"สะพานลอยคนข้าม" ตัวอย่างการละเลยคนอื่นในสังคม

กระทู้สนทนา
ที่อเมกา ถ้ามีคนมายืนที่ริมฟุตบาทตรงทางม้าลายเพื่อรอข้ามถนน
คนขับรถยนต์มีหน้าที่ต้องหยุดให้คนเดินถนนข้าม
เท่าที่ผมเข้าใจการหยุดไม่ได้เกิดจากความ "เอื้อเฟื้อ" แต่เป็น "หน้าที่"
ที่คนขับรถต้องทำ

ผมรู้ดี ว่าที่เมืองไทย คนเดินถนนต้องหยุดรอจนกว่ารถจะว่างแล้วก็ค่อยข้ามไป
คนขับรถยนต์จะไม่ชลอหรือหยุดให้คนข้าม ถ้าหยุดก็ถือเป็นเรื่องแปลก
และอาจโดนรถคันหลังชนตูด หรือโดนบีบแตรไล่

ที่เมืองไทยแก้ปัญหานี้โดยการสร้างสะพานลอยคนข้าม
เหมือนจะดูดีวินวินทั้งสองฝั่ง แต่เมื่อมองให้ละเอียดลงไป มันเป็นการผลักภาระให้คนเดินถนน
และให้ความสำคัญกับการเคลื่อนตัวของรถยนต์แบบไม่สะดุดมาเป็นอันดับแรก

แต่เราลืมไปว่าการเดินข้ามสะพานลอยที่ดูเป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป
จะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
หรือเป็นไปได้ยากสำหรับ คนแก่, คนพิการ, คนที่ต้องใช้รถเข็น, คนที่ขี่จักรยาน, ฯลฯ

ที่อเมริกา เท่าที่ผมไปเห็น ไปอยู่มา
หลายเมืองใหญ่ที่คนอยู่อาศัยเป็นหลักล้านอย่างนิวยอร์คซิตี้, บอสตัน, Houston, วอร์ชิงตันดีซี
ผมจำไม่ได้ว่าผมไปเห็นเค้าสร้างสะพานลอยคนข้ามไว้ที่ไหน
พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เห็นมีแต่ทางม้าลายเท่านั้น

เขียนแล้วก็นึกถึงถนนคูเมืองบริเวณหน้าโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ ที่เชียงใหม่
ตรงนั้นที่ถนนด้านนอกคูเมืองมีสะพานลอยเพื่อให้เด็กนักเรียนเดินข้าม
สร้างไว้เพื่อเหตุผลที่ในสมัยก่อนอาจฟังแล้วดูดีว่า
"เพื่อให้นักเรียนปลอดภัย"
แต่นัยหนึ่งก็เพื่อ
"ให้รถวิ่งไปได้โดยไม่ต้องชะลอความเร็ว" ต่างหาก
ซึ่งถ้าเรามองให้ลึกลงไปแล้ว เราก็จะเห็นว่า
เราให้ความสำคัญของรถยนต์มากกว่าคนเดินถนนจริงๆ

ผมไม่ได้มองว่าสะพานลอยเป็นสิ่งเลวร้ายอะไร มันอาจตอบโจทย์ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่เมื่อบริบทของสังคมเปลี่ยนไป หลายอย่างก็ควรจะต้องเปลี่ยนตาม

ในสมัยที่เราเริ่มมีรถยนต์ใช้ เริ่มต้นการเดินทางด้วยการใช้รถยนต์
การสร้างถนนเพื่อตอบสนองความต้องการการใช้รถยนต์เป็นเรื่องถูกต้อง
แต่ตอนนี้ที่บริบทของสังคมเปลี่ยนไปมากแล้ว
การให้ความสำคัญกับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเป็นอันดับแรก
น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องอีกต่อไปแล้ว

ที่หน้าโรงเรียนในอเมริกา ริมถนนก่อนถึงโรงเรียนจะมีป้ายกำหนดความเร็ว ที่ช้ากว่าบริเวณอื่น
เท่าที่เห็นก็ 20mile/hour หรือ 32กม./ชม. แค่นั้นเอง
ในความเป็นจริงก็แทบจะเรียกได้ว่ารถนั้นคลานมาเลย
เด็กนักเรียนที่เดินมาถึงทางม้าลายก็แทบจะไม่ต้องมองอะไร
คนขับรถก็จอดรถให้เด็กนักเรียนข้ามตั้งแต่ยังไม่ถึงทางม้าลาย ตั้งแต่อยู่ห่างหลายสิบเมตรโน่น

ที่เขียนนี่ก็ไม่ได้เห็นว่าฝรั่งเป็นพระเจ้า แล้วมองเห็นเมืองไทยเลวร้ายอะไรหรอกนะครับ
ก็ในเมื่อประเทศเราเป็นประเทศ "กำลัง" พัฒนา
เราจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆตามหลังประเทศอื่นที่พัฒนาแล้ว ผมก็ไม่เห็นว่าจะแปลกอะไร

บางคนอาจคิดว่าประเทศไทยน่ะเหรอ รอชาติหน้าล่ะมั้งถึงจะได้เห็น
แต่ผมคิดว่ามันอาจไม่ต้องรอนานขนาดนั้นก็ได้มั้ง
ช่วยกันพูด ช่วยกันวิจารณ์ ช่วยกันทำ ช่วยกันเสนอความเห็น
คนนึงอาจไม่ดัง ช่วยกันหลายคนมันก็ดังขึ้นเองนั่นแหล่ะ

สมัยผมเรียนมัธยมต้องโหนรถไฟจากสถานีวัดสิงห์แถวบางขุนเทียนไปวงเวียนใหญ่ ทั้งเช้าทั้งเย็น เพื่อไปเรียนหนังสือ
สมัยนั้นห้อยกันต่องแต่งออกมานอกตัวรถ
เวลาผ่านสะพานเหล็กแถวคลองบางขุนเทียน ก็ต้องดันตัวเองหลบเข้าไปในรถ
จะได้มีชีวิตรอดไปเรียนหนังสือ
ผ่านไปไม่กี่ปีจาก ม.ต้นไปเป็นม.ปลาย รถไฟก็มีประตูอัตโนมัติ ที่ทำให้ไม่ต้องห้อยโหนออกมานอกตัวรถอีกแล้ว
ใช้เวลาหน่อย แต่มันก็ค่อยๆดีขึ้นไปเอง

ขอแค่เราอย่าไปหมดหวัง ทิ้งสังคมไป
ทิ้งคนที่มีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรได้น้อย อย่างคนจน คนพิการ คนแก่ ฯลฯ
แล้วก็เอาตัวเองให้รอด เอาแต่ครอบครัวตัวเองให้รอดเพียงอย่างเดียว
ก็น่าจะทำให้สังคมค่อยๆดีขึ้นได้ล่ะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่