คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ก่อนนี้ช่วงหลังสงครามโลกใหม่ๆ อเมริกันลุ่มหลงเทคโนโลยียานยนต์มาก รถยนต์ดีไซน์หน้าตาแปลกมีครีบ (นึกถึงเบนซ์หางปลาตากลม หรือ รถยนต์รุ่น ปี 50) มีคนเสนอให้ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยเนื่องจากภายในรถใช้ชิ้นส่วนโลหะ พวงมาลัยเหล็ก พลาสติกแข็ง แดชบอร์ด เหล็ก เวลาชนคนโดยสารมักไม่รอด บริษัทรถ ว่า คนขับรถไม่ดีเอง เป็นเรื่องปัจจัยมนุษย์ ส่วนวิศวกรรมยานยนต์ดีแล้วไม่ต้องแก้ จึงเกิดการสูญเสียมาก ในที่สุดนักกฎหมายอดทนไม่ไหว ออกมาเรียกร้องให้บริษัทรถยนต์รับผิดชอบ แก้กฎหมาย มีการตั้งหน่วยงานดูแล รถยนต์ถึงใช้ส่วนประกอบที่ปลอดภัยมีการออกแบบที่ดีขึ้น ดูง่ายๆสมัยก่อนรถมีกันชนเป็น เหล็กแข็งแรง ชนเบาๆไม่บุบสลาย เดี๋ยวนี้กันชนที่ว่าไม่มีแล้วเพราะชนคนแล้วเจ็บหนัก พวกนี้เป็นผลพวงจากการพัฒนาเรื่องความปลอดภัย และเป็นจริงที่ว่านับวันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจแพงขึ้นตามมาตรฐานใหม่ๆ รถเก่าๆก็หายไปจากท้องตลาด อย่างเช่น จี๊บซูซูกิแคริเบียนที่เป็นรถอันตรายคันหนึ่ง(แต่ที่จริงผมชอบ) นอกจากมาตรฐานยานยนต์ที่ต้องดีวันดีคืนตามชาวบ้านเขาให้ทัน ความปลอดภัยในการจราจร และ การทาง ก็ต้องพัฒนาดีตามกันไปด้วย ในต่างประเทศ ใบขับขี่นี่มันสอบกันอย่างยากจริงๆ ตำรวจบ้านเขาไม่ไถแต่มันปรับปรกติก็หน้าเหลืองกันแล้ว คนหนึ่งที่รู้จักที่ต่างประเทศ โดนปรับฐานเมาแล้วขับ ประมาณ 5000x30 บาท ห้ามขับรถหกเดือนอันนี้เป็นตัวอย่างว่าเมืองนอกเขาเอาจริงขนาดไหน( เงินเท่าๆกันนี้ที่นั่นซื้อรถมือสองขนาด นิสสันมาร์ชขับได้สบาย) และบางประเทศต้องดิ้นรนสอบมาให้ได้ไม่งั้นหางานทำลำบากซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เช่นอเมริกา ออสเตรเลีย บางเมืองในยุโรปเขาไม่เอาเลยเรื่องรถยนต์เปลืองค่าที่จอดโหนรถเมล์กับปั่นจักรยาน เช่นเนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ใช้ระบบทะเบียนวันคู่วันคี่กับคูปองที่จอด เป็นการบังคับไม่อย่างนั้นรถยนต์ล้นเกาะ เมืองไทยเราก็อย่างที่รู้บังคับกันไม่ค่อยยอมจะปฏิวัติท่าเดียว แต่อย่างไรก็ตามผมเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ ที่ควรให้ความสำคัญเรื่องมาตรฐาน เพราะไหนๆก็เป็นฐานการผลิตรถยนต์แล้ว ขายของดีใช้ของเลวก็กระไรอยู่ (นึกถึงเอารถเฟอร์รารี่มาติดแก๊ซแอลพีจีเหลือเชื่อจริงๆ)
แสดงความคิดเห็น
ทำไมรถในประเทศไทยถึงไม่ปลอดภัยเท่าประเทศพัฒนาแล้ว