มีโอกาสได้ไปนั่งฟัง คุณปิ๊ก โรจนะ ซึ่งมีดีกรี ผู้ชนะรางวัล Cannes Lions ปี 2011 และ 2013 มาพูดคุยถึงประสบการณ์เลยเอาส่วนนึงของบทสัมภาษณ์มาแชร์ให้ผู้ที่ตั้งเป้าจะเป็น "ครีเอทีฟ" หรือสนใจจะทำงานในแวดวงงานโฆษณาหรือคนที่กำลังศึกษาในคณะที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้ เช่น คณะนิเทศศาสตร์ ได้เป็นแนวทางในการวางแผนอนาคตของตน
คำถามแรกในใจ
ก่อนที่จะก้าวสู่การทำงานจริง ปิ๊ก มีคำถามในใจที่ว่า “เมื่อผมจบไปแล้ว ผมควรเป็นอะไรระหว่าง อาร์ต ไดเร็คเตอร์ กับ ก็อปปี้ ไดเร็กเตอร์ ?” เพราะอาชีพที่ว่านี้เป็นก้าวแรกของการเข้าสู่สายงานโฆษณา มันจำเป็นต้องเลือกทางเดินสู่วิชาชีพ ผมจึงขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา อ.ดนัย หวังบุญชัย ว่าผมควรจะต้องฝึกงานด้านไหน ท่านช่วยผมมองตัวเองว่า ผมเหมาะกับงานในด้านใด อาจารย์ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีความใกล้ชิดกับนักศึกษาคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือเราตลอด เมื่อได้รับคำแนะนำจากท่าน ผมจึงตั้งธงที่จะเป็น อาร์ต ไดเร็คเตอร์ เพราะผมคิดงานบนพื้นฐานความเป็นอาร์ต ซึ่งมันก็ไม่ง่าย เพราะเราไม่ได้เก่งงานด้านนิเทศศิลป์ แต่เราเป็นนิเทศศาสตร์ที่ต้องมีวิธีคิดในด้านการตลาดเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เฟืองตัวหนึ่งที่ขาดไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงจากนักศึกษาไปสู่คนทำงาน ทำให้ ปิก เกิดความรู้สึกว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทยอมรับว่า เราเป็นเฟืองตัวหนึ่งที่สามารถหมุนไปกับคนอื่นได้ โดยที่จะไม่ทำให้เขาฝืดหรือติดขัด นั่นคือ การมีหน้าที่สนับสนุนในส่วนต่างๆ ที่เราเกี่ยวข้อง และขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้งานอยู่เสมอ “ผมเริ่มเรียนตั้งแต่วันแรกที่ผมทำงาน หมายความว่า ผมตั้งตนว่าการทำงาน คือ การเรียน ทุกวันเราต้องเติมความรู้ไปเรื่อยๆ” ปิ๊กเริ่มต้นจากการเรียน Illustrator และ Photoshop พื้นฐานของงานอาร์ต เรียนรู้จากพี่ที่ทำงานด้วยกัน ยุคสมัยนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ต ปิ๊ก ขวนขวายสะสมความรู้ใหม่ๆ จากการเดินดูแผงหนังสือมือสองในจตุจักร เลือกซื้อแมกกาซีน และดูผลงานโฆษณาที่สามารถนำไปต่อยอดให้กับงานที่เขาทำ
วันนี้
ทุกวันนี้ ปิ๊ก มีหน้าที่หลักในการควบคุมงานให้เป็นไปตามที่โจทย์ที่ลูกค้าตั้งไว้ ในตำแหน่ง ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ ของบริษัทโฆษณาชั้นนำของโลกอย่าง JWT Shanghai ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ฝึกสอนให้เด็กรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาเรียนรู้และสานต่องานให้ดำเนินต่อไป ผลงานของ ปิ๊ก ที่สร้างชื่อเสียงโดดเด่นให้กับตัวเขามาจากการคว้ารางวัล Cannes Lions (คานส์ ไลอ้อนส์) ในปีนี้ (2013) มาได้ถึง 3 รางวัลด้วยกัน คือ 1) Gold Press Lion 2) Gold Craft Art Direction จากโฆษณาสิ่งพิมพ์กระเป๋าเดินทาง Samsonite และ 3) Silver Award (ซิลเวอร์ ไลอ้อนส์) ในประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Packaging Design) ให้กับ Universal Plug Adapter ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา เพราะเมื่อปี 2011 ปิ๊ก ได้รับรางวัล Cannes Lions 2011 ในระดับกรังปรีซ์ (Grand Prix)ประเภทโฆษณาสิ่งพิมพ์ (Press Lion) กระเป๋าเดินทาง Samsonite ชุด Heaven and Hell รางวัลระดับกรังปรีซ์เป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุด หมายถึงผลงานที่ดีที่สุดในกลุ่มที่ได้รับรางวัลในสาขาระดับเดียวกัน โดยเป็นรางวัลกรังปรีซ์แรกของเมืองไทยและของประเทศจีนด้วย มันเป็นความภูมิใจในแง่ของการทำงาน เป็นการก้าวไปสู่การทำงานระดับโลก และถือว่ามีโอกาสผลักดันและเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ไปด้วย
ผลงานที่ชื่นชอบ
ปิ๊ก ชื่นชอบผลงานของเขาทุกตัว แต่ถ้าถามถึงความชื่นชอบสูงสุดของผลงานในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา เขานึกถึงผลงานที่มีชื่อว่า
Skate Wash Denim กลุ่มเป้าหมายคือ วัยรุ่นจีน ที่ชอบเล่นสเก็ตบอร์ด เล่นดนตรีอันเดอร์กราว สินค้าเป็นกางเกงยีนส์ที่เป็นโลคัลแบรนด์ของจีน และมีงบประมาณจำกัด เราจึงสร้างความเกี่ยวพันให้กับผู้บริโภคด้วยการคิดสร้างสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยการนำเสนอกางเกงยีนส์ รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น โดยให้คนที่เล่นสเก็ตบอร์ดเป็นคนดีไซน์ยีนส์ด้วยตัวเอง ปิ๊ก เสนอไอเดียการปูผ้าเดนิมบนลานสเก็ตบอร์ดกว่า 600 ตร.ม. จัดอีเว้นท์หนึ่งวันให้กลุ่มคนสเก็ตบอร์ดมาเล่นด้วยกัน มันก็เกิดรอยจากการเล่นสเก็ตบอร์ดบนผ้ายีนส์ จากนั้นเขานำผ้ายีนส์นั้นไปตัดเป็นกางเกงยีนส์ รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ได้ 300 ตัว ปิก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้ เพราะนอกจากจะได้รับความสนุก เขายังได้สร้างสรรค์ไอเดียมุมมองใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
วันหน้า
ปิ๊ก เริ่มตั้งคำถามอีกครั้ง ครั้งนี้เกี่ยวกับหนังโฆษณาของไทย เขามองว่า ทำไมงานโฆษณาไทยถึงมีเสน่ห์น้อยลง เมื่อเทียบกับผลงานโฆษณาของประเทศอื่นๆ ที่เข้ารอบการประกวดที่เมืองคานส์ นั่นทำให้เขาคิดว่า “ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสผมก็อยากที่จะกลับมาพัฒนาวงการโฆษณาบ้านเรา ซึ่งวันข้างหน้าผมอาจจะทดลองทำอะไรใหม่ๆ ก็ได้ในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน”
ข้อคิดที่อยากจะแบ่งปัน
รางวัลที่ได้มาแม้ว่ามันจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน มันก็เป็นเพียงม่านบังตา ถ้าวันหนึ่งเรายึดติดกับความสำเร็จเก่าๆ เราก็ก้าวไม่พ้นตัวเองสักที รางวัลสำหรับ ปิ๊ก คือ ตัววัดผล ว่าเราทำได้แค่ไหน เมื่อเราเรียนรู้กับมันแล้ว เราต้องละมันและหาเป้าหมายใหม่ในชีวิต เพราะไม่เช่นนั้นเราจะจมอยู่กับภาพเดิมๆ ที่สุดแล้วหน้าที่ของนักโฆษณา คือ ไอเดีย ฮันเตอร์ ไม่ใช่ อวอร์ด ฮันเตอร์ เพราะฉะนั้นหน้าที่เราคือ เช้าตื่นขึ้นมาไปออฟฟิศและทำงานร่วมกับทีม งานโฆษณาไม่ใช่งานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นงานที่ต้องแก้ปัญหาทุกวัน หนีไม่พ้นที่จะต้องคิดอะไรใหม่ๆ และแก้ปัญหาในจุดเดิมๆ ซึ่งการมีทัศนคติที่ดีจะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุข และไม่รู้สึกท้อกับมัน
“ผมพูดอยู่เสมอว่า ถ้าเราทำงานเพื่อรางวัล วันที่เรามีความสุข คือ วันที่เราได้รางวัล อาจจะ 7 ปีครั้ง หรือ 5 ปีครั้ง หรือไม่เคยมีความสุขเลยก็ได้ เพราะไม่เคยได้รับรางวัล แต่ถ้าเราทำงานเพื่อเงิน วันที่เรามีความสุข คือ วันที่ออฟฟิศขึ้นเงินเดือนให้ วันหนึ่งเราก็จะถวิลหาเงินเดือนขึ้นใหม่อีก แต่ถ้าเราทำงานเพราะว่า เรารักงานโฆษณาจริงๆ ผมเชื่อว่า เราอยากจะตื่นไปทำงานทุกวัน แม้แต่การทำโปรชัวร์เล็กๆ สักชิ้นหนึ่ง เราก็มีความสุขที่จะทำ”
มารู้จัก ปิ๊ก โรจนะ ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ หนุ่ม คนไทยที่สร้างชื่อกับผลงานระดับโลก
คำถามแรกในใจ
ก่อนที่จะก้าวสู่การทำงานจริง ปิ๊ก มีคำถามในใจที่ว่า “เมื่อผมจบไปแล้ว ผมควรเป็นอะไรระหว่าง อาร์ต ไดเร็คเตอร์ กับ ก็อปปี้ ไดเร็กเตอร์ ?” เพราะอาชีพที่ว่านี้เป็นก้าวแรกของการเข้าสู่สายงานโฆษณา มันจำเป็นต้องเลือกทางเดินสู่วิชาชีพ ผมจึงขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา อ.ดนัย หวังบุญชัย ว่าผมควรจะต้องฝึกงานด้านไหน ท่านช่วยผมมองตัวเองว่า ผมเหมาะกับงานในด้านใด อาจารย์ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีความใกล้ชิดกับนักศึกษาคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือเราตลอด เมื่อได้รับคำแนะนำจากท่าน ผมจึงตั้งธงที่จะเป็น อาร์ต ไดเร็คเตอร์ เพราะผมคิดงานบนพื้นฐานความเป็นอาร์ต ซึ่งมันก็ไม่ง่าย เพราะเราไม่ได้เก่งงานด้านนิเทศศิลป์ แต่เราเป็นนิเทศศาสตร์ที่ต้องมีวิธีคิดในด้านการตลาดเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เฟืองตัวหนึ่งที่ขาดไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงจากนักศึกษาไปสู่คนทำงาน ทำให้ ปิก เกิดความรู้สึกว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทยอมรับว่า เราเป็นเฟืองตัวหนึ่งที่สามารถหมุนไปกับคนอื่นได้ โดยที่จะไม่ทำให้เขาฝืดหรือติดขัด นั่นคือ การมีหน้าที่สนับสนุนในส่วนต่างๆ ที่เราเกี่ยวข้อง และขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้งานอยู่เสมอ “ผมเริ่มเรียนตั้งแต่วันแรกที่ผมทำงาน หมายความว่า ผมตั้งตนว่าการทำงาน คือ การเรียน ทุกวันเราต้องเติมความรู้ไปเรื่อยๆ” ปิ๊กเริ่มต้นจากการเรียน Illustrator และ Photoshop พื้นฐานของงานอาร์ต เรียนรู้จากพี่ที่ทำงานด้วยกัน ยุคสมัยนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ต ปิ๊ก ขวนขวายสะสมความรู้ใหม่ๆ จากการเดินดูแผงหนังสือมือสองในจตุจักร เลือกซื้อแมกกาซีน และดูผลงานโฆษณาที่สามารถนำไปต่อยอดให้กับงานที่เขาทำ
วันนี้
ทุกวันนี้ ปิ๊ก มีหน้าที่หลักในการควบคุมงานให้เป็นไปตามที่โจทย์ที่ลูกค้าตั้งไว้ ในตำแหน่ง ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ ของบริษัทโฆษณาชั้นนำของโลกอย่าง JWT Shanghai ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ฝึกสอนให้เด็กรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาเรียนรู้และสานต่องานให้ดำเนินต่อไป ผลงานของ ปิ๊ก ที่สร้างชื่อเสียงโดดเด่นให้กับตัวเขามาจากการคว้ารางวัล Cannes Lions (คานส์ ไลอ้อนส์) ในปีนี้ (2013) มาได้ถึง 3 รางวัลด้วยกัน คือ 1) Gold Press Lion 2) Gold Craft Art Direction จากโฆษณาสิ่งพิมพ์กระเป๋าเดินทาง Samsonite และ 3) Silver Award (ซิลเวอร์ ไลอ้อนส์) ในประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Packaging Design) ให้กับ Universal Plug Adapter ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา เพราะเมื่อปี 2011 ปิ๊ก ได้รับรางวัล Cannes Lions 2011 ในระดับกรังปรีซ์ (Grand Prix)ประเภทโฆษณาสิ่งพิมพ์ (Press Lion) กระเป๋าเดินทาง Samsonite ชุด Heaven and Hell รางวัลระดับกรังปรีซ์เป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุด หมายถึงผลงานที่ดีที่สุดในกลุ่มที่ได้รับรางวัลในสาขาระดับเดียวกัน โดยเป็นรางวัลกรังปรีซ์แรกของเมืองไทยและของประเทศจีนด้วย มันเป็นความภูมิใจในแง่ของการทำงาน เป็นการก้าวไปสู่การทำงานระดับโลก และถือว่ามีโอกาสผลักดันและเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ไปด้วย
ผลงานที่ชื่นชอบ
ปิ๊ก ชื่นชอบผลงานของเขาทุกตัว แต่ถ้าถามถึงความชื่นชอบสูงสุดของผลงานในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา เขานึกถึงผลงานที่มีชื่อว่า Skate Wash Denim กลุ่มเป้าหมายคือ วัยรุ่นจีน ที่ชอบเล่นสเก็ตบอร์ด เล่นดนตรีอันเดอร์กราว สินค้าเป็นกางเกงยีนส์ที่เป็นโลคัลแบรนด์ของจีน และมีงบประมาณจำกัด เราจึงสร้างความเกี่ยวพันให้กับผู้บริโภคด้วยการคิดสร้างสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยการนำเสนอกางเกงยีนส์ รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น โดยให้คนที่เล่นสเก็ตบอร์ดเป็นคนดีไซน์ยีนส์ด้วยตัวเอง ปิ๊ก เสนอไอเดียการปูผ้าเดนิมบนลานสเก็ตบอร์ดกว่า 600 ตร.ม. จัดอีเว้นท์หนึ่งวันให้กลุ่มคนสเก็ตบอร์ดมาเล่นด้วยกัน มันก็เกิดรอยจากการเล่นสเก็ตบอร์ดบนผ้ายีนส์ จากนั้นเขานำผ้ายีนส์นั้นไปตัดเป็นกางเกงยีนส์ รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ได้ 300 ตัว ปิก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้ เพราะนอกจากจะได้รับความสนุก เขายังได้สร้างสรรค์ไอเดียมุมมองใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
วันหน้า
ปิ๊ก เริ่มตั้งคำถามอีกครั้ง ครั้งนี้เกี่ยวกับหนังโฆษณาของไทย เขามองว่า ทำไมงานโฆษณาไทยถึงมีเสน่ห์น้อยลง เมื่อเทียบกับผลงานโฆษณาของประเทศอื่นๆ ที่เข้ารอบการประกวดที่เมืองคานส์ นั่นทำให้เขาคิดว่า “ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสผมก็อยากที่จะกลับมาพัฒนาวงการโฆษณาบ้านเรา ซึ่งวันข้างหน้าผมอาจจะทดลองทำอะไรใหม่ๆ ก็ได้ในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน”
ข้อคิดที่อยากจะแบ่งปัน
รางวัลที่ได้มาแม้ว่ามันจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน มันก็เป็นเพียงม่านบังตา ถ้าวันหนึ่งเรายึดติดกับความสำเร็จเก่าๆ เราก็ก้าวไม่พ้นตัวเองสักที รางวัลสำหรับ ปิ๊ก คือ ตัววัดผล ว่าเราทำได้แค่ไหน เมื่อเราเรียนรู้กับมันแล้ว เราต้องละมันและหาเป้าหมายใหม่ในชีวิต เพราะไม่เช่นนั้นเราจะจมอยู่กับภาพเดิมๆ ที่สุดแล้วหน้าที่ของนักโฆษณา คือ ไอเดีย ฮันเตอร์ ไม่ใช่ อวอร์ด ฮันเตอร์ เพราะฉะนั้นหน้าที่เราคือ เช้าตื่นขึ้นมาไปออฟฟิศและทำงานร่วมกับทีม งานโฆษณาไม่ใช่งานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นงานที่ต้องแก้ปัญหาทุกวัน หนีไม่พ้นที่จะต้องคิดอะไรใหม่ๆ และแก้ปัญหาในจุดเดิมๆ ซึ่งการมีทัศนคติที่ดีจะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุข และไม่รู้สึกท้อกับมัน
“ผมพูดอยู่เสมอว่า ถ้าเราทำงานเพื่อรางวัล วันที่เรามีความสุข คือ วันที่เราได้รางวัล อาจจะ 7 ปีครั้ง หรือ 5 ปีครั้ง หรือไม่เคยมีความสุขเลยก็ได้ เพราะไม่เคยได้รับรางวัล แต่ถ้าเราทำงานเพื่อเงิน วันที่เรามีความสุข คือ วันที่ออฟฟิศขึ้นเงินเดือนให้ วันหนึ่งเราก็จะถวิลหาเงินเดือนขึ้นใหม่อีก แต่ถ้าเราทำงานเพราะว่า เรารักงานโฆษณาจริงๆ ผมเชื่อว่า เราอยากจะตื่นไปทำงานทุกวัน แม้แต่การทำโปรชัวร์เล็กๆ สักชิ้นหนึ่ง เราก็มีความสุขที่จะทำ”