เพราะเราคู่กัน
"บุญมี เหลาธรรม"
เธอนั่งอยู่บนม้านั่งที่ทำด้วยหินอ่อนคนเดียว ดวงตาของเธอตี่เล็ก ผิวขาวผ่องตามแบบฉบับคนเหนือ เบื้องหน้าของเธอคือนักเรียนที่กำลังยืนเข้าแถวหันหลังให้เธอ ฟังครูเวรพูดอยู่หน้าแถว ส่วนเธอนั้นช่วยดูแลด้านหลังแถว นั่นคือภาพแห่งความทรงจำที่ผมได้พบเธอครั้งแรก มันถูกบันทึกไว้ในสมองของผมอย่างถาวร
ไม่น่าเชื่อว่าต่อมาจากนั้นหลายปีผมได้แต่งงานกับเธอ และตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนกว่า...พยานรักของเราสองคน...
วันนี้เราจะไปทำบุญที่วัดพระธาตุช่อแฮ วัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวแพร่ เพื่อให้เป็นศิริมงคลต่อชีวิตคู่ และต่อลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกอันมีทั้งสวยสดงดงามและเหม็นเน่าใบนี้ เธอกำลังสาละวนอยู่กับการจัดเตรียมของที่จะไปทำบุญ ร่างอุ้ยอ้ายในชุดคลุมสีเม็ดมะขามสุกนั้น ช่างมีน้ำมีนวลเสียนี่กระไร...
"พ่อ...นั่งมองอยู่ได้ สังฆทานเตรียมเสร็จแล้วมายกไปขึ้นรถได้ แม่จะไปอาบน้ำ...สายแล้ว"
"จ้ะ ๆ" ผมรีบกุลีกุจอเข้าไปยกสังฆทานขึ้นใส่หลังรถกระบะ เรียบร้อยแล้วกลับมานั่งรอเธอที่เก้าอี้โยกหน้าบ้าน
...หกปีกว่าแล้วสินะ นับจากวันที่ผมพบเธอครั้งแรก ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาฝึกสอน ส่วนเธอเป็นครูพี่เลี้ยงของเพื่อน เธอเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี สามวันแรกของการฝึกสอน เธอไม่มาทำงาน ปล่อยให้เพื่อนผมสู้รบปรบมือกับเด็กนักเรียนตามลำพัง เด็กที่ว่าก็ไม่ใช่เด็กธรรมดา เพราะเป็นเด็กปัญญาอ่อน สอนยากกว่าเด็กธรรมดาหลายเท่านัก ผมรู้สึกโกรธเธอแทนเพื่อนนิด ๆ ดูสินั่งอยู่บนม้านั่งเฉิดฉาย ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความผิดสักนิด ที่ปล่อยให้นักศึกษาฝึกสอนผู้ไม่มีประสบการณ์ รับมือกับสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงลำพัง
ตอนนั้นโรงเรียนที่ผมฝึกสอนเพิ่งตั้งใหม่ได้ปีกว่า ๆ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ยังไม่เรียบร้อย เป็นดินถมใหม่ ถ้าฝนตกมาก็คงจะมีแต่โคลน โชคดีที่ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาว...อาคารเรียนยังไม่มี ใช้ใต้ถุนหอพักชายและหญิงเป็นที่ร่ำเรียน ฝึกฝน กินข้าว และทำกิจกรรมต่าง ๆ... โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนกินนอนเปิดสอนเฉพาะเด็กปัญญาอ่อน และเด็กหูหนวกเป็นใบ้ ตอนนั้นมีนักเรียนประมาณสามสิบคน มีข้าราชการครูสี่คน รวมผู้อำนวยการด้วย นักการภารโรงหนึ่ง แม่ครัวหนึ่ง แม่บ้านหนึ่ง และครูอัตราจ้างอีกสี่ เธอเป็นครูอัตราจ้างคนแรกของที่นี่ นอกจากมีหน้าที่สอนและเป็นครูหอพักหญิงแล้ว เธอยังเป็นธุรการของโรงเรียนอีกด้วย ที่จริงเธอไม่ได้จบสายครูมาโดยตรง เธอจบบริหารธุรกิจ แต่ชีวิตผกผันมาเป็นครู ช่วงวันหยุดเธอจึงไปเรียนเพื่อเอาวุฒิครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ตอนนั้นยังเป็นสถาบันราชภัฏอยู่
เธอเป็นคนคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน บางครั้งออกจะโผงผาง ขวานผ่าซาก สองแง่สองง่าม ลามไปถึงหยาบคายก็มีถ้าโอกาสพาไป คนฟังบางคนก็รับไม่ได้ บางคนก็โกรธเมื่อถูกเธอพูดเหน็บแนมแบบหยาบคายเข้าให้ ผู้ชายหลายคนจึงไม่คิดจะจีบเธอ...เอ๊ะ...หรือว่ามันเป็นกลวิธีป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของเธอ เพราะหลังจากที่คบกับผมรู้สึกเธอจะพูดเพราะขึ้น...อย่างน้อยก็เพราะขึ้นกว่าเดิม
แต่คำพูดคำจาของเธอเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์แต่อย่างใด ดูเธอเป็นตัวของตัวเองดี จริงใจ ไม่ดัดจริต
เหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คนที่เคยพานพบมา และที่สำคัญคือเธอเป็นอาหมวย ตาตี่ ผิวขาว มันโดนใจเสียจริง ๆ แต่ก็ยังไม่กล้าคิดอะไรมาก เธอเป็นสาวมั่นออกอย่างนั้น ที่สำคัญ เป็นรุ่นพี่ เป็นครูพี่เลี้ยงที่คอยแนะนำ ตักเตือน คุมประพฤติ จับผิด และประเมินการสอนของพวกผมด้วย ส่วนผมนั้นเหรอ เตี้ย ดำ จน...เฮ้อ...ใครจะไปกล้าคิด
ด้วยความที่ทำงานด้วยกัน เห็นหน้า พบปะ พูดคุย ช่วยเหลือกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ผมจึงถือโอกาสนี้ทำ ความสนิทสนมกับเธออย่างเต็มที่ ความคุ้นเคยเริ่มมีมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งคุ้นเคย ก็ยิ่งสนิท ยิ่งสนิท ก็ยิ่งผูกพัน ดูเธอก็สนใจผมไม่น้อยเหมือนกัน...อะฮ้า...เธออาจจะชอบของแปลก หรือเธออาจจะไม่มีในสิ่งที่ผมมี เธอตาตี่ ผมตาโต เธอขาว ผมดำ เธอจมูกโด่ง ผมจมูกเกือบโด่ง เธอค่อนข้างสูง ผมค่อนข้างเตี้ย เธอมีเงินมีงานทำ ผมเป็นนักศึกษายากจน เธอมีในสิ่งที่ผมไม่มี เธอไม่มีในสิ่งที่ผมมี สิ่งที่ขาดหายไปของเราทั้งสองได้มาเติมเต็มให้กันและกัน...ผมอยากเติมความสดใส ส่วนเธอคงจะอยากเติมความมืด...แหม...ผมก็คงมีดีอยู่บ้างแหละน่า...ความดีของผมน่ะเหรอ...คิดว่าเธอคงมองเห็นเพียงคนเดียว...ดุจนางรจนา ผู้มองเห็นความงามของเจ้าเงาะรูปชั่วตัวดำ แต่สำหรับผมเธอคงไม่คิดว่าเป็นพระเอกหนังแปลงกายมาหรอกนะ...คนเรามันมีดีอยู่ข้างใน ต้องมาคลุกคลีถึงจะรู้...ไม่เชื่อ สาว ๆ ท่านไหนอยากรู้ก็มาลองคลุกคลีกับผมดูสิ....จุ๊กกรู๊....
ความรักมันเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา หลังจากที่ก่อตัวรุม ๆ มาสักพักก่อนหน้านี้ วันนั้นเป็นวันเสาร์ เธอโทรศัพท์มาหาเพื่อนเธอที่เป็นครูอัตราจ้างด้วยกัน เพื่อขอคุยกับผมตั้งแต่เช้า ผมยังไม่มีโทรศัพท์ สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องใหม่และหรูมาก คนจนอย่างผม...อย่าฝัน
"วี...ช่วยก้อยหน่อยดิ" เสียงใสมาจากโทรศัพท์
"มีอะไรหรือครับ" ผมถามด้วยความเป็นห่วงกลัวเธอมีอันตรายถูกชายชีกอตามจีบ
"เนี่ย...อาจารย์ให้หาเทคนิคการสอนต่าง ๆ มาจัดทำเป็นรายงาน ก้อยหาไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง"
"จะให้ผมช่วยยังไง"
"มาหาก้อยสิ"
"ที่ไหนครับ"
"อุตรดิตถ์"
โอกาสที่จะได้แสดงความสามารถให้สาวเจ้าได้ซึ้งมาถึงแล้ว ผมขึ้นรถโดยสารจากแพร่ตะบึงข้ามเขาไปยังอุตรดิตถ์ทันทีเหมือนถูกมนต์แม่มดสะกด ไปถึงเที่ยงกว่า ๆ หยอดตู้โทรศัพท์โทรให้เธอมารับ สักพักเธอก็ขี่มอเตอร์ไซค์รุ่นเก๋ากึ๊ก แต่แต่งแต้มสีสันสดใสมารับผม เดาว่าเธอคงจะยืมเพื่อนมา ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างนั้น ก็เธอเรียนที่อุตรดิตถ์ตั้งสี่ปีมาแล้วนี่ เพื่อน ๆ ก็คงจะเยอะพอดู เธอพาผมแวะกินก๋วยเตี๋ยว แล้วก็พาผมเข้า...อ๊า...พาผม..เข้า...เข้า...ไม่อยากให้ท่านเดาเลย...เธอจะพาผมไปไหนล่ะครับ นอกจากสถาบันราชภัฏ ไปถึงเธอก็แนะนำผมให้เพื่อนร่วมห้องของเธอรู้จัก เหมือนกับจะประกาศอยู่ในทีว่า...นี่คนรับใช้...เอ๊ย... คนรู้ใจชั้น...อะไรทำนองนั้น ผมช่วยเธอหาข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานไปตามเรื่อง หกโมงเย็นก็ให้เพื่อนมาส่งที่สถานีขนส่งเพื่อขึ้นรถกลับแพร่
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางกับเธอสองต่อสอง เธอนั่งชิดผมจนรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มที่ซุกซ่อนอยู่ภายในแพรพรรณที่ห่อหุ้มเธออยู่ ใจผมวาบหวิว สยิว ตื่นเต้น ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน แล้วเธอก็กระซิบข้างหูผมว่า... "วี...เธอจะมาขอก้อยเมื่อไหร่"
ผมนิ่งอึ้งสักครู่ แล้วก็ตอบเธอไป จำไม่ได้ว่าตอบเธอว่ายังไง แต่เธอคงไม่ต้องการคำตอบจากผมเป็นจริงเป็นจังมากนัก ผมรู้ว่าเธอไม่ต้องการแต่งงานกับผมในเร็ววัน เธอคงต้องการสื่อว่า เธอชอบผม เธอจริงจังกับผม พร้อมที่จะสานต่อไปจนถึงแต่งงานมีเหย้ามีเรือนมากกว่า...ผมเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ เบียดกายชิดใกล้เข้าไปอีก การเดินทางวันนั้น เหมือนกำลังเดินทางไปสู่ทิพย์วิมาน...
ตั้งแต่นั้นมาผมก็ขลุกอยู่กับเธอแทบจะทุกเวลา ทุกนาที เช้า กลางวัน เย็น แม้กลางคืนก็ยังบุกขึ้นหอพักหญิงไปหาเธอ ไม่ได้ไปทำอะไรหรอกครับ ไปนั่งพูด นั่งคุย จ้องหน้า ส่งตาหวานท่ามกลางเด็ก ๆ แค่เนียะ...มันก็สุขโขแล้ว...สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม หรือดึกกว่านั้นจึงกลับห้องพักของตัวเอง
พฤติกรรมอย่างนี้เป็นที่จับตามองของทุกคนในโรงเรียน เขามองผมเป็นคนไม่ดี ข้อหาเป็นนักศึกษาฝึกสอนไม่เจียมตัว บังอาจริจีบครูพี่เลี้ยง นักศึกษาฝึกสอนต้องมุ่งมั่นกับการสอน ต้องประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ใช่มาชีกอครูพี่เลี้ยง ต้องเชื่อฟัง ต้องอยู่ในกฎระเบียบ ต้องมีสัมมาคารวะ ต้องรู้จักอะไรควรมิควร ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง...ต้อง...ต้อง...ต้อง...เฮ้อ....
บางคนที่หวังร้ายในคราบผู้หวังดีก็ไปพูดกับเธอทำนองว่า สงสารผมที่หลงเธอจนหัวปักหัวปำ ไม่เป็นอันทำอะไร กลัวว่าผมจะฝึกสอนไม่ผ่าน และแนะนำให้เธอแกล้งมีใจให้กับผม ให้ผมมีกำลังใจในการฝึกสอนไปก่อน พอฝึกสอนเสร็จแล้วค่อยสลัดผมทิ้ง...เธอนำเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟัง...เห็นไหม...เธอแคร์ผมขนาดไหน...ที่เขาแนะนำกับเธออย่างนั้นคงไม่คิดว่าเธอจะรักผมได้ลงคอ ก็มันแตกต่างกันปานนั้นใครจะคิด...
ถึงจะถูกมองแบบไหน ผมก็ไม่ย่อท้อ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ความรักไม่ทำร้ายใคร ผมไม่ได้ไปผิดลูกผิดเมียใคร ผมไม่ได้นอกใจใคร ผมไม่ได้หลอกใคร ผมจริงใจ ถ้าไม่จริงใจจะไม่ยอมให้ตัวเองถลำลึกถึงเพียงนี้ ที่สำคัญเธอมีใจให้กับผม...จริง จริ๊ง...
ช่วงท้าย ๆ ของการฝึกสอน ทุกคนเริ่มยอมรับในความรักของผมกับเธอ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าผมกับเธอจะรักกันยืดยาว จริงจัง ก็ผมไม่คู่ควรกับเธอสักอย่าง แรก ๆ ผมก็คิดเรื่องนี้อยู่มากเหมือนกัน แต่เธอก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกถึงความด้อยของตัวเอง ยิ่งนานวันเธอก็ยิ่งทำให้ผมลืมความแตกต่างระหว่างผมกับเธอ จนบางครั้งก็เลยไปถึงหลงตัวเองว่า เรานี้แน่ ตัวดำ เตี้ย แต่มีว่าที่ภรรยาสวย...เจ๋งปะ...
เวลาผ่านไปเรายิ่งรักกัน เข้าใจกัน แม้ผมจะไปเป็นครูบ้านนอกอยู่ต่างจังหวัดห่างไกลจากเธอ แต่รักแท้ไม่ได้แพ้ใกล้ชิดอย่างที่ใคร ๆ ว่ากัน (บังเอิญผมใช้คอลเกตครับ เลยไม่แพ้ใกล้ชิด...ฮ่า ฮ่า) ผมกับเธอยังคงติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ มีเวลาก็จะไปหากันอย่างน้อยก็เดือนละครั้ง มีเรื่องกระทบกระทั่ง หึงหวง น้อยใจ กันบ้างตามประสา แต่ความผูกพันยังแนบแน่น ยิ่งนานวันก็ยิ่งลึกซึ้ง เมื่อทุกอย่างถึงเวลาที่มันควรจะเป็น เราทั้งสองจึงได้จูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์...โอ้แม่เจ้า...วาสนาของกาดำแท้ ๆ ...
ความรู้สึกของผมที่ว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอหายหดหมดสิ้น ผมเหมาะสมและคู่ควรกับเธอแน่แล้ว งานวันแต่งงาน พิธีกรในงาน แขกผู้มีเกียรติ หรือใคร ๆ ต่างก็ออกปากชมว่าเหมาะสมกันดี เจ้าบ่าวก็หล่อร้าย เจ้าสาวก็งามเหลือ เหมาะสมกันแท้ ๆ...วี้ดวิ้ว...
..................................
"พร้อมแล้วพ่อ ไปกันเลย" เธอมาในชุดคลุมสีชมพู รับกับผิวที่ขาวผ่องเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล... เธอช่างสวยเหลือเกิน
" โอ้... วันนี้แม่สวยจัง สวยกว่าสาว ๆ คนใดในโลก" ผมชมจากใจจริง
"พ่อก็..คนท้องคนไส้จะไปสวยกว่าสาว ๆ ได้ยังไง"
"แม่สวยกว่าสาว ๆ ตั้งเยอะ พ่อรับประกัน"
เธอยิ้มเขิน แล้วก็ตัดบท
"ปะ...ไปกันได้แล้วพ่อ เดี๋ยวสาย"
"จ้า...ไปกันเลย"
ผมขับรถออกจากบ้าน โดยมีเธอผู้เป็นภรรยานั่งหน้าผ่องอยู่ข้าง ๆ วัดที่ว่าอยู่ห่างไปประมาณยี่สิบกว่ากิโลเมตร ไปถึง หาที่จอดรถเรียบร้อยก็พากันเดินขึ้นไปบนวิหาร ผมเป็นคนหิ้วของสำหรับทำบุญตามหลังเธอ ต้องดูแลความปลอดภัยให้เธอเวลาขึ้นบันไดด้วย เพราะบันไดขึ้นไปหาวิหารและพระธาตุนั้นสูงชันมากถ้าหากก้าวพลาด และตกลงมามีอันต้องจบกัน
ในวิหารมีคนมาทำบุญอยู่สองสามคณะ มีพระคุณเจ้ารอรับสังฆทานอยู่หนึ่งรูป เมื่อไหว้พระสวดมนต์ กล่าวคำถวายสังฆทานกันเรียบร้อย ถึงเวลาจะยกของไปถวาย พระคุณเจ้าท่านคงเห็นเธอ...ภรรยาของผมร่างอุ้ยอ้ายลุกลำบาก และเห็นผมมาด้วยจึงบอกกับเธอว่า
" ให้คนขับรถยกมาถวายเลยโยม โยมจะได้ไม่ต้องลุกให้ลำบาก"
เพราะเราคู่กัน
"บุญมี เหลาธรรม"
เธอนั่งอยู่บนม้านั่งที่ทำด้วยหินอ่อนคนเดียว ดวงตาของเธอตี่เล็ก ผิวขาวผ่องตามแบบฉบับคนเหนือ เบื้องหน้าของเธอคือนักเรียนที่กำลังยืนเข้าแถวหันหลังให้เธอ ฟังครูเวรพูดอยู่หน้าแถว ส่วนเธอนั้นช่วยดูแลด้านหลังแถว นั่นคือภาพแห่งความทรงจำที่ผมได้พบเธอครั้งแรก มันถูกบันทึกไว้ในสมองของผมอย่างถาวร
ไม่น่าเชื่อว่าต่อมาจากนั้นหลายปีผมได้แต่งงานกับเธอ และตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนกว่า...พยานรักของเราสองคน...
วันนี้เราจะไปทำบุญที่วัดพระธาตุช่อแฮ วัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวแพร่ เพื่อให้เป็นศิริมงคลต่อชีวิตคู่ และต่อลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกอันมีทั้งสวยสดงดงามและเหม็นเน่าใบนี้ เธอกำลังสาละวนอยู่กับการจัดเตรียมของที่จะไปทำบุญ ร่างอุ้ยอ้ายในชุดคลุมสีเม็ดมะขามสุกนั้น ช่างมีน้ำมีนวลเสียนี่กระไร...
"พ่อ...นั่งมองอยู่ได้ สังฆทานเตรียมเสร็จแล้วมายกไปขึ้นรถได้ แม่จะไปอาบน้ำ...สายแล้ว"
"จ้ะ ๆ" ผมรีบกุลีกุจอเข้าไปยกสังฆทานขึ้นใส่หลังรถกระบะ เรียบร้อยแล้วกลับมานั่งรอเธอที่เก้าอี้โยกหน้าบ้าน
...หกปีกว่าแล้วสินะ นับจากวันที่ผมพบเธอครั้งแรก ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาฝึกสอน ส่วนเธอเป็นครูพี่เลี้ยงของเพื่อน เธอเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี สามวันแรกของการฝึกสอน เธอไม่มาทำงาน ปล่อยให้เพื่อนผมสู้รบปรบมือกับเด็กนักเรียนตามลำพัง เด็กที่ว่าก็ไม่ใช่เด็กธรรมดา เพราะเป็นเด็กปัญญาอ่อน สอนยากกว่าเด็กธรรมดาหลายเท่านัก ผมรู้สึกโกรธเธอแทนเพื่อนนิด ๆ ดูสินั่งอยู่บนม้านั่งเฉิดฉาย ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความผิดสักนิด ที่ปล่อยให้นักศึกษาฝึกสอนผู้ไม่มีประสบการณ์ รับมือกับสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงลำพัง
ตอนนั้นโรงเรียนที่ผมฝึกสอนเพิ่งตั้งใหม่ได้ปีกว่า ๆ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ยังไม่เรียบร้อย เป็นดินถมใหม่ ถ้าฝนตกมาก็คงจะมีแต่โคลน โชคดีที่ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาว...อาคารเรียนยังไม่มี ใช้ใต้ถุนหอพักชายและหญิงเป็นที่ร่ำเรียน ฝึกฝน กินข้าว และทำกิจกรรมต่าง ๆ... โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนกินนอนเปิดสอนเฉพาะเด็กปัญญาอ่อน และเด็กหูหนวกเป็นใบ้ ตอนนั้นมีนักเรียนประมาณสามสิบคน มีข้าราชการครูสี่คน รวมผู้อำนวยการด้วย นักการภารโรงหนึ่ง แม่ครัวหนึ่ง แม่บ้านหนึ่ง และครูอัตราจ้างอีกสี่ เธอเป็นครูอัตราจ้างคนแรกของที่นี่ นอกจากมีหน้าที่สอนและเป็นครูหอพักหญิงแล้ว เธอยังเป็นธุรการของโรงเรียนอีกด้วย ที่จริงเธอไม่ได้จบสายครูมาโดยตรง เธอจบบริหารธุรกิจ แต่ชีวิตผกผันมาเป็นครู ช่วงวันหยุดเธอจึงไปเรียนเพื่อเอาวุฒิครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ตอนนั้นยังเป็นสถาบันราชภัฏอยู่
เธอเป็นคนคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน บางครั้งออกจะโผงผาง ขวานผ่าซาก สองแง่สองง่าม ลามไปถึงหยาบคายก็มีถ้าโอกาสพาไป คนฟังบางคนก็รับไม่ได้ บางคนก็โกรธเมื่อถูกเธอพูดเหน็บแนมแบบหยาบคายเข้าให้ ผู้ชายหลายคนจึงไม่คิดจะจีบเธอ...เอ๊ะ...หรือว่ามันเป็นกลวิธีป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของเธอ เพราะหลังจากที่คบกับผมรู้สึกเธอจะพูดเพราะขึ้น...อย่างน้อยก็เพราะขึ้นกว่าเดิม
แต่คำพูดคำจาของเธอเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์แต่อย่างใด ดูเธอเป็นตัวของตัวเองดี จริงใจ ไม่ดัดจริต เหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คนที่เคยพานพบมา และที่สำคัญคือเธอเป็นอาหมวย ตาตี่ ผิวขาว มันโดนใจเสียจริง ๆ แต่ก็ยังไม่กล้าคิดอะไรมาก เธอเป็นสาวมั่นออกอย่างนั้น ที่สำคัญ เป็นรุ่นพี่ เป็นครูพี่เลี้ยงที่คอยแนะนำ ตักเตือน คุมประพฤติ จับผิด และประเมินการสอนของพวกผมด้วย ส่วนผมนั้นเหรอ เตี้ย ดำ จน...เฮ้อ...ใครจะไปกล้าคิด
ด้วยความที่ทำงานด้วยกัน เห็นหน้า พบปะ พูดคุย ช่วยเหลือกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ผมจึงถือโอกาสนี้ทำ ความสนิทสนมกับเธออย่างเต็มที่ ความคุ้นเคยเริ่มมีมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งคุ้นเคย ก็ยิ่งสนิท ยิ่งสนิท ก็ยิ่งผูกพัน ดูเธอก็สนใจผมไม่น้อยเหมือนกัน...อะฮ้า...เธออาจจะชอบของแปลก หรือเธออาจจะไม่มีในสิ่งที่ผมมี เธอตาตี่ ผมตาโต เธอขาว ผมดำ เธอจมูกโด่ง ผมจมูกเกือบโด่ง เธอค่อนข้างสูง ผมค่อนข้างเตี้ย เธอมีเงินมีงานทำ ผมเป็นนักศึกษายากจน เธอมีในสิ่งที่ผมไม่มี เธอไม่มีในสิ่งที่ผมมี สิ่งที่ขาดหายไปของเราทั้งสองได้มาเติมเต็มให้กันและกัน...ผมอยากเติมความสดใส ส่วนเธอคงจะอยากเติมความมืด...แหม...ผมก็คงมีดีอยู่บ้างแหละน่า...ความดีของผมน่ะเหรอ...คิดว่าเธอคงมองเห็นเพียงคนเดียว...ดุจนางรจนา ผู้มองเห็นความงามของเจ้าเงาะรูปชั่วตัวดำ แต่สำหรับผมเธอคงไม่คิดว่าเป็นพระเอกหนังแปลงกายมาหรอกนะ...คนเรามันมีดีอยู่ข้างใน ต้องมาคลุกคลีถึงจะรู้...ไม่เชื่อ สาว ๆ ท่านไหนอยากรู้ก็มาลองคลุกคลีกับผมดูสิ....จุ๊กกรู๊....
ความรักมันเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา หลังจากที่ก่อตัวรุม ๆ มาสักพักก่อนหน้านี้ วันนั้นเป็นวันเสาร์ เธอโทรศัพท์มาหาเพื่อนเธอที่เป็นครูอัตราจ้างด้วยกัน เพื่อขอคุยกับผมตั้งแต่เช้า ผมยังไม่มีโทรศัพท์ สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องใหม่และหรูมาก คนจนอย่างผม...อย่าฝัน
"วี...ช่วยก้อยหน่อยดิ" เสียงใสมาจากโทรศัพท์
"มีอะไรหรือครับ" ผมถามด้วยความเป็นห่วงกลัวเธอมีอันตรายถูกชายชีกอตามจีบ
"เนี่ย...อาจารย์ให้หาเทคนิคการสอนต่าง ๆ มาจัดทำเป็นรายงาน ก้อยหาไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง"
"จะให้ผมช่วยยังไง"
"มาหาก้อยสิ"
"ที่ไหนครับ"
"อุตรดิตถ์"
โอกาสที่จะได้แสดงความสามารถให้สาวเจ้าได้ซึ้งมาถึงแล้ว ผมขึ้นรถโดยสารจากแพร่ตะบึงข้ามเขาไปยังอุตรดิตถ์ทันทีเหมือนถูกมนต์แม่มดสะกด ไปถึงเที่ยงกว่า ๆ หยอดตู้โทรศัพท์โทรให้เธอมารับ สักพักเธอก็ขี่มอเตอร์ไซค์รุ่นเก๋ากึ๊ก แต่แต่งแต้มสีสันสดใสมารับผม เดาว่าเธอคงจะยืมเพื่อนมา ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างนั้น ก็เธอเรียนที่อุตรดิตถ์ตั้งสี่ปีมาแล้วนี่ เพื่อน ๆ ก็คงจะเยอะพอดู เธอพาผมแวะกินก๋วยเตี๋ยว แล้วก็พาผมเข้า...อ๊า...พาผม..เข้า...เข้า...ไม่อยากให้ท่านเดาเลย...เธอจะพาผมไปไหนล่ะครับ นอกจากสถาบันราชภัฏ ไปถึงเธอก็แนะนำผมให้เพื่อนร่วมห้องของเธอรู้จัก เหมือนกับจะประกาศอยู่ในทีว่า...นี่คนรับใช้...เอ๊ย... คนรู้ใจชั้น...อะไรทำนองนั้น ผมช่วยเธอหาข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานไปตามเรื่อง หกโมงเย็นก็ให้เพื่อนมาส่งที่สถานีขนส่งเพื่อขึ้นรถกลับแพร่
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางกับเธอสองต่อสอง เธอนั่งชิดผมจนรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มที่ซุกซ่อนอยู่ภายในแพรพรรณที่ห่อหุ้มเธออยู่ ใจผมวาบหวิว สยิว ตื่นเต้น ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน แล้วเธอก็กระซิบข้างหูผมว่า... "วี...เธอจะมาขอก้อยเมื่อไหร่"
ผมนิ่งอึ้งสักครู่ แล้วก็ตอบเธอไป จำไม่ได้ว่าตอบเธอว่ายังไง แต่เธอคงไม่ต้องการคำตอบจากผมเป็นจริงเป็นจังมากนัก ผมรู้ว่าเธอไม่ต้องการแต่งงานกับผมในเร็ววัน เธอคงต้องการสื่อว่า เธอชอบผม เธอจริงจังกับผม พร้อมที่จะสานต่อไปจนถึงแต่งงานมีเหย้ามีเรือนมากกว่า...ผมเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ เบียดกายชิดใกล้เข้าไปอีก การเดินทางวันนั้น เหมือนกำลังเดินทางไปสู่ทิพย์วิมาน...
ตั้งแต่นั้นมาผมก็ขลุกอยู่กับเธอแทบจะทุกเวลา ทุกนาที เช้า กลางวัน เย็น แม้กลางคืนก็ยังบุกขึ้นหอพักหญิงไปหาเธอ ไม่ได้ไปทำอะไรหรอกครับ ไปนั่งพูด นั่งคุย จ้องหน้า ส่งตาหวานท่ามกลางเด็ก ๆ แค่เนียะ...มันก็สุขโขแล้ว...สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม หรือดึกกว่านั้นจึงกลับห้องพักของตัวเอง
พฤติกรรมอย่างนี้เป็นที่จับตามองของทุกคนในโรงเรียน เขามองผมเป็นคนไม่ดี ข้อหาเป็นนักศึกษาฝึกสอนไม่เจียมตัว บังอาจริจีบครูพี่เลี้ยง นักศึกษาฝึกสอนต้องมุ่งมั่นกับการสอน ต้องประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ใช่มาชีกอครูพี่เลี้ยง ต้องเชื่อฟัง ต้องอยู่ในกฎระเบียบ ต้องมีสัมมาคารวะ ต้องรู้จักอะไรควรมิควร ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง...ต้อง...ต้อง...ต้อง...เฮ้อ....
บางคนที่หวังร้ายในคราบผู้หวังดีก็ไปพูดกับเธอทำนองว่า สงสารผมที่หลงเธอจนหัวปักหัวปำ ไม่เป็นอันทำอะไร กลัวว่าผมจะฝึกสอนไม่ผ่าน และแนะนำให้เธอแกล้งมีใจให้กับผม ให้ผมมีกำลังใจในการฝึกสอนไปก่อน พอฝึกสอนเสร็จแล้วค่อยสลัดผมทิ้ง...เธอนำเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟัง...เห็นไหม...เธอแคร์ผมขนาดไหน...ที่เขาแนะนำกับเธออย่างนั้นคงไม่คิดว่าเธอจะรักผมได้ลงคอ ก็มันแตกต่างกันปานนั้นใครจะคิด...
ถึงจะถูกมองแบบไหน ผมก็ไม่ย่อท้อ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ความรักไม่ทำร้ายใคร ผมไม่ได้ไปผิดลูกผิดเมียใคร ผมไม่ได้นอกใจใคร ผมไม่ได้หลอกใคร ผมจริงใจ ถ้าไม่จริงใจจะไม่ยอมให้ตัวเองถลำลึกถึงเพียงนี้ ที่สำคัญเธอมีใจให้กับผม...จริง จริ๊ง...
ช่วงท้าย ๆ ของการฝึกสอน ทุกคนเริ่มยอมรับในความรักของผมกับเธอ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าผมกับเธอจะรักกันยืดยาว จริงจัง ก็ผมไม่คู่ควรกับเธอสักอย่าง แรก ๆ ผมก็คิดเรื่องนี้อยู่มากเหมือนกัน แต่เธอก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกถึงความด้อยของตัวเอง ยิ่งนานวันเธอก็ยิ่งทำให้ผมลืมความแตกต่างระหว่างผมกับเธอ จนบางครั้งก็เลยไปถึงหลงตัวเองว่า เรานี้แน่ ตัวดำ เตี้ย แต่มีว่าที่ภรรยาสวย...เจ๋งปะ...
เวลาผ่านไปเรายิ่งรักกัน เข้าใจกัน แม้ผมจะไปเป็นครูบ้านนอกอยู่ต่างจังหวัดห่างไกลจากเธอ แต่รักแท้ไม่ได้แพ้ใกล้ชิดอย่างที่ใคร ๆ ว่ากัน (บังเอิญผมใช้คอลเกตครับ เลยไม่แพ้ใกล้ชิด...ฮ่า ฮ่า) ผมกับเธอยังคงติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ มีเวลาก็จะไปหากันอย่างน้อยก็เดือนละครั้ง มีเรื่องกระทบกระทั่ง หึงหวง น้อยใจ กันบ้างตามประสา แต่ความผูกพันยังแนบแน่น ยิ่งนานวันก็ยิ่งลึกซึ้ง เมื่อทุกอย่างถึงเวลาที่มันควรจะเป็น เราทั้งสองจึงได้จูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์...โอ้แม่เจ้า...วาสนาของกาดำแท้ ๆ ...
ความรู้สึกของผมที่ว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอหายหดหมดสิ้น ผมเหมาะสมและคู่ควรกับเธอแน่แล้ว งานวันแต่งงาน พิธีกรในงาน แขกผู้มีเกียรติ หรือใคร ๆ ต่างก็ออกปากชมว่าเหมาะสมกันดี เจ้าบ่าวก็หล่อร้าย เจ้าสาวก็งามเหลือ เหมาะสมกันแท้ ๆ...วี้ดวิ้ว...
..................................
"พร้อมแล้วพ่อ ไปกันเลย" เธอมาในชุดคลุมสีชมพู รับกับผิวที่ขาวผ่องเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล... เธอช่างสวยเหลือเกิน
" โอ้... วันนี้แม่สวยจัง สวยกว่าสาว ๆ คนใดในโลก" ผมชมจากใจจริง
"พ่อก็..คนท้องคนไส้จะไปสวยกว่าสาว ๆ ได้ยังไง"
"แม่สวยกว่าสาว ๆ ตั้งเยอะ พ่อรับประกัน"
เธอยิ้มเขิน แล้วก็ตัดบท
"ปะ...ไปกันได้แล้วพ่อ เดี๋ยวสาย"
"จ้า...ไปกันเลย"
ผมขับรถออกจากบ้าน โดยมีเธอผู้เป็นภรรยานั่งหน้าผ่องอยู่ข้าง ๆ วัดที่ว่าอยู่ห่างไปประมาณยี่สิบกว่ากิโลเมตร ไปถึง หาที่จอดรถเรียบร้อยก็พากันเดินขึ้นไปบนวิหาร ผมเป็นคนหิ้วของสำหรับทำบุญตามหลังเธอ ต้องดูแลความปลอดภัยให้เธอเวลาขึ้นบันไดด้วย เพราะบันไดขึ้นไปหาวิหารและพระธาตุนั้นสูงชันมากถ้าหากก้าวพลาด และตกลงมามีอันต้องจบกัน
ในวิหารมีคนมาทำบุญอยู่สองสามคณะ มีพระคุณเจ้ารอรับสังฆทานอยู่หนึ่งรูป เมื่อไหว้พระสวดมนต์ กล่าวคำถวายสังฆทานกันเรียบร้อย ถึงเวลาจะยกของไปถวาย พระคุณเจ้าท่านคงเห็นเธอ...ภรรยาของผมร่างอุ้ยอ้ายลุกลำบาก และเห็นผมมาด้วยจึงบอกกับเธอว่า
" ให้คนขับรถยกมาถวายเลยโยม โยมจะได้ไม่ต้องลุกให้ลำบาก"