พอดีเคยได้ยินมาแต่ยังไม่เข้าใจจริงๆ
หากซื้อรถในนามบริษัทเขานิยมซื้อในระบลิสซิ่งหรือเช่าซื้อ
เห็นว่าค่าผ่อน ที่อยู่ในรูปของการเช่าหักค่าใช้จ่ายได้ และยังหักค่าเสื่อมได้อีก (ผมยังงงอยู่)
แต่ศูนย์มักไม่ยอมให้ไปหาลิสซิ่งเองเพราะอยากได้กำไรจากการผ่อนปกติ
สิ่งที่ผมเข้าใจคือ หากรถราคา 1 ล้ายบาท
1. คนธรรมดาซื้อ หักค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีไม่ได้เลย แถมผ่อนมีดอกเบี้ย
2. บริษัทซื้อแบบผ่อนปกติ แต่สามารถลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายได้ 5 ปี ปีละ 2 แสน (ข้อดีคือทำให้เสียภาษีให้กับรัฐน้อยลง 20%รวมๆซื้อรถถูกกว่าคนธรรมดา 2 แสนบาท ค่าผ่อนต่อเดือนลงค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีไม่ได้
3.บริษัทซื้อแบบลิสซิ่ง แบบที่ผมงงนี่แหละจะลงบัญชีค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 1 ล้านบาท
เพราะค่าผ่อนในรูปของค่าเช่าแต่ละเดือนหักค่าใชัจ่ายได้อีกด้วยและหักค่าเสื่อมได้อีกสรุปคือสร้างค่าใช้จ่ายเพิ่มซำ้ซ้อนได้
เช่าไปเช่ามา ลงค่าใช้จ่ายได้ 2 ล้านหรือปล่าว
เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ
รบกวนเพื่อนๆช่วยให้ความกระจ่างหน่อยครับ
แล้วแบบเช่าซื้ออะไรนี่สรุปสุดท้ายจะซื้อรถประหยัดเพิ่มขึ้นมากมั้ยครับเมื่อเทียบกับแบบที่ 2
ช่วยอธิบายการซื้อรถในระบบ ลิสซิ่ง ให้หน่อยครับ
หากซื้อรถในนามบริษัทเขานิยมซื้อในระบลิสซิ่งหรือเช่าซื้อ
เห็นว่าค่าผ่อน ที่อยู่ในรูปของการเช่าหักค่าใช้จ่ายได้ และยังหักค่าเสื่อมได้อีก (ผมยังงงอยู่)
แต่ศูนย์มักไม่ยอมให้ไปหาลิสซิ่งเองเพราะอยากได้กำไรจากการผ่อนปกติ
สิ่งที่ผมเข้าใจคือ หากรถราคา 1 ล้ายบาท
1. คนธรรมดาซื้อ หักค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีไม่ได้เลย แถมผ่อนมีดอกเบี้ย
2. บริษัทซื้อแบบผ่อนปกติ แต่สามารถลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายได้ 5 ปี ปีละ 2 แสน (ข้อดีคือทำให้เสียภาษีให้กับรัฐน้อยลง 20%รวมๆซื้อรถถูกกว่าคนธรรมดา 2 แสนบาท ค่าผ่อนต่อเดือนลงค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีไม่ได้
3.บริษัทซื้อแบบลิสซิ่ง แบบที่ผมงงนี่แหละจะลงบัญชีค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 1 ล้านบาท
เพราะค่าผ่อนในรูปของค่าเช่าแต่ละเดือนหักค่าใชัจ่ายได้อีกด้วยและหักค่าเสื่อมได้อีกสรุปคือสร้างค่าใช้จ่ายเพิ่มซำ้ซ้อนได้
เช่าไปเช่ามา ลงค่าใช้จ่ายได้ 2 ล้านหรือปล่าว
เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ
รบกวนเพื่อนๆช่วยให้ความกระจ่างหน่อยครับ
แล้วแบบเช่าซื้ออะไรนี่สรุปสุดท้ายจะซื้อรถประหยัดเพิ่มขึ้นมากมั้ยครับเมื่อเทียบกับแบบที่ 2