เรามีเพื่อนอยู่คนนึง ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆเพราะเรียนพิเศษที่เดียวกันตั้งแต่ ม.ต้น
แต่ก็ห่างๆกันไปตอนจะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย จนได้มาเจอกันอีกครั้งเริ่มต้นจากเฟสบุ๊คตอนเราเริ่มทำงานแล้ว
ในความทรงจำของเรา เขาคือนักเรียนระดับท๊อป สอบที่ไหนก็ติด เรียนม.ชื่อดังก็ได้ทุน อัธยาศัยดี เป็นหนุ่มตี๋ๆ ไม่ได้เนิร์ดตามคุณสมบัติ
ณ ตอนนั้นเขาทำงานด้าน IT ให้กับบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง อนาคตไกล รายได้ดี
ตอนที่มารู้จักกันอีกครั้ง ตรงกับวันเกิดเราพอดี เขาก็เข้ามาอวยพร เลยนัดกินข้าวกัน
ที่บ้านเราไม่ชอบให้ไปไหนมาไหนดึกๆ แต่เพราะเป็นเพื่อนเก่า ที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ก็รู้จักกัน
วันแรกที่เจอ แม้เขาจะเลิกงานสองทุ่ม ก็ขับรถจากพระรามสอง มารับเรากับน้องชายที่นนทบุรี ร้านที่อยากจะกินปิด เลยเปลี่ยนมาแถวประชาชื่น
กว่าจะกินเสร็จกลับถึงบ้านเราก็เกือบห้าทุ่ม แล้วเขาก็ขับรถกลับพระรามสอง
ตอนช่วงนั้นเรายังทำงานอยู่ต่างประเทศ หลายๆครั้งที่กลับมาไทยก็จะชวนเขากินข้าว หรือไปเที่ยว
เขาก็จะมารับมาส่งเราอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นไปหาของกิน ไปทำบุญ ยันขับรถพาเราไปงานแต่งเพื่อน
เราจะชวนตอนไหน เมื่อไหร่ หรือเบี้ยวนัดนาทีสุดท้ายเขาก็ไม่เคยโกรธ
มีอยู่ครั้งนึงที่เราต้องทำธุระทั้งวัน เขาขับรถจากบางกรวย มารับเราที่บางบัวทอง แล้วไปสยามพารากอน จากนั้นขับไปจอดที่เซ็นทรัลเวิลด์ กินข้าว 45 นาทีแล้วขับกลับมาเซ็นทรัลลาดพร้าว รับเพื่อนเราแล้วพอไป CDC เพื่อทานข้าว ส่งเพื่อนกลับลาดพร้าว ส่งเราที่บางบัวทอง กลับบ้านที่บางกรวยเพื่อเตรียมของ แล้วก็ขับรถกลับที่ทำงานที่พระรามสอง โดยที่แต่ละสถานที่ๆไปเราไม่ได้วางแผนมาก่อน คือนึกได้ก็บอก เขาก็พาเราไป
วันนั้นเรากลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนก็ทักว่า "คนปกติคงเลิกคบแกไปแล้ว" ถ้าเขาไม่คิดอะไร ก็เป็นเทวดาได้แล้ว
เราก็ยังไม่เอะใจอะไร บางครั้งนัดไปกินข้าว เขาก็ต้องมารับ เราลืมกระเป๋าตังค์ เขาก็ไม่เคยอิดออด (แต่เราก็คืนให้ทุกครั้ง)
หลายๆครั้งที่แย่งจ่ายเงินค่าซื้อของหรือกินข้าวทั้งๆที่เงินเดือนเขาก็น้อยกว่าเรา และทำงานหนักกว่ามาก ถึงเที่ยงคืนแทบทุกวัน
สำหรับเราเขาคือ"เพื่อน" คือคนที่เราไม่เคยรู้สึกอะไร หนำซ้ำบางครั้งยังโทรเรียกเขามารับเวลาเราไปเจอคนที่ไม่ชอบแล้วอยากจะหนีกลับ
เราเป็นตัวเองกับเขามากๆ พูดด้วยทุกเรื่อง คิดอะไรอยากได้อะไรอยากทำอะไร บางทีก็ให้เขามารับตั้งแต่เช้าเพื่อไปวัด ไปเดินเล่น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็บอกว่าเขาโสด เพราะคนที่เขาชอบก็ไม่ชอบเขา แต่ตราบใดที่คนๆนั้นไม่รำคาญ เขาก็ยังอยากทำอะไรให้
บางครั้งที่เขาหายไปเราก็แซวว่า มีข่าวดีรึป่าว เดทกับใครป่ะเนี่ย เขาก็บอกยังหรอก ถ้ามีเรารู้แน่
บางทีเราก็ถามว่า ใครเหรอที่เขาชอบ ใครคือผู้โชคดีคนนั้น เขาเคยตอบว่า "เธอมั้ง"
เราก็ยังขำ ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง
จนวันนึงที่เราอกหัก เพราะดันไปบอกชอบคนๆนึงแล้วไม่สมหวัง แล้วคนๆนั้นดันเป็นเพื่อนเขา
เราคิดว่าเขาไม่น่ารู้ แต่วันนั้นเขามาที่บ้าน มาชวนไปกินข้าว กินขนม ทั้งๆที่ปกติวันเสาร์วันรถติดเขาจะไม่เข้าเมืองเด็ดขาด
หลังๆเราเริ่มเอะใจในความใจดีของเขา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะถือว่าเขายังไม่เปิดปากพูดมันออกมา
เขาโพสเพลง Jar of Hearts ซึ่งปกติเขาไม่ค่อยโพสอะไรลงเฟสบุ๊ค
เราก็ยังกดฟัง โดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย
เราชวนให้เขาสมัครเป็นนักบิน ซึ่งจริงๆสิ่งนี้ไม่เคยอยู่ในแพลนเขา
แต่เพราะเราอยากให้ลอง เขาก็สมัครไปสอบ และทำทุกสิ่งที่อย่างผ่านทุกขั้นตอน
แต่เขายังไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะเป็นมั้ย เราเลยถามว่าทำไมเขาถึงสมัคร
เขาบอกว่า "เพราะเราบอกให้สมัครไง"
ตอนนั้นเราเริ่มรู้สึกว่า เราอาจจะกำลังไปปั่นป่วนอนาคตของใครคนนึงหรือเปล่า
เราเริ่มถอยห่าง เราไม่อยากเป็นสาเหตุของการตัดสินใจใดๆ และช่วงนั้นจังหวะพอดีกับที่งานเรายุ่งมากๆ
เราจึงหายไปเลย... ประมาณ 2 เดือน อาจจะมีการคอมเม้นเฟสบุ๊คกันบ้าง แต่ไม่แชทไม่ชวนกินข้าวเหมือนเมื่อก่อน
จนวันนึงที่เราชวนเขากินข้าวเหมือนที่เคยทำ เขาไม่ว่างแล้ว...
เพราะมีใครคนนึงให้ดูแลแล้ว
ตอนแรกเรารู้สึกแต่ว่า เพื่อนเราหายไปอีกแล้ว เหลือเราคนเดียวที่ไม่มีใคร
เราโกรธเขาที่เป็นฝ่ายเงียบหายไป...เราไม่เข้าใจว่าทำไมอะไรๆต้องเปลี่ยนไปขนาดนี้
จนวันนี้เราได้ดู Club friday ตอน รักระยะทดลอง
เหมือนเราเห็นชีวิตตัวเอง ผู้หญิงที่เอาแต่ใจมากๆคนนึง กับ เขาผู้ชายที่ทนทุกอย่าง
ต่างแค่เรากับเขาไม่ได้ตกลงเป็นอะไรกัน...
กับใครที่เราชอบเรารัก เราดีด้วยทุกอย่าง แต่กับเขาเรากลับเป็นคนที่ร้ายที่สุดโดยไม่รู้ตัว
แล้วเราก็ไม่เคยรู้เลยว่า เราทำร้ายหัวใจเขา
ตอนนี้เขากำลังจะได้เป็นนักบินสมใจเรา กับความพยายามของเราที่เคยบอกว่า
"เราอยากมีเพื่อนเป็นนักบิน"
เรารู้ตัวเองดีว่า เราไม่มีวันรักเขามากเกินกว่าเพื่อนคนนึง เพราะเรากลัวว่า เราจะเสียทั้งเพื่อนทั้งคนรักไป
ตอนนี้มีแต่ความรู้สึกแย่ ความรู้สึกผิด
แต่ไม่รู้จะพูดออกไปยังไง
เราเคยคิดเสมอว่า เรามักให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนที่เรารัก
แต่เราไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเราร้ายที่สุดกับคนที่รักเรา...
ยังไงชีวิตก็ยังต้องก้าวต่อไป
หากเป็นคุณจะคุยเรื่องนี้กับเขามั้ย? หรือปล่อยให้มันผ่านเลยไป...
คำขอโทษจากเพื่อนถึงเพื่อนคนหนึ่ง
แต่ก็ห่างๆกันไปตอนจะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย จนได้มาเจอกันอีกครั้งเริ่มต้นจากเฟสบุ๊คตอนเราเริ่มทำงานแล้ว
ในความทรงจำของเรา เขาคือนักเรียนระดับท๊อป สอบที่ไหนก็ติด เรียนม.ชื่อดังก็ได้ทุน อัธยาศัยดี เป็นหนุ่มตี๋ๆ ไม่ได้เนิร์ดตามคุณสมบัติ
ณ ตอนนั้นเขาทำงานด้าน IT ให้กับบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง อนาคตไกล รายได้ดี
ตอนที่มารู้จักกันอีกครั้ง ตรงกับวันเกิดเราพอดี เขาก็เข้ามาอวยพร เลยนัดกินข้าวกัน
ที่บ้านเราไม่ชอบให้ไปไหนมาไหนดึกๆ แต่เพราะเป็นเพื่อนเก่า ที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ก็รู้จักกัน
วันแรกที่เจอ แม้เขาจะเลิกงานสองทุ่ม ก็ขับรถจากพระรามสอง มารับเรากับน้องชายที่นนทบุรี ร้านที่อยากจะกินปิด เลยเปลี่ยนมาแถวประชาชื่น
กว่าจะกินเสร็จกลับถึงบ้านเราก็เกือบห้าทุ่ม แล้วเขาก็ขับรถกลับพระรามสอง
ตอนช่วงนั้นเรายังทำงานอยู่ต่างประเทศ หลายๆครั้งที่กลับมาไทยก็จะชวนเขากินข้าว หรือไปเที่ยว
เขาก็จะมารับมาส่งเราอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นไปหาของกิน ไปทำบุญ ยันขับรถพาเราไปงานแต่งเพื่อน
เราจะชวนตอนไหน เมื่อไหร่ หรือเบี้ยวนัดนาทีสุดท้ายเขาก็ไม่เคยโกรธ
มีอยู่ครั้งนึงที่เราต้องทำธุระทั้งวัน เขาขับรถจากบางกรวย มารับเราที่บางบัวทอง แล้วไปสยามพารากอน จากนั้นขับไปจอดที่เซ็นทรัลเวิลด์ กินข้าว 45 นาทีแล้วขับกลับมาเซ็นทรัลลาดพร้าว รับเพื่อนเราแล้วพอไป CDC เพื่อทานข้าว ส่งเพื่อนกลับลาดพร้าว ส่งเราที่บางบัวทอง กลับบ้านที่บางกรวยเพื่อเตรียมของ แล้วก็ขับรถกลับที่ทำงานที่พระรามสอง โดยที่แต่ละสถานที่ๆไปเราไม่ได้วางแผนมาก่อน คือนึกได้ก็บอก เขาก็พาเราไป
วันนั้นเรากลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนก็ทักว่า "คนปกติคงเลิกคบแกไปแล้ว" ถ้าเขาไม่คิดอะไร ก็เป็นเทวดาได้แล้ว
เราก็ยังไม่เอะใจอะไร บางครั้งนัดไปกินข้าว เขาก็ต้องมารับ เราลืมกระเป๋าตังค์ เขาก็ไม่เคยอิดออด (แต่เราก็คืนให้ทุกครั้ง)
หลายๆครั้งที่แย่งจ่ายเงินค่าซื้อของหรือกินข้าวทั้งๆที่เงินเดือนเขาก็น้อยกว่าเรา และทำงานหนักกว่ามาก ถึงเที่ยงคืนแทบทุกวัน
สำหรับเราเขาคือ"เพื่อน" คือคนที่เราไม่เคยรู้สึกอะไร หนำซ้ำบางครั้งยังโทรเรียกเขามารับเวลาเราไปเจอคนที่ไม่ชอบแล้วอยากจะหนีกลับ
เราเป็นตัวเองกับเขามากๆ พูดด้วยทุกเรื่อง คิดอะไรอยากได้อะไรอยากทำอะไร บางทีก็ให้เขามารับตั้งแต่เช้าเพื่อไปวัด ไปเดินเล่น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็บอกว่าเขาโสด เพราะคนที่เขาชอบก็ไม่ชอบเขา แต่ตราบใดที่คนๆนั้นไม่รำคาญ เขาก็ยังอยากทำอะไรให้
บางครั้งที่เขาหายไปเราก็แซวว่า มีข่าวดีรึป่าว เดทกับใครป่ะเนี่ย เขาก็บอกยังหรอก ถ้ามีเรารู้แน่
บางทีเราก็ถามว่า ใครเหรอที่เขาชอบ ใครคือผู้โชคดีคนนั้น เขาเคยตอบว่า "เธอมั้ง"
เราก็ยังขำ ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง
จนวันนึงที่เราอกหัก เพราะดันไปบอกชอบคนๆนึงแล้วไม่สมหวัง แล้วคนๆนั้นดันเป็นเพื่อนเขา
เราคิดว่าเขาไม่น่ารู้ แต่วันนั้นเขามาที่บ้าน มาชวนไปกินข้าว กินขนม ทั้งๆที่ปกติวันเสาร์วันรถติดเขาจะไม่เข้าเมืองเด็ดขาด
หลังๆเราเริ่มเอะใจในความใจดีของเขา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะถือว่าเขายังไม่เปิดปากพูดมันออกมา
เขาโพสเพลง Jar of Hearts ซึ่งปกติเขาไม่ค่อยโพสอะไรลงเฟสบุ๊ค
เราก็ยังกดฟัง โดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย
เราชวนให้เขาสมัครเป็นนักบิน ซึ่งจริงๆสิ่งนี้ไม่เคยอยู่ในแพลนเขา
แต่เพราะเราอยากให้ลอง เขาก็สมัครไปสอบ และทำทุกสิ่งที่อย่างผ่านทุกขั้นตอน
แต่เขายังไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะเป็นมั้ย เราเลยถามว่าทำไมเขาถึงสมัคร
เขาบอกว่า "เพราะเราบอกให้สมัครไง"
ตอนนั้นเราเริ่มรู้สึกว่า เราอาจจะกำลังไปปั่นป่วนอนาคตของใครคนนึงหรือเปล่า
เราเริ่มถอยห่าง เราไม่อยากเป็นสาเหตุของการตัดสินใจใดๆ และช่วงนั้นจังหวะพอดีกับที่งานเรายุ่งมากๆ
เราจึงหายไปเลย... ประมาณ 2 เดือน อาจจะมีการคอมเม้นเฟสบุ๊คกันบ้าง แต่ไม่แชทไม่ชวนกินข้าวเหมือนเมื่อก่อน
จนวันนึงที่เราชวนเขากินข้าวเหมือนที่เคยทำ เขาไม่ว่างแล้ว...
เพราะมีใครคนนึงให้ดูแลแล้ว
ตอนแรกเรารู้สึกแต่ว่า เพื่อนเราหายไปอีกแล้ว เหลือเราคนเดียวที่ไม่มีใคร
เราโกรธเขาที่เป็นฝ่ายเงียบหายไป...เราไม่เข้าใจว่าทำไมอะไรๆต้องเปลี่ยนไปขนาดนี้
จนวันนี้เราได้ดู Club friday ตอน รักระยะทดลอง
เหมือนเราเห็นชีวิตตัวเอง ผู้หญิงที่เอาแต่ใจมากๆคนนึง กับ เขาผู้ชายที่ทนทุกอย่าง
ต่างแค่เรากับเขาไม่ได้ตกลงเป็นอะไรกัน...
กับใครที่เราชอบเรารัก เราดีด้วยทุกอย่าง แต่กับเขาเรากลับเป็นคนที่ร้ายที่สุดโดยไม่รู้ตัว
แล้วเราก็ไม่เคยรู้เลยว่า เราทำร้ายหัวใจเขา
ตอนนี้เขากำลังจะได้เป็นนักบินสมใจเรา กับความพยายามของเราที่เคยบอกว่า
"เราอยากมีเพื่อนเป็นนักบิน"
เรารู้ตัวเองดีว่า เราไม่มีวันรักเขามากเกินกว่าเพื่อนคนนึง เพราะเรากลัวว่า เราจะเสียทั้งเพื่อนทั้งคนรักไป
ตอนนี้มีแต่ความรู้สึกแย่ ความรู้สึกผิด
แต่ไม่รู้จะพูดออกไปยังไง
เราเคยคิดเสมอว่า เรามักให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนที่เรารัก
แต่เราไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเราร้ายที่สุดกับคนที่รักเรา...
ยังไงชีวิตก็ยังต้องก้าวต่อไป
หากเป็นคุณจะคุยเรื่องนี้กับเขามั้ย? หรือปล่อยให้มันผ่านเลยไป...