ขอถามคนเฉพาะเงินเดือนไม่เกิน 2 หมื่นนะครับ ? บริหารเงินกันยังไงครับ ?

ผมกำลังเด็กจบใหม่ครับ อาจจะต้องได้เข้าไปใช้ชีวิตใน กทม อยากรู้ว่าถ้ามีเงินจำนวนนี้
พี่ๆบริหารเงินก้อนนี้กันยังไงครับ ค่าหอเท่าไหร่ ค่าเดินทาง ส่งที่บ้านเท่าไหร่ ใช้หนี้เท่าไหร่ กินเท่าไหร่ แล้วเก็บเท่าไหร่ แล้วมันเก็บได้มั๊ย ?
อยากรู้ว่าพี่ๆบริหารกันยังไง มาแชร์วิธีการบริหารหน่อยครับ ผมจบไปจริงๆจะได้เอาแนวทางไปใช้บ้าง ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 117
ผมชอบกระทู้นี้จริงๆ แม้จะได้เงินเดือนไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ที่ตอบยังส่งเงินให้พ่อแม่ ดีครับกตัญญูไม่มีลำบาก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ปัจจุบัน 2556  เงินเดือน 17,000 ไม่รวมโอทีและเบี้ยเลี้ยงต่างๆ(บางเดือน)

5,000 เอาเข้าพอร์ตลงทุน
2,000 ฝากประจำ
1,500 ให้แม่ค่าขนม(บางเดือนถ้ามีโอทีให้ 2000)
2,200 ค่าที่พัก(หอพัก)
ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 4,500 (เช้า รถเมล์ 12 บาท เย็นเดินกลับจากที่ทำงาน ค่าข้าวใน บริษัท 27 บาทต่อจานน้ำฟรี)
ค่าโทรศัพท์ 199 บาท(โปรดีแทค)

รวมราวๆ 15,000
เหลือ 2,000 เอาไว้สำรองจ่ายเผื่อจำเป็นต้องใช้ ถ้าไม่ได้ใช้จะเอาเข้า ฝากประจำ

*******ไม่มีหนี้******
กรณีที่มีเบี้ยเลี้ยง เดือนละ 42,000 ไม่รวมเงินเดือน  พาแม่และแฟน ไปทานข้าวสักมื้อ 2,000 บาท อีก 40,000ต่อไปนี้จะเข้าพอร์ตลงทุน

มีเงินเก็บ ไว้ใช้สำรองฉุกเฉินส่วนตัว 100,000 อยู่ในฝากประจำ(ก่อนหน้านี้เบี้ยเลี้ยงเอาเข้าฝากประจำ)
มีเงิน สำหรับแต่งงาน ต้นปีหน้า 150,000 อันนี้จะหมดไปในต้นปี 2557
มีพอร์ตหุ้น นิดหน่อยมูลค่า 50,000
ทำงานในกทม  ชีวิตค่อนข้างมีความสุขดีมีเวลาออกกำลังกายงานไม่หนักเกินมีเวลาส่วนตัวค่อนข้างเยอะ(ตามเงินเดือนหุหุ)

ใช้เท่าที่มี จะทำให้มีความสุข ถ้าอยากมีมากก็ดินรนมาก ก็แล้วแต่แนวทางของแต่ละคน

บางครั้งการทำงานหนักๆเงินเดือนเยอะ ที่สุดท้ายแล้วเอาเงินไปจ่ายค่ารักษาตัวเองตอนอายุเยอะๆไม่ใช่แนวทางเท่าไร

ปัจุบัน อายุ 27 ย่าง 28 ครับ เริ่มทำงานมาได้ราว 4 ปี

กทม ไม่ได้โหดร้ายถ้ารู้จักใช้ชีวิต......เม่าออมเม่ารดน้ำ


*** แก้คำผิด
ความคิดเห็นที่ 1
หมื่นสองเมื่อ 12 ปีก่อน  เหลือเก็บเดือนละ 5 พันขึ้นไป

ที่ทำงานอยู่ซอยเทพลีลา  หอพักหน้ารามฯ ถ้าเอาถูกสุดไม่ถึงพัน  แต่ขออยู่แบบไม่อุดอู้มาก  พันสอง เดินเข้าไปมีตู้กะเตียง  พอหมุนตัวได้นิดหน่อย  ห้องน้ำรวม

เดินไปทำงานระยะทางขาเดียวน่าจะเกือบๆ สองกิโล  มีเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดบ้างไม่ไกล ค่ารถเดือนละประมาณ 500

อาหาร แวะกินข้าวมื้อเช้า 15-20  กลางวันกินใกล้ที่ทำงานก็ประมาณ 20-25  มื้อเย็นข้าวแกง  ส่วนมากเป็นร้านชาวใต้  แถมผักให้เยอะ  น้ำเปล่าดีกับสุขภาพที่สุดแล้ว

ที่บ้านก็อยู่แบบประหยัดเก็บออมกันอยู่แล้ว ภาระทางบ้านไม่มี  แค่ไปเยี่ยมเยียนตามปกติ

หนี้สินมีของ กยศ. ก็จ่ายรายปี  ตามอัตราจากน้อยไปหามาก

อยู่แบบนี้ 6 เดือน  ก็ไม่เดือดร้อนอะไร  แต่ได้งานใหม่ดูดีกว่าเดิมก็เลยเปลี่ยนงาน  ไปทำแถวแจ้งวัฒนะ  ได้เงินเดือนหมื่นห้า  เช่าหอสองพันหก  เน้นใกล้ที่ทำงานเหมือนเดิม  คราวนี้ใกล้มาก  เดินแค่ 5 นาที  อยู่ที่นี่จนเงินเดือนเกิน 2 หมื่นก็ย้ายอีกที  เก็บได้เดือนละเท่าไหร่ไม่ได้จำ  แต่คงขยับขึ้นมาแค่นิดหน่อย

แต่เก็บไปเก็บมาก็หาเรื่องไปซื้อของไม่จำเป็นซะบ้าง  เช่น notebook สมัยนั้นตัวละ 7 หมื่นกว่าบาท ซื้อด้วยเงินเก็บที่เหลือจากตอนเรียน แต่มันก็ช่วยเรื่องการทำงานให้มันสะดวกขึ้น  คิดว่าคุ้มค่าเพราะช่วยส่งเสริมการพัฒนาในหน้าที่การงาน (ตอนนั้นทั้งบริษัทมี notebook เก่าๆ อยู่เครื่องนึง  ซื้อใหม่อีกเครื่องนึง  เอาไว้ไป support ลูกค้า  ไม่เหมือนสมัยนี้มี notebook แจกให้พนักงานใช้กันเป็นเรื่องปกติ)

ส่วนที่ซื้อด้วยเงินที่เก็บจากเงินเดือนก็มีโทรศัพท์เครื่องละสามหมื่นสอง อันนี้เกินความจำเป็นไป  คิดว่าจะได้ทำอะไรกับมันเยอะแยะก็ไม่ได้ทำ  กล้องรวมอุปกรณ์โน่นนี่อีกแสนนึงได้  ทำงาน 4 ปีเงินเดือนพ้นสองหมื่นนิดหน่อย  ซื้อคอนโดล้านนึงดาวน์สองแสน

มาถึงตอนนี้คิดใหม่ว่าถ้ายังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีเป้าหมายจะปักหลักในกรุงเทพฯ ไม่ควรซื้อที่อยู่อาศัย   ยกเว้นว่ามีช่องทางหาคนเช่าแพงๆ ได้  ถ้าให้เช่าคนทำงานทั่วไปก็ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการลงทุนความเสี่ยงต่ำอื่นๆ  และทำให้เรามีสภาพคล่องลดลง   เช่าห้องแบบที่ไม่แพงมากให้ใกล้ที่ทำงานได้เป็นดีที่สุด   ชีวิตเริ่มต้นการทำงานเน้นทำงานให้เต็มที่  หอพักอาจจะไม่ได้ใช้มากเท่าไหร่ ยกเว้นที่ทำงานให้ทำงานจากข้างนอกได้  เดินห้าง(อดใจนิดนึง เวลาเจอข้าวของต่างๆ) เดินสวนก็ผ่อนคลายได้ ไม่ต้องอาศัยห้องหรู  หนังสืออ่านฟรีตามร้านมีเยอะแยะ(แต่ถ้าเจอถูกใจก็อุดหนุนเขาบ้าง)

หลังจากนั้นไม่เล่าต่อละ  ไม่อยู่ในโจทย์

เป้าหมายตอนนี้มีแค่เก็บเงินให้ได้เยอะๆ กลับไปซื้อที่อยู่ต่างจังหวัด  ค่าครองชีพถูกๆ ทำมาหากินเศรษฐกิจพอเพียง  โดยมีเงินเก็บเป็นหลักประกันความมั่นคงไว้  ถ้าเป้าหมายชัดแบบนี้แต่แรก  คงเกษียณตัวเองได้ก่อนอายุ 40  แต่แวะโน่นแวะนี่เยอะไปหน่อย  ตั้งเป้าไปที่ 45 แทน

ที่ได้แรงบันดาลใจในการเกษียณ(จากงานหนัก งานประจำ) มาจากลูกค้าท่านหนึ่ง  ซึ่งก็มีประวัติการศึกษามาแบบพื้นๆ  ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการแต่อาศัยความสามารถและความตั้งใจในการทำงานเป็นลูกจ้าง(แต่ไม่ใช่ลูกจ้างแบบเช้าชามเย็นชาม) และตั้งเป้าตั้งแต่เริ่มทำงานว่าจะเกษียณตอนอายุ 40 แล้วก็ทำได้จริงๆ  แต่ยังคงวนเวียนอยู่ใน กทม. นี่แหละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่