ขออนุญาติใช้คำและภาษาวิบัติ และสำนวนอันพื้นบ้าน
สำหรับใครๆที่อยากจะไปเรียนภาษาที่อินเดียนะจ๊ะ รีวิวจากใจ ด้านดีลบ ในแง่มุมของสาวปากมาก ปากหมา ไม่ยอมคน ขาลุยและนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง
ก่อนไปฉันพยายามจะหาข้อมูลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีข้อมูลให้เลย มีบ้างแต่ก็ไม่สามารถทำให้ฉันไปรับมือกับอินเดียจริงๆได้
ถามเอเจนซี่ก็บอกดีเสียทุกอย่างมีโน่นนี่ให้พร้อมสรรพ ถ่ายรูปสถาบันมาอย่างหรูไฮ
ตอนนั้นฉันเตรียมใจไปไม่พร้อมจริงๆ ไม่อยากให้ใครเป็นแบบเรา +555 เพราะอาจจะเสียใจไปอีกพักใหญ่
ไปอ่านกันเลย.............
มันเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 19 mar 2012 ฉันเดินทางออกจาประเทศไทยพร้อมเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกัน วันนั้นวันแรก
สู่สนามบิน bangalulu international airport บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ทุกอย่างเริ่มขึ้นที่นั่น...
พื้นแผ่นดินสีดำสนิทมีไฟกระจุกเป็นหย่อมๆ มันทำให้ฉันนึกถึงสภาพหมู่บ้านในหนังการ์ตูนญี่ปุ่น เฮ้ย~ มันไม่ใช่อะ
ความรู้สึกแรกที่แวบเข้ามาในสมอง หรือว่ามันดึกแล้วจึงปิดไฟกันหมดแล้ว
คืนนี้อากาศเย็นและสดชื่นมา ฉันชอบอากาศแบบนี้มันช่างเหมือนกันที่บ้านตัวเองไม่มีผิด
เอเจนซี่มารับฉันและเพื่อนจากสนามบินแจกซิม ซึ่งฉันใช้ไม่ได้อีก เพราะเป็นซิมขนาดปกติมือถือฉันยัดซิมนี้เข้าไปไม่ได้ - -*
แต่ก็ช่างเถอะฉันไม่รีบจะใช่มือถืออะไรมากมาย ฉันคิดอย่างนั้น
พอมาถึงบ้านพักพี่เอเจนซี่เรียกใครซักคนมา จากนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งรูปร่างสูงบางมากคนหนึ่ง มาพาฉันและเพื่อนแบกกันไป
ภายในห้องมีแสงไฟสลัวนิดๆ ฉันพอเห็นลางๆว่ามีพักลมเพดาน เตียงเดียวเก่าๆสามหลัง สองหลังมีคนนอนเต็มแล้ว และตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างเตียงเดี่ยว
ส่วนเตียงที่ว่างอยู่หน้าประตูพอดี เอาเถอะพรุ่งนี้ค่อยว่ากันฉันไม่รู้หรอกตอนนั้นว่าเพื่อนที่มาพร้อมฉันอีกสองคนไปไหนกันหมด
ตอนนั้นฉันนอนหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าเต็มทน
วันที่ 20 mar 2012 ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกลิ่นธูปเทียนหอม อะไรว่ะเฮ้ย! ฉันปรือตามองแต่ก็ไม่กล้าจะลืมตาเลย
เงาใครสองคนกำลังเดินไปเดินมาในห้องพร้อมถือธูปหอม เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาบนอากาศ อุต่ะ ทำอะไรกานนน ฉันรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที
แต่ก็ไม่รู้จะกล่าวทักคุณเธอทั้งสองคนอย่างไร
เลยสวมวิญญาณนางเอก แกล้งหลับเสีย +555 พูดเลยว่ามันตลก และดูโง่เง่ามากที่ทำแบบนั้น เธอสองคนก็เดินไปเดินมาวนเวียนอยู่พักใหญ่
ไม่มีทีท่าว่าจะไป ไหนทั้งนั้น - -* ฉันพลิกตัวแกล้งทำเป็นกดมือถือดูนาฬิกา เกือบสิบโมงไปซักทีเถอะ พวกเธอดูเหมือนเป็นวัยทำงานแล้ว เลยทำท่าแกล้งหลับต่อ
แต่เขาก็ยังไม่ไปจนสิบโมงหน่อยๆ... ในที่สุดประตูห้องก็เปิดและปิดลง
ไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดใด ฉันเด้งตัวเองลงจากเตียงสปีดเข้าไปห้องน้ำ 10 โมง เสียเวลามาก(ปกติแล้วฉันเป็นคนตื่นไว)
พอเข้าไปในห้องน้ำฉันก็สตั้นไปสามสิบวิ พระเจ้ามันอะไรวะนั่น มันก็เป็นชักโครกนั่นแหละ แต่ฉันไม่ค่อยชินเท่าไหร่
กับชักโครกที่ทำท่าเหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ข้าวของที่วางอยู่ในห้องน้ำเยอะแยะ และถังซักผ้า โอ้ว เยสสส อะไรว่ะๆ
มันไม่ได้แย่มากฉันบอกกับตัวเองแบบนั้น น้ำไหลก็โอเคนิ อย่าได้แคร์ มันมีรองเท้าเข้าห้องน้ำด้วย(มันเป็นรองเท้าแตะแบบสวมบ้านเรานั่นแหละ)
โพล่ง!! ฉันวิ่งออกจากห้องน้ำไปดูในห้อง ผู้หญิงร่างสูงโปร่งเข้าขั้นบางคนนึงเข้ามาหาฉันในห้อง
ฉันกล่าวทักเธอเป็นภาษาอังกฤษ ฉันยังจำผู้หญิงคนนั้นได้ดี หล่อนยิ้มแย้มและใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา แต่หล่อนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ -*-
เอิ่ม....... ใบ้กันอยู่พักใหญ่ภาษาอังกฤษ ภาษามือ ลามมาภาษาไทย ฉันก็พบว่าหล่อน เอากุญแจตู้เสื้อผ้ามาให้ฉัน เยี่ยม!! นานเกินไปมั๊ย
หลังจากจัดการห้องตัวเองเสร็จฉันก็ออกมาชมวิวด้านนอก(ในห้องนั่งเล่นรวม) โอโห้ -0- ช๊อค!!
ภาพเบื้องหน้า เป็นถนน ต้นไม้ และต้นไม่ ถนน เฮ้ย!!! หันซ้านหันขวาก็ไม่เห็นมีร้านค้าอะไรเลยแม้แต่น้อย เป้นบ้านเราไม่ได้ 7/11 ทุกแยกไป
ฉันเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นที่เข้ามาทักฉัน
ฉันพบว่าหล่อนเป็นแม่บ้าน เลยถามงูๆปลาๆ thaiๆ another me same me - -* ทำท่าทำทางไป นางก็พยักหน้าหงักๆ พาฉันไปพบเพื่อนอีกคนที่อยู่ชั้นสอง อ้าวเฮ้ย เข้าใจที่ฉันพูดด้วย
เจอเพื่อนคนแรก หล่อนมาพร้อมอาหารช่วยชีวิต พูดก็พูดเลย ว่าฉันมาที่นี่มีมาม่าคัพมากระป๋องเดี๋ยวแม้แต่ปัญญาจะหาน้ำมาต้มมาม่ายังไม่มี
กลับไปถามนางใหม่ วอเตอร์ๆ ไม่ต้องออกเสียงจริงจังนักแต่นางก็เข้าใจ พอไปดูเครื่องกองบอกว่าใช่น้ำจากเครื่องกรองเถอะฉันก็อืมๆ
เครื่องครัวที่นี่สามารถใช้รวมกันได้ จะมีของส่วนรวมไว้
ถ้าของส่วนตัวเขียนชื่อติด หรือแยกไว้กับตัวเพราะรับรองว่าหายแน่นอน
ปลั๊กไฟต้องเตรียมไปเราะมันไม่เหมือนบ้านเรา มันกลมๆและมีสามรู
อาหารมื้อแรกเริ่มขึ้นตอนบ่ายโมงเกือบบ่ายสอง มันคือไส้อั้วและข้าวเหนียว อาหารเหนือบ้านเรานั่นเอง +555
เพื่อนคนที่สองมาพร้อมอายุและคนรู้จักที่อยู่อินเดีย
ฉันมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย - -* มาพร้อมใจที่เต็มร้อย เอิ่มเมื่อกี้พึ่งพูดถึงห้องน้ำไปไม่ใช่เหรอ ว่ามันไม่ได้เรื่อง
บ่ายสามเอเจนซี่มาพาฉันไปสถาบันสอนภาษาที่ฉันจะต้องเรียนสามเดือน
ตะลึง ตึ่ง ตึง!!!!! มันห้องเช่า เอิ่ม... อะไรว่ะ ในหัวฉันตอนนั้นมันมีแต่คำว่าอะไรวะๆๆๆ หลายคนคงเคยเรียนพวกบริทิชเค้าซิน
หรืออินลิงกัวมาบ้างมันต่างกันราวฟ้ากับเหวที่อยู่ในมหาสุทรซ่ะอีก มันเป็นเพียงโรงเรียนเล็กๆที่ไม่มีแอร์(อันนี้ก็ไม่ได้แคร์อะไร)
ตั้งอยู่บนชั้นสามของตึก ทาวเฮาท์นั่นแหละ มันแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ ได้อีกหกห้อง
นี่เป็นเค้าเตอร์ของสถานบัน
แต่ฉันสะดุดตากับสิ่งนี้เป็นพิเศษ หลุดขำพรืดดดดด ออกมา
ถังดับเพลิงที่ข้างหนึ่งจะใส่น้ำและทราย ถ้าฉันจำไม่ผิด
ฉันลืมคิดไปเลยว่าไหม้ ฉันจะแก้ไขอีท่าไหน ถ้าจะให้เอาถังมาตักน้ำฉันก็เกรงว่าจะไม่ทัน
แต่สังเกตว่าในห้างก็เป็นแบบนี้อยู่หลายที่
สถาบันให้เราสามคนทำข้อสอบ อะไรซักอย่าง.......... ซึ่งเหมือนตอนประถมไม่มีผิด
สรุปถึงคะแนนต่างกันเราสามคนก็ยังอยู่คลาสเดียวกัน
ถามสิว่าคลาสอะไร หนังสือที่ฉันได้รับเป็นคำศัพท์แสนอนุบาล bee we ball เฮ้ยไม่ใช่แล้วปะ ฉันหงุดหงิดมาก
แล้ววัดไปทำไมไอ้ข้อสอบมันวัดอะไรได้
ฉันปรึกษากับเพื่อนว่าจะบอกเอเจนซี่ฉันทนเรียนอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ มันเหมือนเด็กอนุบาลเกินไป
ซึ่ง เอเจนซี่ก็จัดการให้ตามนั้น ทางสถาบันถามเราอย่างเปิดใจว่าเรียนยังไงอยากเรียนแบบไหน
ฉันบอกว่ามันง่ายเกินไปแกรมม่าสำหรับฉันไม่ได้เริ่มจากตรงนี่แน่ตั้งแต่ article a an the มันบ้าชัดๆ
สุดท้ายทางสถาบันก็บอกว่าถ้าอยากผ่านก็สอบเอา ฉันและเพื่อนจึงสอบพลาสๆเอาหมด
แต่ระยะเวลาที่เรียนเรื่องแกรมม่าฉันไม่ได้มีกระเตื้องกระตุ้นกระตุกอะไรเลย
ใครเจอปัญหาแบบนี้โปรดแจ้งเอเจนซี่ หรือบอกเขาว่าต้องการย้ายสถาบันไปเลยคะ อย่าได้เกรงใจเพราะเราจ่ายเงิน
ที่นั่นจะมีอีกสถาบันที่ดังๆเหมือนกัน นักเรียนไทยไปเรียนเยอะ อันนี้จะไม่ค่อยมีเด็กไทยคะมีบ้างก็สองสามคนเราจึงเลือกมาที่นี่
เราสามารถบอกกับทางสถาบันไปตรงๆว่า ไม่อยากเรียนร่วมกับคนไทยคะ เขาก็จะจัดให้ตามที่เราขอถึงแม้จะอิดออด - -*
แต่ทุกคนใจดีมากจริงๆคะ
วันแรกของบังกาลอร์จะไม่มาก็คงไม่ได้ MG road ถนนซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าแบรนเนมขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่จริงๆ
นี่เป็นส่วนหนึ่ง +555 - -* เหมือนจะถ่ายเฉพาะร้านที่ไปบ่อยเลย
จะเปรียบไป ฉันให้ความรู้สึกเหมือนสยามบ้านเรานั่นเอง มันไม่ได้มีอะไร(สำหรับฉันไม่ได้ชอบช๊อปปิ้ง) แต่มีร้านแลกเงิน
ไม่มีร้านหนังสือ แต่มีร้านอาหารอร่อยที่ให้อารมณ์เหมือนร้านเดินแบบ +55555 และไวไฟฟรีสิ่งที่เราถวิลหา +555
และมีห้องน้ำที่ฉันคาดหวัง +55555555555555
เดินทางที่นี่ต้องใช่รถออโต้ (ตุกๆ) ที่หน้าตาแบบนี้
มีมิเตอร์ติดข้างใน
อันนี้เป็นดิจจิตอล
และไดอะล๊อก เอ้ย อะนาล็อค เขียนยังไงว้าาาา - -* รูปร่างก็แปลกไปตามรถแต่ละคัน
นั่งรถเมล์สภาพก็ประมาณนี้คะ
เบียดเสียกและมีกลิ่นเครื่องเทศบ้าง แต่จะพบผู้คนได้หลายแบบมากยิ่งถ้านั่งไปไกลหน่อย
ก็จะพบว่าบางคนนั่งร้อยมาลัย มาพร้อมถุงดอกไม้ขนาดใหญ่โต
อย่างเราๆจะก้าวขึ้นไปบนรถคันไหนก็โดนจับตามองเป็นตาเดียวกันเลยทีเดียว เหอะๆ
สำหรับ รถเมล์ที่นี่ข้างหน้าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชายจะนั่งหลัง แต่จากรูปที่เห็นผู้ชายด้านหลังเต็มเลยล้มมาข้างหน้า -*-
สำหรับตัวเราสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเป็นผ้าเช็ดหน้าคะ ต้องติดไว้ตลอด เพราะเวลาเดินทางเป็นอะไรที่ลำบากมากเพราะบังกาลอร์ค่อนข้างแห้ง
ฝุ่นจะเยอะ ควันรถต่างๆ
ส่วนอันนี้อยากลองนั่งมากกกก เห็นแต่ในนิทานอีสป ไม่คิดว่าตอนนี้จะยังขี่กันจริงๆ
ร้านค้าข้างทางคะ
เฟรนชายปานิปูรี เขียนไม่ถูก* * ที่หน้าสเปนเซอร์ อร่อยดีเหมือนก่อน ต้องลองคะ อาหารที่ขึ้นชื่อ(??!!!) อย่างหนึ่ง ท้าให้ลอง
สามสาวกลายเป็นสามหลุมผู้ดึงดูดความมืดมิด และสิ้นหวังมาสู่หอพัก
เราไม่ได้ตื่นตาไปพร้อมกับสถานที่ที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เราไม่ได้ตื่นตัวกับการชอปปิ้งในศูนย์การค้าใจกลางเมือง?????
ในหัวเต็มไปด้วยคำว่าอะไรๆๆๆๆๆๆ
ฉันไม่เคยจินตนาการชีวิตในต่างประเทศแบบนี้ไว้ สาวใส่ส่าหรีวิ่งไปรองฉีวัวล้างหน้า
วิ่งหน้าตั้งผ่านกองขยะที่ข้างถนน กินเคเอฟซีและแม็คเป็นอาหารหลัก
โดยขอทานเดินตามจนต้องโล่เข้าแมคโดนัล หรือหน้ามืดตอนแท็กซี่พาหลงทาง พูดตามตรงคือรับไม่ได้....
to be continued....
เรื่องงี่เง่าของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ติดตามอ่านนะคะ
ว่าสามสาวหลุมดำจะจัดการตัวเองกับชีวิตที่เหลืออยู่ในอินเดียรอดกลับประเทศเราได้อย่างไร
อันนี้เป็นฉบับย่อที่น้องสาวคนหนึ่งเขียนถึงพวกเราคะ >>
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.dek-d.com/studyabroad/31639/
แชร์ประสบการณ์เรียนภาษาที่อินเดีย ภาค 1
สำหรับใครๆที่อยากจะไปเรียนภาษาที่อินเดียนะจ๊ะ รีวิวจากใจ ด้านดีลบ ในแง่มุมของสาวปากมาก ปากหมา ไม่ยอมคน ขาลุยและนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง
ก่อนไปฉันพยายามจะหาข้อมูลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีข้อมูลให้เลย มีบ้างแต่ก็ไม่สามารถทำให้ฉันไปรับมือกับอินเดียจริงๆได้
ถามเอเจนซี่ก็บอกดีเสียทุกอย่างมีโน่นนี่ให้พร้อมสรรพ ถ่ายรูปสถาบันมาอย่างหรูไฮ
ตอนนั้นฉันเตรียมใจไปไม่พร้อมจริงๆ ไม่อยากให้ใครเป็นแบบเรา +555 เพราะอาจจะเสียใจไปอีกพักใหญ่
ไปอ่านกันเลย.............
มันเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 19 mar 2012 ฉันเดินทางออกจาประเทศไทยพร้อมเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกัน วันนั้นวันแรก
สู่สนามบิน bangalulu international airport บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ทุกอย่างเริ่มขึ้นที่นั่น...
พื้นแผ่นดินสีดำสนิทมีไฟกระจุกเป็นหย่อมๆ มันทำให้ฉันนึกถึงสภาพหมู่บ้านในหนังการ์ตูนญี่ปุ่น เฮ้ย~ มันไม่ใช่อะ
ความรู้สึกแรกที่แวบเข้ามาในสมอง หรือว่ามันดึกแล้วจึงปิดไฟกันหมดแล้ว
คืนนี้อากาศเย็นและสดชื่นมา ฉันชอบอากาศแบบนี้มันช่างเหมือนกันที่บ้านตัวเองไม่มีผิด
เอเจนซี่มารับฉันและเพื่อนจากสนามบินแจกซิม ซึ่งฉันใช้ไม่ได้อีก เพราะเป็นซิมขนาดปกติมือถือฉันยัดซิมนี้เข้าไปไม่ได้ - -*
แต่ก็ช่างเถอะฉันไม่รีบจะใช่มือถืออะไรมากมาย ฉันคิดอย่างนั้น
พอมาถึงบ้านพักพี่เอเจนซี่เรียกใครซักคนมา จากนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งรูปร่างสูงบางมากคนหนึ่ง มาพาฉันและเพื่อนแบกกันไป
ภายในห้องมีแสงไฟสลัวนิดๆ ฉันพอเห็นลางๆว่ามีพักลมเพดาน เตียงเดียวเก่าๆสามหลัง สองหลังมีคนนอนเต็มแล้ว และตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างเตียงเดี่ยว
ส่วนเตียงที่ว่างอยู่หน้าประตูพอดี เอาเถอะพรุ่งนี้ค่อยว่ากันฉันไม่รู้หรอกตอนนั้นว่าเพื่อนที่มาพร้อมฉันอีกสองคนไปไหนกันหมด
ตอนนั้นฉันนอนหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าเต็มทน
วันที่ 20 mar 2012 ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกลิ่นธูปเทียนหอม อะไรว่ะเฮ้ย! ฉันปรือตามองแต่ก็ไม่กล้าจะลืมตาเลย
เงาใครสองคนกำลังเดินไปเดินมาในห้องพร้อมถือธูปหอม เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาบนอากาศ อุต่ะ ทำอะไรกานนน ฉันรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที
แต่ก็ไม่รู้จะกล่าวทักคุณเธอทั้งสองคนอย่างไร
เลยสวมวิญญาณนางเอก แกล้งหลับเสีย +555 พูดเลยว่ามันตลก และดูโง่เง่ามากที่ทำแบบนั้น เธอสองคนก็เดินไปเดินมาวนเวียนอยู่พักใหญ่
ไม่มีทีท่าว่าจะไป ไหนทั้งนั้น - -* ฉันพลิกตัวแกล้งทำเป็นกดมือถือดูนาฬิกา เกือบสิบโมงไปซักทีเถอะ พวกเธอดูเหมือนเป็นวัยทำงานแล้ว เลยทำท่าแกล้งหลับต่อ
แต่เขาก็ยังไม่ไปจนสิบโมงหน่อยๆ... ในที่สุดประตูห้องก็เปิดและปิดลง
ไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดใด ฉันเด้งตัวเองลงจากเตียงสปีดเข้าไปห้องน้ำ 10 โมง เสียเวลามาก(ปกติแล้วฉันเป็นคนตื่นไว)
พอเข้าไปในห้องน้ำฉันก็สตั้นไปสามสิบวิ พระเจ้ามันอะไรวะนั่น มันก็เป็นชักโครกนั่นแหละ แต่ฉันไม่ค่อยชินเท่าไหร่
กับชักโครกที่ทำท่าเหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ข้าวของที่วางอยู่ในห้องน้ำเยอะแยะ และถังซักผ้า โอ้ว เยสสส อะไรว่ะๆ
มันไม่ได้แย่มากฉันบอกกับตัวเองแบบนั้น น้ำไหลก็โอเคนิ อย่าได้แคร์ มันมีรองเท้าเข้าห้องน้ำด้วย(มันเป็นรองเท้าแตะแบบสวมบ้านเรานั่นแหละ)
โพล่ง!! ฉันวิ่งออกจากห้องน้ำไปดูในห้อง ผู้หญิงร่างสูงโปร่งเข้าขั้นบางคนนึงเข้ามาหาฉันในห้อง
ฉันกล่าวทักเธอเป็นภาษาอังกฤษ ฉันยังจำผู้หญิงคนนั้นได้ดี หล่อนยิ้มแย้มและใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา แต่หล่อนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ -*-
เอิ่ม....... ใบ้กันอยู่พักใหญ่ภาษาอังกฤษ ภาษามือ ลามมาภาษาไทย ฉันก็พบว่าหล่อน เอากุญแจตู้เสื้อผ้ามาให้ฉัน เยี่ยม!! นานเกินไปมั๊ย
หลังจากจัดการห้องตัวเองเสร็จฉันก็ออกมาชมวิวด้านนอก(ในห้องนั่งเล่นรวม) โอโห้ -0- ช๊อค!!
ภาพเบื้องหน้า เป็นถนน ต้นไม้ และต้นไม่ ถนน เฮ้ย!!! หันซ้านหันขวาก็ไม่เห็นมีร้านค้าอะไรเลยแม้แต่น้อย เป้นบ้านเราไม่ได้ 7/11 ทุกแยกไป
ฉันเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นที่เข้ามาทักฉัน
ฉันพบว่าหล่อนเป็นแม่บ้าน เลยถามงูๆปลาๆ thaiๆ another me same me - -* ทำท่าทำทางไป นางก็พยักหน้าหงักๆ พาฉันไปพบเพื่อนอีกคนที่อยู่ชั้นสอง อ้าวเฮ้ย เข้าใจที่ฉันพูดด้วย
เจอเพื่อนคนแรก หล่อนมาพร้อมอาหารช่วยชีวิต พูดก็พูดเลย ว่าฉันมาที่นี่มีมาม่าคัพมากระป๋องเดี๋ยวแม้แต่ปัญญาจะหาน้ำมาต้มมาม่ายังไม่มี
กลับไปถามนางใหม่ วอเตอร์ๆ ไม่ต้องออกเสียงจริงจังนักแต่นางก็เข้าใจ พอไปดูเครื่องกองบอกว่าใช่น้ำจากเครื่องกรองเถอะฉันก็อืมๆ
เครื่องครัวที่นี่สามารถใช้รวมกันได้ จะมีของส่วนรวมไว้
ถ้าของส่วนตัวเขียนชื่อติด หรือแยกไว้กับตัวเพราะรับรองว่าหายแน่นอน
ปลั๊กไฟต้องเตรียมไปเราะมันไม่เหมือนบ้านเรา มันกลมๆและมีสามรู
อาหารมื้อแรกเริ่มขึ้นตอนบ่ายโมงเกือบบ่ายสอง มันคือไส้อั้วและข้าวเหนียว อาหารเหนือบ้านเรานั่นเอง +555
เพื่อนคนที่สองมาพร้อมอายุและคนรู้จักที่อยู่อินเดีย
ฉันมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย - -* มาพร้อมใจที่เต็มร้อย เอิ่มเมื่อกี้พึ่งพูดถึงห้องน้ำไปไม่ใช่เหรอ ว่ามันไม่ได้เรื่อง
บ่ายสามเอเจนซี่มาพาฉันไปสถาบันสอนภาษาที่ฉันจะต้องเรียนสามเดือน
ตะลึง ตึ่ง ตึง!!!!! มันห้องเช่า เอิ่ม... อะไรว่ะ ในหัวฉันตอนนั้นมันมีแต่คำว่าอะไรวะๆๆๆ หลายคนคงเคยเรียนพวกบริทิชเค้าซิน
หรืออินลิงกัวมาบ้างมันต่างกันราวฟ้ากับเหวที่อยู่ในมหาสุทรซ่ะอีก มันเป็นเพียงโรงเรียนเล็กๆที่ไม่มีแอร์(อันนี้ก็ไม่ได้แคร์อะไร)
ตั้งอยู่บนชั้นสามของตึก ทาวเฮาท์นั่นแหละ มันแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ ได้อีกหกห้อง
นี่เป็นเค้าเตอร์ของสถานบัน
แต่ฉันสะดุดตากับสิ่งนี้เป็นพิเศษ หลุดขำพรืดดดดด ออกมา
ถังดับเพลิงที่ข้างหนึ่งจะใส่น้ำและทราย ถ้าฉันจำไม่ผิด
ฉันลืมคิดไปเลยว่าไหม้ ฉันจะแก้ไขอีท่าไหน ถ้าจะให้เอาถังมาตักน้ำฉันก็เกรงว่าจะไม่ทัน
แต่สังเกตว่าในห้างก็เป็นแบบนี้อยู่หลายที่
สถาบันให้เราสามคนทำข้อสอบ อะไรซักอย่าง.......... ซึ่งเหมือนตอนประถมไม่มีผิด
สรุปถึงคะแนนต่างกันเราสามคนก็ยังอยู่คลาสเดียวกัน
ถามสิว่าคลาสอะไร หนังสือที่ฉันได้รับเป็นคำศัพท์แสนอนุบาล bee we ball เฮ้ยไม่ใช่แล้วปะ ฉันหงุดหงิดมาก
แล้ววัดไปทำไมไอ้ข้อสอบมันวัดอะไรได้
ฉันปรึกษากับเพื่อนว่าจะบอกเอเจนซี่ฉันทนเรียนอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ มันเหมือนเด็กอนุบาลเกินไป
ซึ่ง เอเจนซี่ก็จัดการให้ตามนั้น ทางสถาบันถามเราอย่างเปิดใจว่าเรียนยังไงอยากเรียนแบบไหน
ฉันบอกว่ามันง่ายเกินไปแกรมม่าสำหรับฉันไม่ได้เริ่มจากตรงนี่แน่ตั้งแต่ article a an the มันบ้าชัดๆ
สุดท้ายทางสถาบันก็บอกว่าถ้าอยากผ่านก็สอบเอา ฉันและเพื่อนจึงสอบพลาสๆเอาหมด
แต่ระยะเวลาที่เรียนเรื่องแกรมม่าฉันไม่ได้มีกระเตื้องกระตุ้นกระตุกอะไรเลย
ใครเจอปัญหาแบบนี้โปรดแจ้งเอเจนซี่ หรือบอกเขาว่าต้องการย้ายสถาบันไปเลยคะ อย่าได้เกรงใจเพราะเราจ่ายเงิน
ที่นั่นจะมีอีกสถาบันที่ดังๆเหมือนกัน นักเรียนไทยไปเรียนเยอะ อันนี้จะไม่ค่อยมีเด็กไทยคะมีบ้างก็สองสามคนเราจึงเลือกมาที่นี่
เราสามารถบอกกับทางสถาบันไปตรงๆว่า ไม่อยากเรียนร่วมกับคนไทยคะ เขาก็จะจัดให้ตามที่เราขอถึงแม้จะอิดออด - -*
แต่ทุกคนใจดีมากจริงๆคะ
วันแรกของบังกาลอร์จะไม่มาก็คงไม่ได้ MG road ถนนซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าแบรนเนมขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่จริงๆ
นี่เป็นส่วนหนึ่ง +555 - -* เหมือนจะถ่ายเฉพาะร้านที่ไปบ่อยเลย
จะเปรียบไป ฉันให้ความรู้สึกเหมือนสยามบ้านเรานั่นเอง มันไม่ได้มีอะไร(สำหรับฉันไม่ได้ชอบช๊อปปิ้ง) แต่มีร้านแลกเงิน
ไม่มีร้านหนังสือ แต่มีร้านอาหารอร่อยที่ให้อารมณ์เหมือนร้านเดินแบบ +55555 และไวไฟฟรีสิ่งที่เราถวิลหา +555
และมีห้องน้ำที่ฉันคาดหวัง +55555555555555
เดินทางที่นี่ต้องใช่รถออโต้ (ตุกๆ) ที่หน้าตาแบบนี้
มีมิเตอร์ติดข้างใน
อันนี้เป็นดิจจิตอล
และไดอะล๊อก เอ้ย อะนาล็อค เขียนยังไงว้าาาา - -* รูปร่างก็แปลกไปตามรถแต่ละคัน
นั่งรถเมล์สภาพก็ประมาณนี้คะ
เบียดเสียกและมีกลิ่นเครื่องเทศบ้าง แต่จะพบผู้คนได้หลายแบบมากยิ่งถ้านั่งไปไกลหน่อย
ก็จะพบว่าบางคนนั่งร้อยมาลัย มาพร้อมถุงดอกไม้ขนาดใหญ่โต
อย่างเราๆจะก้าวขึ้นไปบนรถคันไหนก็โดนจับตามองเป็นตาเดียวกันเลยทีเดียว เหอะๆ
สำหรับ รถเมล์ที่นี่ข้างหน้าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชายจะนั่งหลัง แต่จากรูปที่เห็นผู้ชายด้านหลังเต็มเลยล้มมาข้างหน้า -*-
สำหรับตัวเราสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเป็นผ้าเช็ดหน้าคะ ต้องติดไว้ตลอด เพราะเวลาเดินทางเป็นอะไรที่ลำบากมากเพราะบังกาลอร์ค่อนข้างแห้ง
ฝุ่นจะเยอะ ควันรถต่างๆ
ส่วนอันนี้อยากลองนั่งมากกกก เห็นแต่ในนิทานอีสป ไม่คิดว่าตอนนี้จะยังขี่กันจริงๆ
ร้านค้าข้างทางคะ
เฟรนชายปานิปูรี เขียนไม่ถูก* * ที่หน้าสเปนเซอร์ อร่อยดีเหมือนก่อน ต้องลองคะ อาหารที่ขึ้นชื่อ(??!!!) อย่างหนึ่ง ท้าให้ลอง
สามสาวกลายเป็นสามหลุมผู้ดึงดูดความมืดมิด และสิ้นหวังมาสู่หอพัก
เราไม่ได้ตื่นตาไปพร้อมกับสถานที่ที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เราไม่ได้ตื่นตัวกับการชอปปิ้งในศูนย์การค้าใจกลางเมือง?????
ในหัวเต็มไปด้วยคำว่าอะไรๆๆๆๆๆๆ
ฉันไม่เคยจินตนาการชีวิตในต่างประเทศแบบนี้ไว้ สาวใส่ส่าหรีวิ่งไปรองฉีวัวล้างหน้า
วิ่งหน้าตั้งผ่านกองขยะที่ข้างถนน กินเคเอฟซีและแม็คเป็นอาหารหลัก
โดยขอทานเดินตามจนต้องโล่เข้าแมคโดนัล หรือหน้ามืดตอนแท็กซี่พาหลงทาง พูดตามตรงคือรับไม่ได้....
to be continued....
เรื่องงี่เง่าของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ติดตามอ่านนะคะ
ว่าสามสาวหลุมดำจะจัดการตัวเองกับชีวิตที่เหลืออยู่ในอินเดียรอดกลับประเทศเราได้อย่างไร
อันนี้เป็นฉบับย่อที่น้องสาวคนหนึ่งเขียนถึงพวกเราคะ >> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้