ในวันที่แสงแดดรำไรสายลมแผ่วเบาโชยกลิ่นความหอมของดอกลีลาวดีลอยมาเตะจมูกของหญิงสาวที่กำลังเพลินอยู่กับการอ่านนวนิยายอย่างสนุกสนาน เธอละสายตาจากนวนิยายลอบมองไปที่ต้นลีลาวดีหน้าบ้าน ที่ตอนนี้ดอกของมันกำลังเบ่งบานพร้อมทั้งส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วบริเวณ เธอสูดเอาความหอมที่ลอยตามอากาศอย่างชื่นใจ เธอยิ้มอย่างพอใจที่ต้นลีลาวดีที่เธอร่วมกันปลูกกับแซมชายอันเป็นที่รักของเธอได้ออกดอกเบ่งบานเหมือนกับความรักของเธอในตอนนี้ที่มันเบ่งบานจนล้นในหัวใจ หญิงสาวก้มหน้างุดลงเพื่อจะอ่านนวนิยายที่ยังค้างอยู่ต่อให้จบ แต่เธอก็กลับทำมันไม่ได้เพราะตอนนี้น้ำตามันได้เอ่อไหลล้นออกมานอกดวงตากลมโตของเธออาบแก้มอมชมพูอันเนียนใสที่ไม่ได้แม้แต่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางเลยสักนิด น้ำตาที่เอ่อไหลมันทำให้สายตาพร่าไปในขณะ เธอพยายามที่จะสกัดกั้นน้ำตาที่กำลังไหลรินออกมามากเกินไปเพราะมันนานแค่ไหนแล้วที่เธอต้องร่ำไห้กับเรื่องเดิมๆที่มันผ่านมาแล้วถึงสามปี
“นี่…เอาอีกแล้วเหรอเรา บ้า…บ้าที่สุดยัยนินเอ้ย” นินนิภาพึมพำกับตัวเอง เธอปาดน้ำตาข้างแก้มทั้งสองข้างของเธอ ก่อนจะเพ่งไปที่นวนิยายอีกครั้งเพื่อข่มใจไม่ให้คิดและอ่านมันต่อเพื่อไม่ปล่อยให้ความคิดของตัวเองหลุดลอยไปอีกครั้ง
แซมประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำในขณะที่เค้ากลับไปเอาชุดแต่งงานที่บ้าน เค้ามีร่างกายที่อ่อนเพลียเนื่องจากการเตรียมงานมาหลายวันทำให้เค้าอดหลับอดนอนและมันก็ส่งผลให้เค้าหลับใน ในขณะที่เค้ากำลังขับรถอยู่ อยู่ๆก็เกิดมีแสงไฟวูบเค้าที่ตา เค้าหักพวงมาลัยจนเลยไปชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางร่างของเค้าติดอยู่กับซากรถที่ยับแทบไม่เหลือเค้าโครง วินาทีนั้นที่นินนิภาได้รับข่าวแจ้งจากทางตำรวจเธอหอบร่างที่สวมชุดเจ้าสาวขับรถออกมาจากงานอย่างไม่ทันได้คิดมายังที่เกิดเหตุทันที เธอหยุดนิ่งดูร่างของชายหนุ่มที่เป็นที่รักอย่างกับไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเอง
“แซม!!!!” เธอตะโกนร้องเรียกชื่อชายผู้เป็นที่รักอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ร่างนั้นนอนแน่นิ่งอยู่อย่างไร้ลมหายใจ
น้ำตาพรั่งพรูออกมาเป็นสายอย่างไม่ยอมหยุดไหล ร่างกายไร้เรี่ยวแรงเพียงแค่จะลุกขึ้นเดินยังไม่สามารถทำไหว หัวใจเธอเต้นแผ่วเบาราวกับว่าอยากจะให้มันหยุดเต้นยังไงอย่างนั้น ในขณะเดียวกันญาติๆของเธอและทางฝ่ายของแซมเองก็มาถึงที่เกิดเหตุในเวลาต่อมา ทุกคนร่ำไห้อย่างไม่มีใครคาดคิดว่าในวันงานมงคลจะต้องกลายเป็นงานอวมงคลในเวลาเดียวกัน วิไลโผกอดลูกสาวอย่างปลอบประโลมในขณะที่น้ำตาก็นองอาบแก้มไม่แพ้กัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างสร้างความเสียใจและสะเทือนใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเธอ “นินนิภา” เธอบอกตัวเองเสมอว่าต่อจากนี้ไปเธอจะต้องอยู่โดยไม่มีเค้า แค่เพียงร่างกายเท่านั้นที่เค้าไม่ได้อยู่กับเธอ แต่ภายในหัวใจนั้นมันยังเต็มเปี่ยมและหอมกลุ่นไปด้วยความรักของเธอที่มีต่อเค้า
และวันนี้เองที่น้ำตามันไหลรินมาอีกครั้ง มันไม่ได้ไหลมาเพราะความเสียใจ แต่หากมันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความคิดถึง ด้วยความรักและความอุ่นใจที่อย่างน้อยแม้เค้าได้จากไปจากชีวิตเธอแต่เค้าก็ยังคงทิ้งต้นลีลาวดีเพื่อเป็นดั่งตัวแทนและมันก็เบ่งบานเหมือนหัวใจของเธอในตอนนี้ไม่มีผิด
“ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อไหร่??? บางครั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่หากวันหนึ่งมันกลับเกิดขึ้น คุณอาจมานั่งนึกและเสียใจทีหลังในขณะที่มันสายเกิดแก้แล้ว ถ้าสิ่งที่คุณกำลังคิดที่จะทำ มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนรีบทำเถอะค่ะ เพราะชั้นเองไม่อยากให้เหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นกับใคร…”
รักสีจาง
“นี่…เอาอีกแล้วเหรอเรา บ้า…บ้าที่สุดยัยนินเอ้ย” นินนิภาพึมพำกับตัวเอง เธอปาดน้ำตาข้างแก้มทั้งสองข้างของเธอ ก่อนจะเพ่งไปที่นวนิยายอีกครั้งเพื่อข่มใจไม่ให้คิดและอ่านมันต่อเพื่อไม่ปล่อยให้ความคิดของตัวเองหลุดลอยไปอีกครั้ง
แซมประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำในขณะที่เค้ากลับไปเอาชุดแต่งงานที่บ้าน เค้ามีร่างกายที่อ่อนเพลียเนื่องจากการเตรียมงานมาหลายวันทำให้เค้าอดหลับอดนอนและมันก็ส่งผลให้เค้าหลับใน ในขณะที่เค้ากำลังขับรถอยู่ อยู่ๆก็เกิดมีแสงไฟวูบเค้าที่ตา เค้าหักพวงมาลัยจนเลยไปชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางร่างของเค้าติดอยู่กับซากรถที่ยับแทบไม่เหลือเค้าโครง วินาทีนั้นที่นินนิภาได้รับข่าวแจ้งจากทางตำรวจเธอหอบร่างที่สวมชุดเจ้าสาวขับรถออกมาจากงานอย่างไม่ทันได้คิดมายังที่เกิดเหตุทันที เธอหยุดนิ่งดูร่างของชายหนุ่มที่เป็นที่รักอย่างกับไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเอง
“แซม!!!!” เธอตะโกนร้องเรียกชื่อชายผู้เป็นที่รักอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ร่างนั้นนอนแน่นิ่งอยู่อย่างไร้ลมหายใจ
น้ำตาพรั่งพรูออกมาเป็นสายอย่างไม่ยอมหยุดไหล ร่างกายไร้เรี่ยวแรงเพียงแค่จะลุกขึ้นเดินยังไม่สามารถทำไหว หัวใจเธอเต้นแผ่วเบาราวกับว่าอยากจะให้มันหยุดเต้นยังไงอย่างนั้น ในขณะเดียวกันญาติๆของเธอและทางฝ่ายของแซมเองก็มาถึงที่เกิดเหตุในเวลาต่อมา ทุกคนร่ำไห้อย่างไม่มีใครคาดคิดว่าในวันงานมงคลจะต้องกลายเป็นงานอวมงคลในเวลาเดียวกัน วิไลโผกอดลูกสาวอย่างปลอบประโลมในขณะที่น้ำตาก็นองอาบแก้มไม่แพ้กัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างสร้างความเสียใจและสะเทือนใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเธอ “นินนิภา” เธอบอกตัวเองเสมอว่าต่อจากนี้ไปเธอจะต้องอยู่โดยไม่มีเค้า แค่เพียงร่างกายเท่านั้นที่เค้าไม่ได้อยู่กับเธอ แต่ภายในหัวใจนั้นมันยังเต็มเปี่ยมและหอมกลุ่นไปด้วยความรักของเธอที่มีต่อเค้า
และวันนี้เองที่น้ำตามันไหลรินมาอีกครั้ง มันไม่ได้ไหลมาเพราะความเสียใจ แต่หากมันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความคิดถึง ด้วยความรักและความอุ่นใจที่อย่างน้อยแม้เค้าได้จากไปจากชีวิตเธอแต่เค้าก็ยังคงทิ้งต้นลีลาวดีเพื่อเป็นดั่งตัวแทนและมันก็เบ่งบานเหมือนหัวใจของเธอในตอนนี้ไม่มีผิด
“ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อไหร่??? บางครั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่หากวันหนึ่งมันกลับเกิดขึ้น คุณอาจมานั่งนึกและเสียใจทีหลังในขณะที่มันสายเกิดแก้แล้ว ถ้าสิ่งที่คุณกำลังคิดที่จะทำ มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนรีบทำเถอะค่ะ เพราะชั้นเองไม่อยากให้เหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นกับใคร…”