สวัสดีกันอีกครั้ง วันนี้มาทำความรู้จักกับ Find Way S ซึ่งเป็นรุ่นต่อยอดจากมือถือที่เน้นกล้องหน้าอย่าง Find Way ซึ่งการมาของ Find Way S ถูกวางตำแหน่งเป็นรุ่นรองท๊อปจาก Find 5
สเป็ก
- ซีพียู MediaTek MT6589 4 core 1.5 GHz
- จีพียู PowerVR SGX544
- แรม 1 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1280*720
- กล้อง 8 ล้าน กล้องหน้า 5 ล้าน
- แบต 3000 mAh
- รองรับ 3G ทั้ง 2 ซิม
- น้ำหนัก 182 กรัม
- ราคา
12,900 12,990 บาท
สำรวจตัวเครื่อง
ด้านซ้ายมีปุ่มเปิด-ปิด ด้านขวามีปุ่มปรับเสียง
ส่วนด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง ด้านล่างมีช่องเสียบสายชาร์จ
ด้านหน้ามาแบบเรียบๆ ด้านบนมีกล้องหน้า 5 ล้าน ส่วนปุ่มด้านล่าง เรียงลำดับ menu, home, back ซึ่งมีแสงไฟส่องสว่างจาก 3 ปุ่มด้วยครับ
ด้านหลังมีกล้อง 8 ล้านพร้อมแฟลช ส่วนรูพรุนๆด้านล่างคือลำโพง ซึ่งรุ่นนี้ถอดฝาหลังเปลี่ยนแบตได้ และรองรับ 2 ซิมขนาดไมโคร
เมื่อเปิดเครื่องใช้งาน ก็จะเจอหน้าตาประมาณนี้ ในส่วนของ dock ด้านล่างสามารถจัดตำแหน่งการวางได้ตามใจชอบ แต่จำกัดการวางเพียง 4 icon ซึ่งส่วนตัวผมชอบการวาง 5 icon มากกว่า
นอกจากนี้ ถ้าปัดไปยังหน้าขวาสุด จะเจอเครื่องเล่นเพลงอีกด้วย
ถ้ากด menu จะเป็นการแต่งหน้าทาปาก จัดการกับวิดเจ็ด พื้นหลัง เอฟเฟ็กการเลื่อนหน้า และธีม
และถ้ากดปุ่ม home ค้างไว้ จะเป็นการเรียกดูแอพล่าสุด ซึ่งสามารถปิดแอพได้ด้วยการปัดไปด้านข้าง หรือถ้าต้องการปิดทุกแอพก็ให้กดที่รูปไม้กวาด
จุดที่น่าสนใจก็คือ เราสามารถป้องกันการปิดแอพได้ด้วยการกดที่รูปแม่กุญแจที่แอพนั้นๆ
ส่วนตัว g ที่เห็นคือ google now สำหรับค้นหาและช่วยเตือนเช่น แจ้งผลการแข่งฟุตบอลทีมที่ติดตาม หรือแจ้งเส้นทางการกลับบ้าน
แถบแจ้งเตือนด้านบน สามารถแสดงโลโก้เครือข่ายได้
เมื่อลากแถบแจ้งเตือนลงมา จะเห็นส่วนของการตั้งค่าด่วนๆ หรือ quick settings ซึ่งสามารถเลือกจัดวางลำดับได้ และที่ด้านล่างสุดจะมีชื่อเครือข่ายของซิมทั้ง 2
เนื่องจากเป็นมือถือ 2 ซิม ดังนั้นการโทรและการส่งข้อความ สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานซิมไหน
และในกรณีที่ใส่ซิมเดียว ปุ่มโทรออก ก็จะเป็นปุ่มเดียวเช่นกัน
มาดูการตั้งค่ากันบ้าง
สำหรับการตั้งค่าที่น่าสนใจมีดังนี้
การจัดการเกี่ยวกับซิมและการโทร เรื่องตั้งแต่ Smart dual SIM ก็คือการทำให้สามารถใช้งาน 2 ซิมได้พร้อมกัน เช่น เมื่อเราโทรด้วยซิมที่ 1 แต่มีคนโทรเข้าซิมที่ 2 เราก็สามารถสลับมาคุยได้
ระหว่างการกดเปิดใช้งาน จะมีหน้าต่างแจ้งเตือนเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะในทางทฤษฎีมันคือการโอนสาย ดังนั้นอาจมีค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องสอบถามเพิ่มเติมจากผู้ให้บริการครับ
อีกจุดที่ผมชอบก็คือการเปิด-ปิดซิม ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ เช่น ซิมที่ 1 ไว้คุยงาน ซิมที่ 2 เบอร์ส่วนตัว เมื่อเลิกงาน เราก็กดปิดซิมที่ 1 ได้ จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อน
ส่วนของ Carrier Logo ก็คือโลโก้เครือข่ายที่แสดงบนแถบแจ้งเตือน ซึ่งผมชอบเปิดไว้ สวยดี ...ฮ่าๆ
อีกส่วนที่ผมชอบก็คือ Connection alert ไว้เพิ่มความสะดวกเวลาโทรออก เราไม่ต้องถือเครื่องแนบหูไว้ระหว่างรอ เพราะมันจะแจ้งเตือนเมื่อปลายทางรับสาย
ส่วน Auto redial คือการโทรซ้ำอัตโนมัติในกรณีที่โทรไม่ติด และ Auto record คือการบันทึกเสียงสนทนาครับ
และสำหรับคนที่ชอบดูสถิติการโทร ก็มีให้ดูทั้งซิม 1 และซิม 2
ส่วนของแบตก็สามารถตั้งให้แสดงเป็นเปอร์เซ็นได้ และที่ผมชอบ (แต่ไม่ค่อยได้ใช้) ก็คือระบบเปิด-ปิดเครื่องอัตโนมัติตามเวลาที่เราตั้งไว้ครับ อย่างเช่น ตั้งให้ปิดเครื่องทุกเที่ยงคืน เปิดเครื่องทุกหกโมงเช้า
ในส่วนของ Motion มีดังนี้
- Flip mute
- Smart notification
- Smart sleep
- Double click to brighten up
- Double tap the camera to launch
ซึ่ง 3 อันแรกเป็นลูกเล่นพื้นๆ คือ คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง, แจ้งเตือนเมื่อหยิบเครื่อง, จอไม่ดับเมื่อเราจ้อง
แต่ที่น่าสนใจคือ 2 อันหลัง ...การแตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดเครื่อง และ แตะที่กล้อง 2 ครั้งเพื่อเรียกใช้งานกล้อง
การใช้งานจริง แทบจะไม่ได้ใช้ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องเลย เพราะสามารถเปิดหน้าจอด้วยการแตะหน้าจอ 2 ครั้ง และปิดจอด้วยแอพ Lock Now ที่มีมาให้
เรื่องพื้นที่เก็บข้อมูล เป็นเรื่องที่ผมบ่น OPPO มาตลอด ก็คือให้พื้นที่มา 16 GB ซึ่งน่าจะเพียงพอ แต่กลับแบ่งพื้นไว้ติดตั้งแอพเพียง 1 GB ทำให้ลงแอพได้น้อยมาก
ซึ่งเราสามารถย้ายแอพไปเก็บไว้ Phone storage ได้ แต่ก็ไม่ค่อยสะดวก
ดังนั้นผมแนะนำการตั้ง Preferred location for installation ไว้ที่ Phone storage เพื่อให้มีพื้นที่ติดตั้งแอพมากขึ้น
การตั้งค่าเสียงก็สามารถแยกเสียงเรียกเข้า รวมทั้งเสียงแจ้งเตือนของแต่ละซิมได้
การตั้งค่าการแสดงผล ที่น่าสนใจก็คือสามารถเปลี่ยน font และโหลดเพิ่มได้ สามารถเปลี่ยนธีมและหน้า lock screen ได้
การตั้งค่าในหมวดสุดท้าย ผมคิดว่าเป็นจุดเด่นของ OPPO มาตลอด
- Find my phone สำหรับจัดการเมื่อเครื่องหาย
- Notification center เลือกได้ว่าจะให้แอพไหนบ้างที่แสดงบนแถบแจ้งเตือน
- App protection ไม่จำเป็นต้องใส่รหัสล็อคทั้งเครื่อง แต่เลือกล็อคเฉพาะบางแอพได้
- Startup Manager เลือกได้ว่าจะให้แอพไหนบ้างที่ทำงานเมือเปิดเครื่อง
- Pure background จัดการแอพแต่ละตัวว่าจะให้ทำงานเมื่ออยู่เบื้องหลังหรือไม่
สำหรับการเล่นเกม ผมทดสอบ 4 เกม wild blood, subway, minion rush, candy crush ผลคือเล่นได้หมดครับ ถ้าจะให้จับผิดจริงๆก็คือ minion แอบหน่วงในบางจังหวะ
เครื่องเล่นเพลงมีโหมดปิดเพลงอัตโนมัติ น่าจะเหมาะกับคนที่เปิดเพลงกล่อมก่อนนอน
แต่ส่วนที่ขัดใจผมก็คือการเลือกเพลง ไม่มีให้เลือกจาก folder
และสำหรับคนที่ต้องการฟัง FM รุ่นนี้ก็มีให้ใช้ครับ
แอพดูหนัง สามารถปรับแสงได้ และกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องเพื่อล็อคหน้าจอป้องกันมือไปโดนระหว่างดูหนังก็ได้ รวมทั้งย่อเป็นหน้าต่างเล็กๆ ไว้ดูระหว่างเปิดแอพอื่นๆก็ได้
แต่ลูกเล่นเล็กๆที่คนอาจจะไม่สังเกตก็คือการเลื่อนตำแหน่งของหนัง
ถ้าเราเลื่อนตามช่องปรกติแล้วคิดว่ามันไม่ละเอียดพอ หรือมันกระโดดข้ามฉากที่ต้องการ ก็ให้ปัดนิ้วขึ้นก่อนเลื่อน จะช่วยให้เลื่อนได้ละเอียดขึ้นครับ
การจัดการไฟล์ก็ทำได้สะดวกดี มีทั้งการแบ่งตามประเภทไฟล์ และแบ่งตาม folder
NearMe เป็นแอพหลายๆตัวที่ช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิต ได้แก่
- Sync ไว้สำรองข้อมูลรายชื่อ และข้อความ sms ไว้บนเซิฟเวอร์
- Wallpaper ไว้โหลดภาพพื้นหลังสวยๆ โดยแบ่งหมวดหมู่ เช่น ภาพคน ภาพกาตูน
- Theme ไว้โหลดธีมมาใช้งาน
- App เป็นการรวบรวมแอพที่น่าใช้ไว้ให้โหลด
- Notes สำหรับจดบันทึก
ส่วนที่ผมอยากจะลงลึกไปอีกคือ Notes
การจดบันทึก Notes สามารถพิมพ์ได้ตามปรกติ รวมทั้งใส่รูปได้ แต่ที่น่าสนใจคือ Write และ Doodle
ในส่วนของ Write คือการเขียนตัวอักษรลงบนหน้าจอ แล้วมันจะย่อให้อยู่ในบรรทัด
แต่ Doodle คือการวาดเขียน วาดยังไงได้อย่างงั้น ไม่มีการย่อใส่บรรทัดให้
ส่วนแป้นพิมพ์ที่ติดมากับเครื่องเป็น go keyboard ซึ่งส่วนตัวผมไม่ชอบกับเอฟเฟ็คการเปลี่ยนภาษา คือมันเลื่อนไปด้านข้าง แล้วเวลาสลับภาษารัวๆ... ตาลายครับ
เครื่องมืออื่นๆที่มีมาให้ ก็อย่างเช่น อัดเสียง เข็มทิศ ไฟฉาย (อย่างกะจะให้เข้าป่า)
และแล้วก็มาถึงส่วนสุดท้าย ส่วนที่น่าสนใจที่สุดก็คือกล้อง.... กิ๊บกิ้ววววว
กล้องสไตล์ OPPO จะเป็นกล้องที่ปรับแต่งได้ไม่เยอะ แต่ผลลัพธ์ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี
ผมชอบถ่ายภาพแบบ wide screen เมื่อดูผ่านๆก็คิดว่ารุ่นนี้ทำไม่ได้ แต่พอลองทดสอบจริงๆจังๆ พบว่าคำว่า Preview มันคือการสลับไปโหมด wide screen ...เฮ่อ ไรเนี่ย
สามารถปิดเสียงชัตเตอร์ได้ นอกนั้นก็เป็นการตั้งค่าทั่วๆไป และระหว่างการอัดคลิป เราสามารถถ่ายภาพนิ่ง รวมทั้ง pause หยุดชั่วคราวได้
ลองดูตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง
แต่จุดเด่นของรุ่นนี้จริงๆคือกล้องหน้าที่ให้มา 5 ล้านครับ
คุณอาจคิดว่าการหยิบ Way S ขึ้นมาถ่ายรูปตัวเอง คนรอบข้างจะเห็นคุณสวยแบบนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องมันใหญ่ การถือกดมือเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ
ส่วนภาพที่ได้จากกล้องหน้าถือว่าสวยเลยทีเดียว
มันไม่จบแค่นั้นครับ เพราะมันมีโหมด cosmetics สำหรับสาวๆอีก แค่กดใช้หน้าก็เรียวขึ้น และยังมีโหมดให้เลือกหลายแบบ ซึ่งเลือกได้ว่าจะแต่งตาและปากด้วยไหม
สรุป โดยรวมผมคิดว่าเป็นรุ่นที่คุ้มค่าอีกรุ่น จอใหญ่ เล่นเกมได้ กล้องดี ส่วนสาวๆน่าจะถูกใจเป็นพิเศษกับกล้องหน้าและโหมดทำหน้าสวย
ส่วนข้อเสียที่ผมจะบ่นไปจนกว่า OPPO จะแก้ก็คือเรื่องการจัดสรรพื้นที่สำหรับติดตั้งแอพที่ให้มาน้อยมาก ต้องมาตั้งค่าเอง ซึ่งมันควรจะสะดวกกว่านี้
อ่านเต็มๆได้ที่
http://www.bacidea.com/review-oppo-find-way-s.html
ตามไปพูดคุยที่
https://www.facebook.com/bacidea
[SR] รีวิว OPPO Find Way S by bacidea
สวัสดีกันอีกครั้ง วันนี้มาทำความรู้จักกับ Find Way S ซึ่งเป็นรุ่นต่อยอดจากมือถือที่เน้นกล้องหน้าอย่าง Find Way ซึ่งการมาของ Find Way S ถูกวางตำแหน่งเป็นรุ่นรองท๊อปจาก Find 5
สเป็ก
- ซีพียู MediaTek MT6589 4 core 1.5 GHz
- จีพียู PowerVR SGX544
- แรม 1 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1280*720
- กล้อง 8 ล้าน กล้องหน้า 5 ล้าน
- แบต 3000 mAh
- รองรับ 3G ทั้ง 2 ซิม
- น้ำหนัก 182 กรัม
- ราคา
12,90012,990 บาทสำรวจตัวเครื่อง
ด้านซ้ายมีปุ่มเปิด-ปิด ด้านขวามีปุ่มปรับเสียง
ส่วนด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง ด้านล่างมีช่องเสียบสายชาร์จ
ด้านหน้ามาแบบเรียบๆ ด้านบนมีกล้องหน้า 5 ล้าน ส่วนปุ่มด้านล่าง เรียงลำดับ menu, home, back ซึ่งมีแสงไฟส่องสว่างจาก 3 ปุ่มด้วยครับ
ด้านหลังมีกล้อง 8 ล้านพร้อมแฟลช ส่วนรูพรุนๆด้านล่างคือลำโพง ซึ่งรุ่นนี้ถอดฝาหลังเปลี่ยนแบตได้ และรองรับ 2 ซิมขนาดไมโคร
เมื่อเปิดเครื่องใช้งาน ก็จะเจอหน้าตาประมาณนี้ ในส่วนของ dock ด้านล่างสามารถจัดตำแหน่งการวางได้ตามใจชอบ แต่จำกัดการวางเพียง 4 icon ซึ่งส่วนตัวผมชอบการวาง 5 icon มากกว่า
นอกจากนี้ ถ้าปัดไปยังหน้าขวาสุด จะเจอเครื่องเล่นเพลงอีกด้วย
ถ้ากด menu จะเป็นการแต่งหน้าทาปาก จัดการกับวิดเจ็ด พื้นหลัง เอฟเฟ็กการเลื่อนหน้า และธีม
และถ้ากดปุ่ม home ค้างไว้ จะเป็นการเรียกดูแอพล่าสุด ซึ่งสามารถปิดแอพได้ด้วยการปัดไปด้านข้าง หรือถ้าต้องการปิดทุกแอพก็ให้กดที่รูปไม้กวาด
จุดที่น่าสนใจก็คือ เราสามารถป้องกันการปิดแอพได้ด้วยการกดที่รูปแม่กุญแจที่แอพนั้นๆ
ส่วนตัว g ที่เห็นคือ google now สำหรับค้นหาและช่วยเตือนเช่น แจ้งผลการแข่งฟุตบอลทีมที่ติดตาม หรือแจ้งเส้นทางการกลับบ้าน
แถบแจ้งเตือนด้านบน สามารถแสดงโลโก้เครือข่ายได้
เมื่อลากแถบแจ้งเตือนลงมา จะเห็นส่วนของการตั้งค่าด่วนๆ หรือ quick settings ซึ่งสามารถเลือกจัดวางลำดับได้ และที่ด้านล่างสุดจะมีชื่อเครือข่ายของซิมทั้ง 2
เนื่องจากเป็นมือถือ 2 ซิม ดังนั้นการโทรและการส่งข้อความ สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานซิมไหน
และในกรณีที่ใส่ซิมเดียว ปุ่มโทรออก ก็จะเป็นปุ่มเดียวเช่นกัน
มาดูการตั้งค่ากันบ้าง
สำหรับการตั้งค่าที่น่าสนใจมีดังนี้
การจัดการเกี่ยวกับซิมและการโทร เรื่องตั้งแต่ Smart dual SIM ก็คือการทำให้สามารถใช้งาน 2 ซิมได้พร้อมกัน เช่น เมื่อเราโทรด้วยซิมที่ 1 แต่มีคนโทรเข้าซิมที่ 2 เราก็สามารถสลับมาคุยได้
ระหว่างการกดเปิดใช้งาน จะมีหน้าต่างแจ้งเตือนเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะในทางทฤษฎีมันคือการโอนสาย ดังนั้นอาจมีค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องสอบถามเพิ่มเติมจากผู้ให้บริการครับ
อีกจุดที่ผมชอบก็คือการเปิด-ปิดซิม ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ เช่น ซิมที่ 1 ไว้คุยงาน ซิมที่ 2 เบอร์ส่วนตัว เมื่อเลิกงาน เราก็กดปิดซิมที่ 1 ได้ จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อน
ส่วนของ Carrier Logo ก็คือโลโก้เครือข่ายที่แสดงบนแถบแจ้งเตือน ซึ่งผมชอบเปิดไว้ สวยดี ...ฮ่าๆ
อีกส่วนที่ผมชอบก็คือ Connection alert ไว้เพิ่มความสะดวกเวลาโทรออก เราไม่ต้องถือเครื่องแนบหูไว้ระหว่างรอ เพราะมันจะแจ้งเตือนเมื่อปลายทางรับสาย
ส่วน Auto redial คือการโทรซ้ำอัตโนมัติในกรณีที่โทรไม่ติด และ Auto record คือการบันทึกเสียงสนทนาครับ
และสำหรับคนที่ชอบดูสถิติการโทร ก็มีให้ดูทั้งซิม 1 และซิม 2
ส่วนของแบตก็สามารถตั้งให้แสดงเป็นเปอร์เซ็นได้ และที่ผมชอบ (แต่ไม่ค่อยได้ใช้) ก็คือระบบเปิด-ปิดเครื่องอัตโนมัติตามเวลาที่เราตั้งไว้ครับ อย่างเช่น ตั้งให้ปิดเครื่องทุกเที่ยงคืน เปิดเครื่องทุกหกโมงเช้า
ในส่วนของ Motion มีดังนี้
- Flip mute
- Smart notification
- Smart sleep
- Double click to brighten up
- Double tap the camera to launch
ซึ่ง 3 อันแรกเป็นลูกเล่นพื้นๆ คือ คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง, แจ้งเตือนเมื่อหยิบเครื่อง, จอไม่ดับเมื่อเราจ้อง
แต่ที่น่าสนใจคือ 2 อันหลัง ...การแตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดเครื่อง และ แตะที่กล้อง 2 ครั้งเพื่อเรียกใช้งานกล้อง
การใช้งานจริง แทบจะไม่ได้ใช้ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องเลย เพราะสามารถเปิดหน้าจอด้วยการแตะหน้าจอ 2 ครั้ง และปิดจอด้วยแอพ Lock Now ที่มีมาให้
เรื่องพื้นที่เก็บข้อมูล เป็นเรื่องที่ผมบ่น OPPO มาตลอด ก็คือให้พื้นที่มา 16 GB ซึ่งน่าจะเพียงพอ แต่กลับแบ่งพื้นไว้ติดตั้งแอพเพียง 1 GB ทำให้ลงแอพได้น้อยมาก
ซึ่งเราสามารถย้ายแอพไปเก็บไว้ Phone storage ได้ แต่ก็ไม่ค่อยสะดวก
ดังนั้นผมแนะนำการตั้ง Preferred location for installation ไว้ที่ Phone storage เพื่อให้มีพื้นที่ติดตั้งแอพมากขึ้น
การตั้งค่าเสียงก็สามารถแยกเสียงเรียกเข้า รวมทั้งเสียงแจ้งเตือนของแต่ละซิมได้
การตั้งค่าการแสดงผล ที่น่าสนใจก็คือสามารถเปลี่ยน font และโหลดเพิ่มได้ สามารถเปลี่ยนธีมและหน้า lock screen ได้
การตั้งค่าในหมวดสุดท้าย ผมคิดว่าเป็นจุดเด่นของ OPPO มาตลอด
- Find my phone สำหรับจัดการเมื่อเครื่องหาย
- Notification center เลือกได้ว่าจะให้แอพไหนบ้างที่แสดงบนแถบแจ้งเตือน
- App protection ไม่จำเป็นต้องใส่รหัสล็อคทั้งเครื่อง แต่เลือกล็อคเฉพาะบางแอพได้
- Startup Manager เลือกได้ว่าจะให้แอพไหนบ้างที่ทำงานเมือเปิดเครื่อง
- Pure background จัดการแอพแต่ละตัวว่าจะให้ทำงานเมื่ออยู่เบื้องหลังหรือไม่
สำหรับการเล่นเกม ผมทดสอบ 4 เกม wild blood, subway, minion rush, candy crush ผลคือเล่นได้หมดครับ ถ้าจะให้จับผิดจริงๆก็คือ minion แอบหน่วงในบางจังหวะ
เครื่องเล่นเพลงมีโหมดปิดเพลงอัตโนมัติ น่าจะเหมาะกับคนที่เปิดเพลงกล่อมก่อนนอน
แต่ส่วนที่ขัดใจผมก็คือการเลือกเพลง ไม่มีให้เลือกจาก folder
และสำหรับคนที่ต้องการฟัง FM รุ่นนี้ก็มีให้ใช้ครับ
แอพดูหนัง สามารถปรับแสงได้ และกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องเพื่อล็อคหน้าจอป้องกันมือไปโดนระหว่างดูหนังก็ได้ รวมทั้งย่อเป็นหน้าต่างเล็กๆ ไว้ดูระหว่างเปิดแอพอื่นๆก็ได้
แต่ลูกเล่นเล็กๆที่คนอาจจะไม่สังเกตก็คือการเลื่อนตำแหน่งของหนัง
ถ้าเราเลื่อนตามช่องปรกติแล้วคิดว่ามันไม่ละเอียดพอ หรือมันกระโดดข้ามฉากที่ต้องการ ก็ให้ปัดนิ้วขึ้นก่อนเลื่อน จะช่วยให้เลื่อนได้ละเอียดขึ้นครับ
การจัดการไฟล์ก็ทำได้สะดวกดี มีทั้งการแบ่งตามประเภทไฟล์ และแบ่งตาม folder
NearMe เป็นแอพหลายๆตัวที่ช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิต ได้แก่
- Sync ไว้สำรองข้อมูลรายชื่อ และข้อความ sms ไว้บนเซิฟเวอร์
- Wallpaper ไว้โหลดภาพพื้นหลังสวยๆ โดยแบ่งหมวดหมู่ เช่น ภาพคน ภาพกาตูน
- Theme ไว้โหลดธีมมาใช้งาน
- App เป็นการรวบรวมแอพที่น่าใช้ไว้ให้โหลด
- Notes สำหรับจดบันทึก
ส่วนที่ผมอยากจะลงลึกไปอีกคือ Notes
การจดบันทึก Notes สามารถพิมพ์ได้ตามปรกติ รวมทั้งใส่รูปได้ แต่ที่น่าสนใจคือ Write และ Doodle
ในส่วนของ Write คือการเขียนตัวอักษรลงบนหน้าจอ แล้วมันจะย่อให้อยู่ในบรรทัด
แต่ Doodle คือการวาดเขียน วาดยังไงได้อย่างงั้น ไม่มีการย่อใส่บรรทัดให้
ส่วนแป้นพิมพ์ที่ติดมากับเครื่องเป็น go keyboard ซึ่งส่วนตัวผมไม่ชอบกับเอฟเฟ็คการเปลี่ยนภาษา คือมันเลื่อนไปด้านข้าง แล้วเวลาสลับภาษารัวๆ... ตาลายครับ
เครื่องมืออื่นๆที่มีมาให้ ก็อย่างเช่น อัดเสียง เข็มทิศ ไฟฉาย (อย่างกะจะให้เข้าป่า)
และแล้วก็มาถึงส่วนสุดท้าย ส่วนที่น่าสนใจที่สุดก็คือกล้อง.... กิ๊บกิ้ววววว
กล้องสไตล์ OPPO จะเป็นกล้องที่ปรับแต่งได้ไม่เยอะ แต่ผลลัพธ์ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี
ผมชอบถ่ายภาพแบบ wide screen เมื่อดูผ่านๆก็คิดว่ารุ่นนี้ทำไม่ได้ แต่พอลองทดสอบจริงๆจังๆ พบว่าคำว่า Preview มันคือการสลับไปโหมด wide screen ...เฮ่อ ไรเนี่ย
สามารถปิดเสียงชัตเตอร์ได้ นอกนั้นก็เป็นการตั้งค่าทั่วๆไป และระหว่างการอัดคลิป เราสามารถถ่ายภาพนิ่ง รวมทั้ง pause หยุดชั่วคราวได้
ลองดูตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง
แต่จุดเด่นของรุ่นนี้จริงๆคือกล้องหน้าที่ให้มา 5 ล้านครับ
คุณอาจคิดว่าการหยิบ Way S ขึ้นมาถ่ายรูปตัวเอง คนรอบข้างจะเห็นคุณสวยแบบนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องมันใหญ่ การถือกดมือเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ
ส่วนภาพที่ได้จากกล้องหน้าถือว่าสวยเลยทีเดียว
มันไม่จบแค่นั้นครับ เพราะมันมีโหมด cosmetics สำหรับสาวๆอีก แค่กดใช้หน้าก็เรียวขึ้น และยังมีโหมดให้เลือกหลายแบบ ซึ่งเลือกได้ว่าจะแต่งตาและปากด้วยไหม
สรุป โดยรวมผมคิดว่าเป็นรุ่นที่คุ้มค่าอีกรุ่น จอใหญ่ เล่นเกมได้ กล้องดี ส่วนสาวๆน่าจะถูกใจเป็นพิเศษกับกล้องหน้าและโหมดทำหน้าสวย
ส่วนข้อเสียที่ผมจะบ่นไปจนกว่า OPPO จะแก้ก็คือเรื่องการจัดสรรพื้นที่สำหรับติดตั้งแอพที่ให้มาน้อยมาก ต้องมาตั้งค่าเอง ซึ่งมันควรจะสะดวกกว่านี้
อ่านเต็มๆได้ที่ http://www.bacidea.com/review-oppo-find-way-s.html
ตามไปพูดคุยที่ https://www.facebook.com/bacidea