การไว้ทุกข์ถือเป็นการยัดเยียดทางความคิดทางหนึ่งหรือเปล่าครับ (กระทู้อาจจะแรงไปนิดนึงนะครับ)

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจที่สมเด็จพระสังฆราชเสียชีวิตก่อนนะครับ และกระทู้นี้ก็จะพูดถึงเรื่องนี้ละครับ

ผมสงสัยครับว่าทำไมเราจึงต้องโดนบังคับไว้ทุกข์ให้สมเด็จพระสังฆราชครับ โดยเฉพาะข้าราชการ โดยเฉพาะงดการจัดงานรื่นเริงต่างๆ สงสัยจริงๆครับว่าต้องการจะทำไปเพื่อ? ให้คนจมอยู่กับความโศกเศร้าอย่างนั้นหรือครับ แล้วถ้าผมนับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลาม ผมก็ไม่เข้าใจว่าพระสังฆราชนั้นมีพระมหากรุณาธิคุณ (ใช้คำตามประกาศ) กับผมตรงไหนเลยครับ ไม่ต้องอะไรหรอกครับ ผมคนพุทธยังไม่เคยรู้จักชื่อท่านจนมาเห็นในข่าวเลยครับ แล้วทำไมผมต้องมานั่งไว้ทุกข์ด้วย ถึงปกติผมจะไม่ร่วมงานเทศกาลต่างๆด้วยเหตุผลส่วนตัว (ขี้เกียจออกบ้าน) แต่สงสัยว่าทำไมงานลอยกระทงต้องเลื่อนออกไปด้วยละครับ กลัวว่างานรื่นเริงจะทำร้ายจิตใจชาวพุทธที่เศร้าเสียใจอยู่? ตลกสิ้นดีครับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ศาสนาพุทธก็สอนเอาไว้เอง ถ้าคุณจะ sensitive ขนาดนั้นผมก็ไม่รู้ว่าไงละครับ ผมยังไม่เคยเห็นคนที่พ่อแม่เสียชีวิตมาห้ามไม่ให้เพื่อนๆไปเที่ยวหรือบังคับให้เพื่อนๆกับลูกน้องไว้ทุกข์เลย หลายๆคนพ่อแม่เสียยังไม่ไว้ทุกข์นานขนาดนัเลยครับ แล้วพระสังฆราชนี่มีพระคุณมากกว่าพ่อแม่อีกเหรอครับเลยต้องมาไว้ทุกข์กันขนาดนี้

และสุดท้าย ที่ไม่เข้าใจคือ เมื่อคุณเสียใจต่อการเสียชีวิตของใครสักคนแล้วจะแสดงออกอย่างไรก็เรื่องของคุณ แต่ทำไมคุณต้องมาบังคับให้คนอื่นมาแสดงออกแบบที่คุณต้องการด้วย ถ้าใช้หลักการเดียวกันนี่เวลาที่เจ้าสัว CP หรืออากู๋ Grammy เสีย (ตัวอย่างนะครับ) CP กับ Grammy คงไม่ต้องจัด CSR หรือ Event รื่นเริงอะไรเลยมั้งครับเพราะบริษัทต้อง "ไว้ทุกข์" ให้กับผู้ซึ่งมี "บุญคุณ" ต่อบริษัท ถ้าอ้างว่ากิจการต้องดำเนินต่อไป แล้วประเทศไม่ต้องเดินหน้าเหรอครับ งานรื่นเริงนี่สร้าง GDP ให้กับประเทศได้เยอะเหมือนกันนะครับ ถ้าเรื่องนี้เกิดช่วงสงกานต์ก็คงยกเลิกไปงานไปเลยสินะครับ พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องมีรายได้ นักท่องเที่ยวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สบายกระเป๋ากันทุกฝ่าย มีแค่เงินหมุนเวียนภายในประเทศเท่านั้นที่ลดลงสินะครับ

ปล. ผมไม่ได้เป็นข้าราชการนะครับ แต่ได้มีโอกาสมาสัมผัสหน่วยงานราชการและข้าราชการอย่างใกล้ชิดจนถึงเดือนเมษานี้ละครับ

Edit: เนื่องจากเห็นบาง คห. ไม่พอใจต่อคำว่า "พระมหากรุณาธิคุณ" เลยแทนด้วยคำว่า "บุญคุญ" แทนนะครับ

เพิ่มเติม

ขอบคุณครับสำหรับทุกๆคำตอบ แม้ว่าบางอันจะจิกกัดผมก็เถอะ T_T แต่ก็ขอขอบคุณที่ยังเปิดกว้างพอที่จะเสียเวลายอมอ่านสิ่งที่ผมเขียนนะครับ และขอโทษสำหรับบางคำตอบนะครับที่ผมตอบโดยใช้อารมณ์ แต่คงไม่ไป edit มันอ่ะครับ

อย่างที่ คห. 49 ว่าไว้ครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แล้วที่ผมมาตั้งกระทู้ก็เตรียมใจโดนอัดอยู่แล้วครับ (แต่บางทีก็อดมีอารมณ์ไม่ได้) อาจจะเป็นอย่างที คห. 50 ว่าไว้ก็ได้ครับว่าคน 3 เจนเนอเรชั่นวิธีการคิดอาจจะต่างกันจริงๆ ถึงหลายๆท่านจะมองว่าผมดื้อหรือไม่ฟังใครก็แล้วแต่ แต่ผมขอยืนยันครับว่าที่ผมเถียงกับหลายๆท่านในกระทู้นี่ไม่ใช่คิดว่าเห็นต่างแล้วเท่ ไม่ได้อยากเด่นดังหรืออะไรทั้งสิ้น ผมก็แค่สงสัยและอยากได้คำตอบที่ยอมรับได้มากกว่าคำว่า "เค้าทำกันมา" หรือ "คนอื่นเค้าทำกันเลยต้องทำตาม" เพราะบริบทของสังคมนั้นสามารถเปลี่ยนได้เรื่อยๆครับ อย่างที่ คห 32 นั้นได้ว่าไว้ละครับว่าประเพณีไว้ทุกข์เพิ่งมามีสมัย ร.5 นี่เองครับ

ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งนะครับที่สละเวลามาอ่านครับ

เพิ่มเติม 2 (อ่านถึง คห. 92)

คำตอบที่ถูกใจผมที่สุดคงจะเป็น คห 59 กับ คห 88 นี่ละครับ (ผมเลือกข้อความมาไว้บนหัวกระทูไม่เป็นนะครับ)

ผมเลือกที่จะปล่อยความคิดนี้ผ่านไปแล้วทำตามคนอื่นโดยไม่คิดอะไรก็ได้ครับ แต่ที่ผมมาตั้งกระทู้จริงเพราะสงสัยประมาณว่า "ทำไมเราต้องไว้ทุกบ์กับเค้าละ" "ถ้าเป็นคนศาสนาอื่นจะทำอย่างไร" หรือ "ที่ทำงานผมประกาศออกไมค์เลยว่าให้ใส่ไว้ทุกข์ แล้วถ้าไม่ทำละจะเป็นอย่างไร (แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าที่จะลอง)" ผมอยากให้สังคมมองครับว่าอย่างน้อยที่สุดก็ยังมีคนที่คิดแตกต่าง และยังมีบางคนที่เสียผลประโยชน์จากเรื่องนี้อยู่โดยการยกตัวอย่างเรื่องรายได้ที่ต้องเสียไป (ซึ่งการไว้ทุกข์ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย) แล้วมันสมควรหรือไม่ที่จะขอความร่วมมือในลักษณะนี้ถึงขนาดที่ว่างดงานรื่นเริงไปเลย ในจุดนี้ผมนั้นไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรนะครับเพราะอย่างทีแจ้งไว้แล้วครับว่าผมไม่เที่ยวอยู่แล้วครับ

โดยสรุปแล้ว ผมต้องการให้มีการถกกันละครับว่ามันเหมาะสมหรือไม่ที่จะบังคับกันไว้ทุกข์ หลายๆคนอาจจะคิดแต่ไม่กล้าพูดออกมา แต่ผมมองว่าเมื่อเราสงสัยบางอย่างและคิดว่ามันไม่ถูกต้องและสมควร เราก็ควรจะมาตั้งคำถามกับมันและแสดงมันออกมาเพื่อให้คนได้รับรู้และเพื่อทราบเหตุผลของอีกฝ่ายด้วยครับว่าเหตุใดเขาจึงคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรครับ ผมยอมรับครับว่าเหตุผลที่มาตั้งใน pantip นั้นเพราะเราไม่รู้จักกัน เราสามารถแสดงความคิดของตนออกมาได้เต็มที่ และสังคมใน pantip ค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับสังคมออนไลน์อื่นๆครับ ยอมรับจริงๆครับว่าเรื่องแบบนี้ผมเก่งแต่หลังคีย์บอร์ดครับ เพราะในชีวิตจริงคงไม่กล้าแสดงทรรศนะออกมามากขนาดนี้นอกจากกับเพื่อนทีสนิทจริงๆ (คนที่ยอมรับการพูดตรงๆแบบผมได้มันมีอยู่ในโลกจริงๆนะครับ) เนื่องจากกลัวว่าจะโดนเขม่นเอาครับ

อีกครั้ง ขออภัยสำหรับบางคำตอบที่ผมใช้อารมณ์มากไปนะครับ และขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลามาอ่านรวมทั้งเสียเวลามาตอบผมด้วยครับ การเพิ่มเติมครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายละครับ

ว่าจะไม่เพิ่มเติมแล้ว แต่ดันไปอ่านเจอข่าวที่น่าสนใจมาเกี่ยวกับการขอความร่วมมือเลยขอเพิ่มเติมในหัวกระทู้ตาม คห 189 หน่อยนะครับ ข่าวที่ว่าคือ

http://prachatai.com/journal/2013/11/49528

หากการร่วมมือไม่ใช่การบังคับ คำถามของผมคือ ถ้าอำเภอไหนไม่ให้ความร่วมมือ ชะตากรรมของนายอำเภอจะเป็นเช่นไรหนอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่