให้ บอกกล่าวให้รู้ "แม่รักหนูมาก ถ้ามีบุญร่วมกันหนูมาเกิดเป็นลูกแม่นะคะ"
เรากลัวเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีกจนไม่ปล่อยให้ตั้งท้องเป็นเวลา5-6 ปี ค่ะ
แต่แฟนเค้าอยากได้ลูกเราก็เลยตั้งท้องอีกครั้ง ท้องคราวนี้เราตั้งใจมากค่ะ
จำวันที่ประเดือนมาวันสุดท้ายได้เป็นอย่างดี
ท้องนี้เราบำรุงอย่างดี ฝากกับหมอที่เชื่อถือได้
ทานยาบำรุง กินทุกอย่างแบบไม่กลัวอ้วน (ปกติเป็นคนเครียดมากเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักตัวเพิ่ม)
และรับประทานโฟลิค ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
ดื่มนมดื่มน้ำเต้าหู้อย่างน้อยวันละ 2-3 กล่อง
ทานน้ำมะพร้าววันละ 2-3 ลูก (เพราะเรามีต้นเอง)
ตอนแรกที่ตั้งครรภ์เราก็กลัวเหมือนกันว่าน้องจะออกมาไม่สมบูรณ์อีก
แต่แล้วสวรรค์ก็เห็นใจเราค่ะ ส่งเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆมาให้เราได้เชยชม
เธอนั้นเป็นเด็กที่อารมณ์ดีค่ะ ยิ้มง่าย พัฒนาการเธอนั้นเร็วมากๆเมื่อเทียบกับ
เด็กวัยเดียวกัน ตอนนี้เธอเกือบจะ 5 เดือนแล้วค่ะ
จึงอยากฝากว่าที่แม่ๆทุกท่านนะคะ ว่าให้ฝากครรภ์กับคุณหมอที่เชื่อถือได้ ดูแลตัวเองให้ดี
เราคิดว่าที่ลูกเป็นโรคน้ำในสมองคงเพราะ
-เราไม่ได้ทานโฟลิค ทำให้เด็กนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกไขสันหลัง
มีผลทำให้มีน้ำในสมอง (เราคิดเอาเอง)
-คงเพราะเราฝากครรภ์ตั้ง4 เดือนแล้วทำให้เราได้ทานยาบำรุงนั้นช้าไป
เราไม่อยากนึกเลยว่าถ้าวันนั้นเราไม่ไปตรวจที่คลีนิกในเมืองจะเป็นอย่างไร
-ไหนจะแพทย์จบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์
-ไหนจะเครื่องมือแพทย์ในอำเภอที่เราอยู่ไม่ทันสมัย
เราไม่อยากโทษใคร เราคิดว่าเราและลูกคงทำบุญด้วยกันมาแค่นี้จริงๆ และคิดว่าเค้าคงกลับมาเกิดเป็นลูกเราอีกครั้งค่ะ
และจะสัญญาว่า "แม่คนนี้จะดูแลหนูให้ดีที่สุด" เราบอกกับลูกสาวทุกวันตั้งแต่เราตั้งครรภ์ และทุกวันนี้เราก็ยังบอกกับเธอแบบนี้ค่ะ