ขณะเดียวกันข้อย่อย 22.4 ที่ว่าด้วย สภากรรมการและเลขาธิการจะเข้าร่วมประชุมใหญ่ แต่ไม่มีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนน ขณะที่อยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งสภากรรมการจะต้องไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของสมาชิก
  
          ข้อนี้น่าจะกลายเป็นหมัดน็อกที่จะกระชากฝันของผู้ชนะอย่าง “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ในการจะนั่งเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดของฟุตบอลไทย สมัยที่ 4

          เพราะเหตุที่ว่าการสมัคร และเปิดโผรายชื่อผู้ชิงเก้าอี้กรรมการบริหารของทั้ง 2 ฝ่าย เกิดขึ้นในวันเดียวกันคือ 17 กันยายน 2556

          ดังนั้นเมื่อมาประกอบกับหลักฐานที่เป็นคำสัมภาษณ์ของ “บังยี” ทั้งที่ปรากฎในหน้าสื่อกีฬายักษ์ใหญ่เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา หรือแม้แต่ในรายการตอบโจทย์ทางไทยพีบีเอส เมื่อค่ำวันเดียวกัน ด้วยข้อความที่ว่า

          “นอกจากนี้ยังได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผู้สมัครทั้งนายกสมาคม, อุปนายก และสภากรรมการ ต้องทำการลาออกจากตำแหน่งก่อนลงสมัครว่า การลาออกถือว่าเป็นสิทธิส่วนตัว และผมได้ทำหนังสือลาออกตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. แล้ว เพื่อเป็นการปิดประตูปัญหาต่างๆ ก่อนที่อุปนายกและสภากรรมการทั้งหมด ได้ยื่นหนังสือของลาออกในวันที่ 14 ต.ค. "นี่คือคำสัมภาษณ์ของนายวรวีร์ มะกูดี
  
          ใช่การกระทำที่ขัดต่อข้อบังคับหรือไม่???

          ไม่เท่านั้น เมื่อไปดูเอกสารที่กรมการปกครอง ลงนามโดย ดร.อลงกต วรกี ผู้อำนวยการส่วนรักษาความสงบเรียบร้อย 2 กรมการปกครองในการรับรองข้อบังคับลักษณะปกครองของสมาคมฟุตบอลไทย ลงประทับตราวันที่ 14 ตุลาคม 2556 ยังปรากฏลายเซ็นต์ของทั้งนายวรวีร์ มะกูดี และนายองอาจ ก่อสินค้า

อ่านเต็มๆ ที่นี่ครับ http://www.ballthaifc.com/view.php?id=2433

สรุปคือยียีโกหกออกอากาศว่าตัวเองและสภากรรมการทั้งหมดทำหนังสือลาออกไปตั้งแต่วันที่ 10 ยื่นวันที่ 14 ตุลาคม แต่วันที่ 14 ตุลาคม คนที่บอกว่าลาออกไปแล้วนั่นแหละครับยังมีหน้าไปเซ็นหนังสือส่งให้ กกท เฉยเลย ดังนั้นแสดงว่ายียีไม่ได้ลาออกจริง ถ้าลาออกจะไม่มีอำนาจมาเซ็นอะไรแบบนี้ อยากรู้เหมือนกันว่ายียีจะแถเรื่องนี้ไปทางไหนอีก จะบอกว่ารักษาการก็เลยเซ็นได้อย่างนั้นหรือ ก็คงจะเป็นรักษาการที่... ที่สุดในโลกกระมังครับ