ทำไมต้องแยกสายการลงทุนด้วยว่าใครสายวีไอใครสายเทคนิค ถ้าใครนำวิธีการลงทุนของทั้งสองสายมารวมด้วยกันได้แล้วไปประยุกใช้ก็จะสามารถทำกำไรได้แถมไม่ต้องเครียดด้วย อย่างเช่นการจะซื้อหุ้นเราก็เข้าไปดูพื้นฐานก่อนถ้าใครคิดว่าการหาหุ้นจากหุ้นทั้งตลาดมันยากเกินไปเราก็อาจจะดูเฉพาะกลุ่ม เช่นหุ้นในกลุ่ม set 100 , set 50 แล้วเราก็เข้าไปเจาะเป็นรายตัวว่าในรอบอย่างต่ำ 5 ปีทีผ่านมาผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร อนาคตเติบโตหรือไม่ โดยอยากให้เข้าไปอ่านข้อมูลในเวป 56-1 ด้วยเพราะจะมีข้อมูลค่อนข้างละเอียด พยายามหาหุ้นให้ได้สัก 10-20 ตัวเป็นอย่างต่ำหรือใครจะมากกว่านี้ก็ยิงดี พอหาหุ้นที่พื้นฐานดีได้แล้ว เราค่อยมาคัดให้เหลือน้อยที่สุดอีกที่ ส่วนเวลาจะซื้อหรือขายให้ใช้สัญญาณกราฟช่วยด้วย เพราะว่ากราฟไม่ได้ใช้เล่นสั้นอย่างเดียว เราสามารถใช้กราฟในการเล่นยาวได้ เช่น เส้น ema ถ้าใครเล่นยาวเราก็ใช้เส้นที่จำนวนวันมากขึ้น หรือใช้ทาร์มเฟรมที่กว้างขึ้น อย่างคนเล่นสั้นอาจจะใช้ ทาร์มเฟรมเดย์ ส่วนคนที่เล่นยาวขึ้นอาจจะช้ทาร์มเฟรมวีค หรือทาร์มเฟรมรายเดือนไปเลย หลายคนบอกว่ารายใหญ่ทำกราฟหลอกได้ อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วย คิดดูกันดีๆ คนแต่ละคนใช้สัญญาณไม่เหมือนกัน และก็ใช้ทาร์มเฟรมไม่เท่ากัน ไม่มีทางที่จะทำให้รายย่อยทั้งตลาดซื้อตามได้ อย่างหุ้นบางตัวถูกทำราคาขึ้นมา สัญญาณเดย์อาจตัดขึ้น แต่สัญญาณวีค และสัญญาณระดับเดือนยังไม่ตัด คนบางกลุ่มก็ยังจะไม่ซื้อ หรือบางคนก็ใช้สัญญาณหลายตัวในการณ์ คอนเฟริมในการซื้อหุ้นแต่ละครั้ง สัญญาณตัวนึงตัดขึ้น แต่ตัวอื่นยังไม่ตัด คนกลุ่มนี้ก็จะยังไม่ซื้อ รวมทั้งสัณญาณบางตัวที่จะส่งสัญญาณตรงข้ามกัน เช่น macd จะตัดขึ้นก็ต่อเมื่อหุ้นขึ้นได้สักพักนึง แต่ถ้าหุ้นขึ้นมามากๆสัญญาณ rsi ก็จะส่งสัญญาณขาย เหมือนกัน ถ้าหุ้นตก สัญญาณ macd ก็จะส่งสัญญาณขาย แต่ถ้าตกหนักๆสัญญาณ rsi ก็จะส่งสัญญาณซื้อ ทุกอย่างทีเขียนมาเพียงจะบอกว่ารายใหญ๋ไม่สามารถทำให้เราซื้อหรือขายตามที่ใจคิดได้ เพราะว่าคนแต่ละคนใช้สัญญาณไม่เหมือนกัน อีกอย่างถ้าเราเป็นนักลงทุนที่ทุนค่อนข้างน้อยการศึกษาเรื่องกราฟก็จะช่วยเราได้เยอะ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้กำไรที่ได้เยอะๆ กลับมาเป็นขาดทุน หุ้นต่อให้พื้นฐานดีแค่ไหน ถ้าตลาดรวมร่วงลงมาหนักๆมันก็ต้องถูกขายด้วย เพราะโอกาสที่เราจะได้เก็บหุ้นแบบวีไอสมัยก่อน ตอนที่ set ร่วงลงมา 400 จุด คงไม่มีอีกแล้ว