ดัชนี ณ ปัจจุบัน ยังคงทำ Uptrend ในระยะสั้นนะครับ (อาจจะหลุดให้ตกใจมาแล้ว เมื่อวาน 21/10/56)
สำหรับตัวผมเองยังถือว่า ระยะ 3-6 เดือนจะยังอยู่ใน Side way ถ้ายังไม่ผ่านเส้นสีเขียว 1520 ขึ้นไป
ผ่านไปได้ก็ ให้หุ้นที่กำลังจะเลือกไว้ กินกำไร ยาวปายยย ยาวปายยย
ช่วงนี้นักลงทุนผู้เฝ้าหน้าจอทุกวัน(เช่นผม) คงมึนๆกันใช่มั้ยครับ
ตลาดขึ้นๆลง ขึ้นก็เฮ!!!! ลงเหมือนเมื่อวานก็ จ๋อย คร๊าบบ จ๋อย
วิธีแก้ มึน ง่ายๆ สำหรับตัวเองของผม(ทั้งในหน้าที่การงานและการลงทุน)
ที่จะเริ่มทำจะอยู่ในบทความนี้ครับ (มาลองเริ่มใหม่กันนะครับ)
ออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า ผมเป็นเม่าใหม่(1 ปีครึ่ง)ในคราบ
มาร์ฯ
ประสบการณ์น้อยยยยมากก ในตลาดหุ้นแห่งนี้ แต่อาศัยอัดความรู้เข้าไป หลายแขนง หลายกระบวนท่า
ตอนนี้ก็ยัง อยู่ในโหมดธาตุไฟเข้าแทรกอยู่ เอาความรู้อะไรไปใช้ก็ สำเร็จไม่เต็มที่ - ล้มเหลว เลยก็มี
เลยตัดสินใจว่า รอบ 1 ปีหน้าจะลองเพิ่มอีกรูปแบบนึง เพราะ สไตล์ที่ประสบความสำเร็จเพียงสไตล์เดียว(ที่ไม่ขาดทุนเลย)
เลยคือ สไตล์ซื้อหุ้นปันผล โดยอิงเอายีลด์ 6% ขึ้นไป แล้วถือทน
ผลปรากฎว่า ผลตอบแทนจากการไม่ขยับอะไรเลยในหุ้นปันผลตัวนี้ 7 เดือนแล้ว ได้เพียง 8% เท่านั้น
แต่ในส่วนที่เสียไป ที่เอาไปซิ่ง DW , เอาไปซิ่งหุ้นโวลุ่มเข้า , ราคาแท่งเขียวใหญ่ และที่ขาดไม่ได้ IPO ATO
รวมๆแล้ว ได้ๆเสียๆ ได้ๆๆๆ เสียๆ ได้ เสียๆๆๆ ได้ๆๆ เสียๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ >>>
สรุปแล้ว เสียชนะได้ ครับ
ดังนั้นผมจึงเริ่มตั้งต้นกลับมาสู่พื้นฐานของตัวเองใหม่ เพราะ พักหลังนี้ ผมจะหลุดๆแล้ว
ช่วงขาดทุน ช่วงกำไรดีมาก
ช่วงอารมณ์ร้อน - ผมมักจะถามตัวเองทุกวัน ทุกสัปดาห์ ว่า
"วันนี้/สัปดาห์นี้จะเอาหุ้นอะไร???"
การเริ่มจากถามว่า หุ้นอะไร ตัวไหน แบบที่ผมไม่มีเป้าหมายเนี่ย มันทำให้ผมไปไม่เป็นครับ
ก่อนซื้อแค่หา จุด Cut loss จุดทำกำไร แล้วซื้อ >>>> สุดท้ายตลาดลง 1600 >> 1250
CUT Loss!!!! CUT Loss!!!! CUT Loss!!!! CUT loss!!!!!
ฉะนั้นผมจะกลับมาเริ่มจาก Basic ก่อน คือ ถามตัวเองว่า
มาเล่นหุ้นทำไม(บางท่านอยากเก๋ อาจจะใช้คำว่า
"ลงทุน")
???
คำตอบที่ผมได้รับจากตัวเองคือ ผมอยากเก็บเงินในหุ้น ช่วง 5 ปีก่อนจะอายุถึง 30 นี้ โดยที่
"มีเงินเก็บเท่าไหร่ใส่ในหุ้นให้หมด"
เพราะอะไร??? เพราะไปเห็นตาราง Excel ว่า ออมเงินเดือนละเท่านี้ ได้ผลตอบแทนต่อปีเท่านั้น จะไปถึงเป้าของเงินก้อนที่ผมต้องการ
สรุปจากการถามตอบตัวเอง ผมได้คำตอบว่า
"อยากได้ผลตอบแทนต่อปี ปีละ 20% ถ้าทำได้จะเก๋มาก แต่ถ้าไม่ ขี้เหร่สุดให้ 15%"
ทำยังไง?? เป็นคำถามต่อมา ผมคิดหลายอย่างมากเลยนะครับ เช่น
"โหยง่ายว่ะ หาหุ้นกราฟสวยๆ ถือให้ได้เดือนละ 2% แล้วtakeกำไร เดือนหน้าก็รอรอบใหม่"
แต่ 1600 >> 1250 ทำให้ผมรู้ว่า โลกความจริงมันง่าย แบบนั้นเหรอ?? กราฟเราแม่นปานจับวางเหรอ??
ถ้าเราทุ่มตัวเดียวในหุ้นกราฟสวยๆ หมดพอร์ต แล้วมันลงไปจนถึงจุด Cut loss 7%
แล้วผมก็ต้องหาตัวใหม่มาเล่น ให้ได้เงินต้นคืนกลับมาก่อน แล้วก็วนไปตามล่า 2% ต่อเดือนใหม่
แลดูยากจัง แถม
เครียดด้วย
ครั้นจะ VI ก็กลัวการประเมินมูลค่าหุ้นของตัวเอง
ไม่รู้ว่า ถือหุ้นเมกะเทรนด์ ดีโคตร คนจะใช้แน่นอนในอนาคต, สังคมผู้สูงอายุจะมากขึ้น
ความเป็นเมืองจะชัดเจนขึ้นในต่างจังหวัด, mobile Life บลาๆๆ
เห็น PE หุ้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปซื้อเป็น VI ยอดดอยหรือปล่าว
ผมจึงได้ข้อสรุปของ แนวทางใหม่ของตัวเอง(ที่กำลังจะลอง) คือ
โอเค ไหนๆ ผมก็ศรัทธาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของพี่กวี เชื่อมั่นในศูนย์วิจัยกสิฯ และผมก็เป็นมาร์ฯกสิฯ
ผมจึงเอา บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นทุกตัวที่ โบรกเกอร์ผมได้ทำไว้ มากางและไล่ scan ไปทีละตัว
ผมจำคติของพี่กวีได้ดี คือ
1. อย่าเชื่อนักวิเคราะห์ 2. ให้กลับไปดุข้อ (1)
ดังนั้น ถ้าผมจะเอาผลตอบแทน 20% ต่อปี แต่ผมเชื่อนักวิเคราะห์ไม่เต็มร้อย
งั้นนักวิเคราะห์ต้องหาหุ้นที่ให้ผม 40% ขึ้นไปมาละกัน เผื่อไปได้แค่กลางทางของคุณ ผมก็ถึงเป้า
แต่โลกมันไม่ง่าย
ผมเลยคิดว่าจะต้องเอาหุ้นที่ ราคา Upside Gain 40% พวกนั้น
มาอ่านอัตราส่วนงบการเงินในอดีต เพื่อดูว่าบริษัทไหนดีเลวอย่างไร อ่านอัตราส่วนการเงินผมก็อ่านตามทฤษฎีเป็น เพราะเคยเขียนไว้
การอ่านอัตราส่วนทางการเงินคร่าวๆ ความรู้ป.ตรี(จ่ายก่อนค่อยอ่าน จ่ายเป็นเวลามาท่านละ 30 นาทีพอครับ ลดให้
http://ppantip.com/topic/30147348
แต่โลกก็ไม่ได้ง่ายสุดๆ VI เท่ห์ขั้นเทพ แบบนั้น
เพราะดัชนี SET ตอนนี้ อยู่ 1457.36 P/E 15.83 เท่า (ณ สิ้นวันที่ 22/10/2556)
ตัวผมเองก็ยังไม่มีการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่เป็นระบบของตัวเอง
ที่รู้ดี ที่ทำได้ทันทีที่มีสัญญาณ ทำแล้วได้ผลดี มากกว่าผลเสีย ขนาดนั้น
ผมมีเพียงแต่การดูเทรนด์หุ้น ที่เรียนมาจาก หัวหน้าท่านนึงตอนสมัครเป็นมาร์ฯใหม่ ที่เคยเขียนเอาไว้(อีกละ โฆษณาตัวเองจังนะ
อ่ะ)
แชร์วิธีการใช้กราฟในโปรแกรม E-finance Portal "วิชาใยไหมฟ้า" เทคนิคสาย Indicator ไร้ใจ ไร้อารมณ์ร่วม
http://topicstock.ppantip.com/sinthorn/topicstock/2012/10/I12763813/I12763813.html
งวดนี้ ผมธาตุไฟแตกซ่านเต็มที่ เป็นอันสมควรแล้ว ที่ผมจะลองผสานวิชาดู
1. หุ้นที่มีราคาปัจจุบัน ไปสู่ ราคาเหมาะสม ตามปัจจัยพื้นฐานที่มี Upside 40% ของทีมนักวิเคราะห์ กสิฯ
2. หุ้นที่มีอดีตดี อัตราส่วนทางการเงิน สวยงาม ตามหลักพี่กวี
3. หุ้นที่เป็น Up trend หรือ กำลังจะ Up trend ตามหลักใยไหมฟ้า
ตอนนี้ผมยังไม่ได้ทำเลย จะชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้าๆ
ลุงๆ ป้าๆ มาลองดูด้วยกัน โดยจะทิ้งลายแทงไว้ให้ครับ
ผมเขียน Facebook เล่นๆ ด้วยใน www.facebook.com/scanstock เพื่อไว้คุยเฮฮา คุยเอาการเอางาน(หาลูกค้านั่นแหละ)
เพราะ เกรงใจพื้นที่พันทิพย์เขา เพราะ เขาให้ความรู้และกัลยณมิตรกับผมมาเยอะแล้ว
"การให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีทุกข์ต่อผู้ได้รับ"
ย้ำนะครับ
ผมเป็นมาร์ฯ มีสังกัด บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานก็มาจากทางต้นสังกัด ซึ่งนักวิเคราะห์จะย้ำเสมอว่า
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผุ้ลงทุนโปรดศึกษาและใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุน"
1. อย่าเชื่อนักวิเคราะห์
2. กลับไปดูข้อที่ (1)
หุ้นที่มี Upside Gain ประมาณ 40% ขึ้นไป จากราคาปัจจุบัน - ราคา Fair Price........By Scan Stock
สำหรับตัวผมเองยังถือว่า ระยะ 3-6 เดือนจะยังอยู่ใน Side way ถ้ายังไม่ผ่านเส้นสีเขียว 1520 ขึ้นไป
ผ่านไปได้ก็ ให้หุ้นที่กำลังจะเลือกไว้ กินกำไร ยาวปายยย ยาวปายยย
ช่วงนี้นักลงทุนผู้เฝ้าหน้าจอทุกวัน(เช่นผม) คงมึนๆกันใช่มั้ยครับ
ตลาดขึ้นๆลง ขึ้นก็เฮ!!!! ลงเหมือนเมื่อวานก็ จ๋อย คร๊าบบ จ๋อย
วิธีแก้ มึน ง่ายๆ สำหรับตัวเองของผม(ทั้งในหน้าที่การงานและการลงทุน)
ที่จะเริ่มทำจะอยู่ในบทความนี้ครับ (มาลองเริ่มใหม่กันนะครับ)
ออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า ผมเป็นเม่าใหม่(1 ปีครึ่ง)ในคราบมาร์ฯ
ประสบการณ์น้อยยยยมากก ในตลาดหุ้นแห่งนี้ แต่อาศัยอัดความรู้เข้าไป หลายแขนง หลายกระบวนท่า
ตอนนี้ก็ยัง อยู่ในโหมดธาตุไฟเข้าแทรกอยู่ เอาความรู้อะไรไปใช้ก็ สำเร็จไม่เต็มที่ - ล้มเหลว เลยก็มี
เลยตัดสินใจว่า รอบ 1 ปีหน้าจะลองเพิ่มอีกรูปแบบนึง เพราะ สไตล์ที่ประสบความสำเร็จเพียงสไตล์เดียว(ที่ไม่ขาดทุนเลย)
เลยคือ สไตล์ซื้อหุ้นปันผล โดยอิงเอายีลด์ 6% ขึ้นไป แล้วถือทน
ผลปรากฎว่า ผลตอบแทนจากการไม่ขยับอะไรเลยในหุ้นปันผลตัวนี้ 7 เดือนแล้ว ได้เพียง 8% เท่านั้น
แต่ในส่วนที่เสียไป ที่เอาไปซิ่ง DW , เอาไปซิ่งหุ้นโวลุ่มเข้า , ราคาแท่งเขียวใหญ่ และที่ขาดไม่ได้ IPO ATO
รวมๆแล้ว ได้ๆเสียๆ ได้ๆๆๆ เสียๆ ได้ เสียๆๆๆ ได้ๆๆ เสียๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ >>> สรุปแล้ว เสียชนะได้ ครับ
ดังนั้นผมจึงเริ่มตั้งต้นกลับมาสู่พื้นฐานของตัวเองใหม่ เพราะ พักหลังนี้ ผมจะหลุดๆแล้ว
ช่วงขาดทุน ช่วงกำไรดีมาก ช่วงอารมณ์ร้อน - ผมมักจะถามตัวเองทุกวัน ทุกสัปดาห์ ว่า "วันนี้/สัปดาห์นี้จะเอาหุ้นอะไร???"
การเริ่มจากถามว่า หุ้นอะไร ตัวไหน แบบที่ผมไม่มีเป้าหมายเนี่ย มันทำให้ผมไปไม่เป็นครับ
ก่อนซื้อแค่หา จุด Cut loss จุดทำกำไร แล้วซื้อ >>>> สุดท้ายตลาดลง 1600 >> 1250
CUT Loss!!!! CUT Loss!!!! CUT Loss!!!! CUT loss!!!!!
ฉะนั้นผมจะกลับมาเริ่มจาก Basic ก่อน คือ ถามตัวเองว่า มาเล่นหุ้นทำไม(บางท่านอยากเก๋ อาจจะใช้คำว่า "ลงทุน")???
คำตอบที่ผมได้รับจากตัวเองคือ ผมอยากเก็บเงินในหุ้น ช่วง 5 ปีก่อนจะอายุถึง 30 นี้ โดยที่ "มีเงินเก็บเท่าไหร่ใส่ในหุ้นให้หมด"
เพราะอะไร??? เพราะไปเห็นตาราง Excel ว่า ออมเงินเดือนละเท่านี้ ได้ผลตอบแทนต่อปีเท่านั้น จะไปถึงเป้าของเงินก้อนที่ผมต้องการ
สรุปจากการถามตอบตัวเอง ผมได้คำตอบว่า "อยากได้ผลตอบแทนต่อปี ปีละ 20% ถ้าทำได้จะเก๋มาก แต่ถ้าไม่ ขี้เหร่สุดให้ 15%"
ทำยังไง?? เป็นคำถามต่อมา ผมคิดหลายอย่างมากเลยนะครับ เช่น
"โหยง่ายว่ะ หาหุ้นกราฟสวยๆ ถือให้ได้เดือนละ 2% แล้วtakeกำไร เดือนหน้าก็รอรอบใหม่"
แต่ 1600 >> 1250 ทำให้ผมรู้ว่า โลกความจริงมันง่าย แบบนั้นเหรอ?? กราฟเราแม่นปานจับวางเหรอ??
ถ้าเราทุ่มตัวเดียวในหุ้นกราฟสวยๆ หมดพอร์ต แล้วมันลงไปจนถึงจุด Cut loss 7%
แล้วผมก็ต้องหาตัวใหม่มาเล่น ให้ได้เงินต้นคืนกลับมาก่อน แล้วก็วนไปตามล่า 2% ต่อเดือนใหม่
แลดูยากจัง แถมเครียดด้วย
ครั้นจะ VI ก็กลัวการประเมินมูลค่าหุ้นของตัวเอง
ไม่รู้ว่า ถือหุ้นเมกะเทรนด์ ดีโคตร คนจะใช้แน่นอนในอนาคต, สังคมผู้สูงอายุจะมากขึ้น
ความเป็นเมืองจะชัดเจนขึ้นในต่างจังหวัด, mobile Life บลาๆๆ
เห็น PE หุ้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปซื้อเป็น VI ยอดดอยหรือปล่าว
ผมจึงได้ข้อสรุปของ แนวทางใหม่ของตัวเอง(ที่กำลังจะลอง) คือ
โอเค ไหนๆ ผมก็ศรัทธาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของพี่กวี เชื่อมั่นในศูนย์วิจัยกสิฯ และผมก็เป็นมาร์ฯกสิฯ
ผมจึงเอา บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นทุกตัวที่ โบรกเกอร์ผมได้ทำไว้ มากางและไล่ scan ไปทีละตัว
ผมจำคติของพี่กวีได้ดี คือ 1. อย่าเชื่อนักวิเคราะห์ 2. ให้กลับไปดุข้อ (1)
ดังนั้น ถ้าผมจะเอาผลตอบแทน 20% ต่อปี แต่ผมเชื่อนักวิเคราะห์ไม่เต็มร้อย
งั้นนักวิเคราะห์ต้องหาหุ้นที่ให้ผม 40% ขึ้นไปมาละกัน เผื่อไปได้แค่กลางทางของคุณ ผมก็ถึงเป้า
แต่โลกมันไม่ง่าย
ผมเลยคิดว่าจะต้องเอาหุ้นที่ ราคา Upside Gain 40% พวกนั้น
มาอ่านอัตราส่วนงบการเงินในอดีต เพื่อดูว่าบริษัทไหนดีเลวอย่างไร อ่านอัตราส่วนการเงินผมก็อ่านตามทฤษฎีเป็น เพราะเคยเขียนไว้
การอ่านอัตราส่วนทางการเงินคร่าวๆ ความรู้ป.ตรี(จ่ายก่อนค่อยอ่าน จ่ายเป็นเวลามาท่านละ 30 นาทีพอครับ ลดให้
http://ppantip.com/topic/30147348
แต่โลกก็ไม่ได้ง่ายสุดๆ VI เท่ห์ขั้นเทพ แบบนั้น
เพราะดัชนี SET ตอนนี้ อยู่ 1457.36 P/E 15.83 เท่า (ณ สิ้นวันที่ 22/10/2556)
ตัวผมเองก็ยังไม่มีการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่เป็นระบบของตัวเอง
ที่รู้ดี ที่ทำได้ทันทีที่มีสัญญาณ ทำแล้วได้ผลดี มากกว่าผลเสีย ขนาดนั้น
ผมมีเพียงแต่การดูเทรนด์หุ้น ที่เรียนมาจาก หัวหน้าท่านนึงตอนสมัครเป็นมาร์ฯใหม่ ที่เคยเขียนเอาไว้(อีกละ โฆษณาตัวเองจังนะ อ่ะ)
แชร์วิธีการใช้กราฟในโปรแกรม E-finance Portal "วิชาใยไหมฟ้า" เทคนิคสาย Indicator ไร้ใจ ไร้อารมณ์ร่วม
http://topicstock.ppantip.com/sinthorn/topicstock/2012/10/I12763813/I12763813.html
งวดนี้ ผมธาตุไฟแตกซ่านเต็มที่ เป็นอันสมควรแล้ว ที่ผมจะลองผสานวิชาดู
1. หุ้นที่มีราคาปัจจุบัน ไปสู่ ราคาเหมาะสม ตามปัจจัยพื้นฐานที่มี Upside 40% ของทีมนักวิเคราะห์ กสิฯ
2. หุ้นที่มีอดีตดี อัตราส่วนทางการเงิน สวยงาม ตามหลักพี่กวี
3. หุ้นที่เป็น Up trend หรือ กำลังจะ Up trend ตามหลักใยไหมฟ้า
ตอนนี้ผมยังไม่ได้ทำเลย จะชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้าๆ
ลุงๆ ป้าๆมาลองดูด้วยกัน โดยจะทิ้งลายแทงไว้ให้ครับผมเขียน Facebook เล่นๆ ด้วยใน www.facebook.com/scanstock เพื่อไว้คุยเฮฮา คุยเอาการเอางาน(หาลูกค้านั่นแหละ)
เพราะ เกรงใจพื้นที่พันทิพย์เขา เพราะ เขาให้ความรู้และกัลยณมิตรกับผมมาเยอะแล้ว
"การให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีทุกข์ต่อผู้ได้รับ"
ย้ำนะครับ ผมเป็นมาร์ฯ มีสังกัด บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานก็มาจากทางต้นสังกัด ซึ่งนักวิเคราะห์จะย้ำเสมอว่า
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผุ้ลงทุนโปรดศึกษาและใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุน"
1. อย่าเชื่อนักวิเคราะห์
2. กลับไปดูข้อที่ (1)